"แม่ของพี่บาสโทรมาค่ะ" แพรวพรรณยื่นโทรศัพท์ให้อชิระวัตร
"ขอบคุณครับน้องแพรว" อชิระวัตรรับโทรศัพท์ไปแล้วกดรับสาย
"ครับแม่ ว่ายังไงครับ"
"พ่อเป็นลมบาส บาสเข้ามาหาพ่อที่บ้านหน่อยได้ไหมลูก" แม่ของอชิระวัตรบอกลูกชายมาตามสาย
"แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงเป็นลมได้ครับแม่ บอสอยู่บ้านหรือเปล่าให้น้องเอารถออกพาพ่อไปหาหมอนะครับ"
"บอสไม่อยู่นะลูก"
"แล้วพ่อเป็นลมตั้งแต่ตอนไหน ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ"
"หน้ามืด บ่นว่าเวียนหัว ตอนนี้นอนพักอยู่บนเก้าอี้โยกหน้าบ้าน แม่ชงยาหอมให้แล้ว บาสเข้ามาดูพ่อหน่อยนะ"
"กินยาหอมแล้วยังไม่ดีขึ้นเหรอครับ คือมันยังอยู่ในช่วงเข้าหอนะครับแม่ ผมกับแพรวจึงไม่อยากออกไปไหนเลยครับแม่ แม่กับพ่อแพรวเขาถือมาก"
"เมียแก พ่อตาแม่ยายแกอีกแล้วเหรอ แต่นี่มันพ่อของแกนะบาส เออไม่มาก็ไม่ต้องมา แกเข้าหอไปเถอะปล่อยให้พ่อของแกตายๆ ไปก็แล้วกัน" นางมาลีพูดประชดประชันใส่ลูกชาย
"แม่ ทำไมพูดแบบนั้นละครับ ได้ครับเดี๋ยวผมกับแพรวจะเข้าไปพาพ่อไปหาหมอนะครับ แม่รอสักครึ่งชั่วโมงยังไงแม่ก็ดูแลพ่อไปก่อนแล้วกัน ผมกับแพรวขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน" อชิระวัตรบอกแม่ออกไปแล้ววางสายเดินไปบอกภรรยาว่าพ่อของเขาเป็นลมจะพาพ่อไปหาหมอ
"แพรวพ่อพี่หน้ามืดเป็นลม เดี๋ยวพี่ต้องออกไปพาพ่อพี่ไปโรงพยาบาล แพรวออกไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ" อชิระวัตรบอกกับภรรยาสีหน้าไม่ค่อยดี
"พ่อพี่เป็นลมหรือคะ แล้วไม่ให้น้องบอสพาพ่อไปโรงพยาบาลละคะ ตอนนี้อาการเป็นไงบ้างคะ"
"เห็นแม่บอกว่าอาการไม่ดีนะ หน้ามืดบ้านหมุนอยู่เลย บอสออกไปทำธุระข้างนอกตอนนี้พ่ออยู่บ้านกับแม่แค่สองคน"
"อ๋อ งั้นพี่บาสรีบไปเถอะค่ะ"
"แพรวออกไปกับพี่ด้วยได้มั้ย คือมันยังเป็นช่วงสามวันที่เข้าหออยู่เลย พี่กลัวพ่อกับแม่แพรวจะดุเอา ถ้าออกไปกับแพรวสองคนแล้วบอกว่าออกไปทำธุระเรื่องงานพ่อกับแม่แพรวจะได้ไม่ดุพี่ นะครับไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ"
"ก็ได้ค่ะ งั้นแพรวขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน" แพรวพรรณรับคำสามี ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหยิบกุญแจรถออกมาบอกแม่ว่าขอออกไปทำธุระแป๊บเดียวแล้วจะรีบกลับมา
เมื่อขับรถมาถึงบ้าน อชิระวัตรก็พบว่าพ่อของเขาได้นอนหลับตาอยู่บนเก้าอี้โยกหน้าบ้าน ส่วนแม่ของอชิระวัตรนั้นทำกับข้าวอยู่ในครัว
"พ่อครับ เป็นยังไงบ้าง" อชิระวัตรถามพ่อ
"เวียนหัวน่ะลูก สงสัยน้ำในหูไม่เท่ากันมันเลยทำให้มึนๆ" นายมาโนชบอกกับลูกชายแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นพบว่าแพรวพรรณมาด้วย
"สวัสดีค่ะพ่อ" แพรวพรรณยกมือไหว้สวัสดีพ่อสามีตามมารยาท
"อ้าว หนูแพรวมาด้วยเหรอ พ่อคิดว่าตาบาสจะมาคนเดียว"
"ผมชวนแพรวมาเป็นเพื่อนเองครับพ่อ พ่อลุกขึ้นไหวมั้ยครับ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับเดี๋ยวผมจะพาพ่อไปหาหมอครับ"
"ไม่ต้องพาพ่อไปหาหมอหรอกดีขึ้นมากแล้ว ได้กินข้าวก็คงจะดีขึ้นหน่อย นี่แม่เขาก็เข้าครัวทำกับข้าวอยู่" นายมาโนชบอกลูกชาย
"อ้าวที่เป็นลมเพราะหิวข้าวหรอกหรือคะพ่อ แล้วนี่ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเหรอคะ" แพรวพรรณถามพ่อสามี
"ก็กินกาแฟกับขนมปังไปหลายชิ้นแล้ว มันอิ่มเลยยังไม่กินข้าวแม่เองเขาก็ยุ่งๆ เรื่องต้นไม้ใบหญ้าของเขายังไม่ได้ทำกับข้าวออกไปซื้อขนมจีนมาแล้ว บอสกินเสร็จก็ออกไปทำธุระของเขาแล้ว" นายมาโนชพูดเล่าขึ้น
"ถ้าอย่างนั้นแม่โทรตามผมให้พาพ่อไปโรงพยาบาลทำไมละครับ ผมล่ะงงจริงๆ" อชิระวัตรพูดถามขึ้นน้ำเสียงไม่เข้าใจพ่อของตนเอง
"แม่เขาก็คงเป็นกังวลเห็นพ่อเป็นลมแหละลูกถึงได้โทรตามบาสมา เอาเป็นว่ามาแล้วก็นั่งก่อนเถอะนะ แม่กำลังทำกับข้าว เสร็จแล้วจะได้กินข้าวด้วยกัน" นายมาโนชบอกลูกชายแล้วลุกขึ้นเดินเข้าบ้านไปอาบน้ำเพราะอากาศมันค่อนข้างร้อน แพรวพรรณจึงหันไปคุยกับอชิระวัตร
"งั้นเราเอาไงต่อดีคะพี่บาส" แพรวพรรณหันไปถามสามี
"ไหนๆ ก็มาแล้ว งั้นก็อยู่กินมื้อเที่ยงที่บ้านด้วยกันแล้วค่อยกลับได้มั้ยแพรว"
"ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นแพรวเข้าไปช่วยแม่พี่บาสในครัวก็แล้วกันนะคะ" แพรวพรรณรับคำอชิระวัตรแล้วเดินเข้าไปช่วยแม่ของอชิระวัตรทำกับข้าวในครัว
"แม่มีอะไรให้แพรวช่วยมั้ยคะ" แพรวพรรณถามแม่สามีไปตามมารยาททั้ง ๆที่ตนเองก็ไม่ได้อยากเข้ามาอยู่ในครัวใกล้ๆ กับแม่ของอชิระวัตรเท่าไหร่นัก
"เสร็จหมดแล้วแหละ ถ้าหนูแพรวอยากช่วย ช่วยตักกับข้าว ตักแกงใส่ถ้วยเล็กๆ นี่ให้แม่หน่อย แม่จะเอาไปไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ พ่อไม่สบายแม่ใจคอไม่ค่อยจะดี" นางมาลีจีบปากจีบคอพูดเสียงเศร้า
"แต่นี่มันจะเที่ยงแล้ว เขาไหว้พระภูมิเจ้าที่กันตอนเที่ยงได้ด้วยหรือคะแม่ แพรวไม่เคยเห็นว่าใครเขาจะทำกันนะคะ อีกอย่างเมื่อกี้เจอพ่อที่หน้าบ้าน พ่อบอกว่าแค่หน้ามืดนิดหน่อยอาจจะเพราะหิวข้าวไม่ได้เป็นอะไรมากแม่อย่ากังวลไปเลยค่ะ" แพรวพรรณพูดขึ้นอย่างอดเสียไม่ได้
"อ้าวเหรอ แม่ไม่รู้ว่าเขาไหว้ศาลพระภูมิตอนเที่ยงไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องไหว้แล้วลูก ส่วนเรื่องพ่อเมื่อเช้าเขาบ่นกับแม่ว่าเวียนหัวบ้านหมุนแม่กังวลใจ บอสก็ไม่อยู่บ้านจึงโทรตามบาสมาจะได้อุ่นใจ" นางมาลีพูดแก้
"ค่ะ แล้วปกติตอนที่พี่บาสทำงานอยู่กรุงเทพ พ่อเคยเป็นแบบนี้บ่อยๆ มั้ยคะ คือถ้าเคยเป็นต้องไปหาหมอนะคะ แพรวกับพี่บาสจะได้พาไป" แพรวพรรณพูดต้อนแม่สามีอยากพาพ่อของอชิระวัตรไปตรวจดูว่าป่วยการเมืองหรือเปล่า
"แม่เคยพาไปแล้วลูก ก็ตรวจสุขภาพทั่วไป ก็มีพวกความดัน ไขมันบ้าง ก็อย่างว่านั่นแหละคนอายุห้าสิบแล้วมันก็ต้องเจ็บต้องป่วยบ้างแหละนะ"
"เป็นความดันไขมัน อย่าดื่มกาแฟเยอะนะคะ แพรวเห็นพ่อชอบดื่มกาแฟ และยังมีสูบบุหรี่อยู่"
"เรื่องบุหรี่แม่ก็ห้าม บอสก็ดุพ่อเขาบ่อยๆ แต่แกคงเครียดเรื่องงานนั่นแหละ ช่วงนี้งานรับเหมามีน้อยลง รายได้น้อยลงลูกน้องก็หายหมด พอมีงานเข้ามาก็หาคนยากอีก" แม่ของอชิระวัตรพูดเล่าแพรวพรรณ แพรวพรรณเห็นว่าแม่สามีเริ่มวกเข้าเรื่องดรามาอีกแล้ว แล้วก็คงไม่พ้นเรื่องเงินจึงพูดเลี่ยงขออาสาไปตั้งโต๊ะอาหารให้แทน
"เหรอคะ พ่อคงหิวแล้วเห็นบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า แพรวไปตั้งโต๊ะให้ก็แล้วกันนะคะ"
"ได้ลูก ยกไปได้เลยนะ" นางมาลีรับคำแล้วหุบยิ้มลงทันทีเมื่อแพรวพรรณเดินออกไป
เมื่อตั้งโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว ทุกคนก็นั่งลงทานมื้อเที่ยง
"บาส แม่ตำน้ำพริกกะปิ มีสะตอเป็นผักจิ้มน้ำพริกให้บาสด้วยนะกินเยอะๆ นะลูก" นางมาลีบอกลูกชาย
"ครับ ขอบคุณครับแม่ น้องแพรวลองกินแกงเหลืองฝีมือแม่พี่นะ" อชิระวัตรขอบคุณแม่แล้วตักกับข้าวให้กับภรรยา
"ขอบคุณมากค่ะพี่บาส" แพรวพรรณเอยขอบคุณสามี แล้วตักผัดผักให้กับทุกคนตามมารยาท
"เออ หนูแพรวแล้วนี่เราสองคนวางแผนกันยังไงจะปล่อยให้มีลูกมีเต้าเลยหรือเปล่า" แม่ของอชิระวัตรถามขึ้น
"แพรวยังไม่ทันได้คิดเลยค่ะ ถ้ามีก็ได้แต่ถ้ายังไม่มีก็ทำงานก่อนค่ะ"
"ก็ดีนะคุมไว้ก่อนก็ดี บาสยังมีภาระมาก มีลูกคนหนึ่งจนไปสิบปีนะหนูแพรว" นางมาลีพูดอีก
"ค่ะ" แพรวพรรณรับคำสั้นๆ
"แม่เขาพูดถูกนะ เลี้ยงลูกคนหนึ่งใช้เงินเยอะมาก ดูอย่างพ่อแม่สิ หาได้เท่าไหร่ก็เลี้ยงลูกหมด" พ่อของอชิระวัตรพูดสนับสนุน แพรวพรรณกับอชิระวัตรได้แต่นั่งฟัง
"ให้ลูกหมดตอนไหนนะ ก็มีข้าวให้กินสามมื้อจริง เรียนหนังสือให้เงินไปกินขนมแต่ค่าเทอมค่าเล่าเรียนอชิระวัตรกู้เงินกองทุนเพื่อการศึกษาเรียนตั้งแต่เรียนอยู่มอสี่แล้ว" แพรวพรรณได้แต่คิดค้านคำพูดของพ่อสามี
"รีบกินข้าวเถอะค่ะ ถ้าพ่อไม่ต้องไปหาหมอแล้วแพรวกับพี่บาสจะได้กลับบ้าน"
"จะรีบกลับไปไหนละลูก ที่นี่ก็บ้านบาสเหมือนกันนะ" พ่อของอชิระวัตรพูดขึ้นสีหน้าเศร้าลงไปเล็กน้อย
"นั่นสิหนูแพรว แต่งงานแล้วบาสก็ยังเป็นลูกพ่อลูกแม่นะ"
"แพรวก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ก็ยังเป็นลูกถูกต้องแล้วนะคะ แต่แพรวเห็นว่ามันเป็นช่วงแต่งงานบ่าวสาวควรอยู่เฝ้าหอตามประเพณีให้ครบสามวัน ไม่ควรมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจแค่นั้นเองค่ะแม่" แพรวพรรณพูดขึ้นเสียงบ้างเพราะเริ่มทนไม่ไหวกับความเป็นพ่อแม่ของอชิระวัตร
"แพรว ใจเย็นหน่อย พี่พูดเองแพรว" อชิระวัตรถอนหายใจบอกภรรยา
"แม่ครับ ผมไม่รู้นะว่าพ่อกับแม่มีอะไรไม่สบายใจ แต่สิ่งที่ผมจะพูดก็คือ ถึงผมจะแต่งงานมีครอบครัวแล้วแต่แม่กับพ่อก็คือพ่อแม่ของผมจะเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม่สบายใจเถอะครับผมไม่ทิ้งพ่อกับแม่หรอก ผมรักแพรวก็จริงแต่มันรักคนละแบบกับรักพ่อรักแม่นะครับ ผมอยากให้พ่อแม่เปิดใจ ทำใจให้สบายบ้าง"
"ไม่ทิ้งแม่จริงๆ นะลูก ถ้าอย่างนั้นบาสพร้อมจะช่วยเหลือแม่ใช่ไหมถ้าแม่มีเหตุจำเป็น จริงๆ ที่พ่อของบาสเป็นลมเพราะความเครียดเรื่องรถกระบะที่ขับไปทำงานอยู่จะโดนยึด พ่อเขางานน้อยลงไม่ได้ทำงานมาหลายเดือนแล้ว รถจึงขาดผ่อนมาสามเดือนแล้วบาส นี่ไฟแนนซ์เขาก็ทวงถามและขู่จะมายึดถ้าไม่ไปปิดยอดให้เขา" นางมาลีรีบพูดเล่าลูกชายปากคอสั่น
"น้องลีพอเถอะ จะเอาเรื่องน่าปวดหัวนี้มาเล่าลูกมันทำไม ถ้าเขาจะมายึดก็ปล่อยให้เขายึดไปเถอะ" พ่อของอชิระวัตรพูดแล้วแกล้งทำสีหน้าเศร้าสลด
"แต่รถมันจะหมดแล้ว ลีเสียดายเงินดาวน์กับเงินที่ผ่อนไป" นางมาลีบอกสามี
"พอเถอะครับพ่อกับแม่ คราวนี้ค้างสามเดือนมันเป็นเงินเท่าไหร่อีกครับ คราวก่อนผมก็ปิดเงินกู้สหกรณ์ที่เอามาดาวน์รถให้แล้ว คราวนี้ต้องจ่ายเท่าไหร่อีก" อชิระวัตรรวบช้อนกินข้าวแล้วถามพ่อแม่ออกไปน้ำเสียงเหนื่อยใจ เหนื่อยล้ากับพ่อแม่ของตัวเองเต็มที
"ที่แท้ แกล้งเป็นลมเพราะจะให้มาใช้หนี้ให้นี่เอง" แพรวพรรณพูดเบาๆ อย่างรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของพ่อแม่อชิระวัตร
"อะไรนะหนูแพรว แม่ไม่ได้ยิน"
"เปล่าค่ะ แพรวไม่ได้พูดอะไร"
"บาสกับหนูแพรวช่วยพ่อกับแม่สักครั้งนะลูก แม่ขอยืมก่อนก็ได้ พ่อกับแม่เครียดมากจะเป็นบ้าอยู่แล้ว" นางมาลีบีบน้ำตาร้องไห้ต่อหน้าลูกชายและลูกสะใภ้ แพรวพรรณได้แต่รู้สึกรำคาญและเหนื่อยหน่ายกับพ่อแม่สามีที่หาแต่เรื่องมาให้ลูกของตัวเอง
"หยุดร้องเถอะครับแม่ แล้วยอดทั้งหมดมันเท่าไหร่ครับ"
"รวมค่าติดตามทวงถามแล้วด้วยทั้งหมดมันห้าหมื่นสองพันบาท พ่อขอยืมก่อนสักห้าหมื่นเศษสองพันพ่อพอมีอยู่แล้ว เดี๋ยวพ่อจะออกไปปิดบัญชีเอง" พ่อของอชิระวัตรเป็นคนตอบลูกชายไม่เอาเศษสองพันด้วยนะแต่จะเอาห้าหมื่น
"แพรว ถ้าอย่างนั้นพี่ขอยืมเงินแพรวก่อนได้มั้ย พอดีพี่รูดบัตรมาเต็มวงเงินแล้ววันก่อนก็เพิ่งช่วยเรื่องค่าเล่าเรียนของบอสไปหนึ่งแสน พี่ไม่มีเงินแล้วจริงๆ" อชิระวัตรเอ่ยขอยืมเงินภรรยา หวังลึกๆว่าให้พ่อแม่เห็นใจตนเองบ้าง ไม่ขอเงินกับตนเองมากจนเกินไปจนทำให้ตนเองต้องเดือดร้อนอีก
"ได้ค่ะพี่บาส พี่บาสยืมแพรวไม่ใช่พ่อแม่พี่บาสยืมแพรว พ่อกับแม่ไม่ต้องยืมหรอกค่ะแพรวว่าพี่บาสให้พ่อกับแม่ไปเถอะเพราะยังไงก็คงไม่ได้คืนอยู่ดี ยังไงพี่บาสก็จัดการเรื่องรถพ่อให้เสร็จเถอะ อ๋อ แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกไหมคะจะได้จัดการเสียให้เสร็จเสียทีเดียว ทั้งเรื่องค่าเทอมน้อง ค่าผ่อนรถ มีค่าอะไรอีกไหมคะ อีกสองวันแพรวกับพี่บาสก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว จะได้จัดการให้เสียให้หมด" แพรวพรรณพูดเหน็บพ่อแม่สามี "จะให้รู้สึกยินดีได้อย่างไร แต่งงานยังไม่ทันครบเจ็ดวัน แม่งมีมันมาครบทุกค่า ทวงค่าสินสอดคืนกลางงานแต่งก็มี ไม่มีใครมาเป็นแพรวพรรณไม่รู้หรอก"
"แพรว! แพรวไม่เต็มใจให้พี่ยืมเหรอ ไม่เป็นไรนะ งั้นพี่ขอยื่นกู้ส่วนบุคคลเอาก็ได้ พ่อแม่รอผมก่อนแล้วกันผมก็หมุนเงินไม่ทันจริงๆ"
"แล้วถ้าบาสยื่นกู้ กี่วันถึงจะได้เงิน รถพ่อจะโดนยึดอยู่แล้วนะลูก เงินค่าสินสอดก็แบ่งมาช่วยแม่กับพ่อก่อนไม่ได้เหรอลูก" นางมาลีพูดขึ้นแกล้งทำเสียงสะอึกสะอื้น
"แพรวให้ได้ค่ะ เงินส่วนนี้เป็นเงินส่วนตัวของแพรว ส่วนเงินสินสอดพ่อแม่แพรวจะคืนให้แพรวไปดาวน์บ้านเพื่อสร้างอนาคต แพรวไม่ได้ใช้เงินส่วนนั้นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขอร้องนะคะแม่อย่ามายุ่งกับเงินสินสอดก้อนนั้นอีกเลย ครั้งนี้แพรวจะให้พ่อกับแม่ยืมเงิน เดี๋ยวแพรวกับพี่บาสจะไปจ่ายปิดหนี้ให้เองค่ะ เอาเอกสารที่แม่ค้างผ่อนชำระมาเถอะค่ะ" แพรวพรรณพูดอธิบายด้วยความเหลืออด
หลังจากไปจัดการหนี้สินที่ค้างผ่อนชำระให้พ่อแม่อชิระวัตรเรียบร้อยแล้ว อชิระวัตรก็ขับรถพาแพรวพรรณกลับบ้าน ต่างคนก็ต่างเงียบต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
"แพรวจะคิดกับบ้านเรายังไง คงดูถูกบ้านเราแหละก็พ่อแม่เราเป็นเสียขนาดนี้"
"นี่แค่เริ่มต้นชีวิตคู่ได้ไม่กี่วัน มันมีเรื่อง มีค่าใช้จ่ายให้พ่อแม่เขาขนาดนี้เลยเหรอวะ ทำไมมันช่างแตกต่างจากพ่อแม่เรา แตกต่างจากบ้านของเราเลยวะ จะไหวไหมเนี่ยยายแพรว"