“จ้ะ” กระถินรับคำ แล้วเงยหน้ามองตามร่างเล็กของพิมพ์รพีพร ที่เริ่มไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างคล่องแคล่ว
“ตรงโน้นพี่พิมพ์ลูกดกเชียว จับกิ่งไว้ดีๆนะพี่พิมพ์เดี๋ยวจะตกลงมา”
“มือชั้นนี้แล้วไม่มีพลาด กระถินคอยเก็บเหอะน่า”
ปลัดเมฆาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนกว้างหลังบ้าน ชายหนุ่มได้ยินเสียงพูดคุยกันดังอยู่ใกล้ๆ ก็รีบสาวเท้าเดินตามเสียงนั้นไป เจอเด็กสาวกระถินกำลังก้มเก็บมะขามอยู่ใต้ต้น เดาได้เลยว่าผู้หญิงที่เขาอยากเห็นหน้าต้องอยู่บนต้นมะขามใหญ่แน่นอน
“พอได้แล้วล่ะพี่พิมพ์ กระถินว่าได้เยอะแล้วนะ” กระถินยกตะกร้าที่เก็บมะขามใส่ไว้ขึ้นดู แล้วตะโกนบอกคนที่อยู่บนต้นมะขาม
“อือๆ พี่พิมพ์ขอนั่งพักบนต้นมะขามแป๊บหนึ่งนะ ปีนขึ้นมาสูงๆอย่างนี้เหนื่อยจัง กระถินเอามะขามกลับไปให้แม่ทำน้ำพริกก่อนเลย”
“จ้า...อุ๊ย!” กระถินรับคำพิมพ์รพีพรแล้วหันหลังจะเดินกลับ ก็เจอปลัดเมฆายืนกอดอกอมยิ้มอยู่ ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากตัวเองแล้วทำปากจู๋ เป็นสัญญาณเตือนไม่ให้กระถินส่งเสียงดัง เด็กสาวพยักหน้ายิ้มๆ แล้ววิ่งกลับเรือนไปทันที
“เพิ่งรู้ว่าจะได้เมียเป็นลิง” เสียงทุ้มดังขึ้น ทำให้คนตัวเล็กที่อยู่บนต้นมะขามนิ่วหน้า มองลงมาใต้ต้นมะขาม ปลัดเมฆาในชุดลำลองกางเกงขาสั้นเสื้อคอโปโล ยืนอยู่ที่โคนต้นมองขึ้นมายิ้มๆ
“ใครจะเป็นเมียคุณ”
“ใครได้ยินก็คนนั้น” ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกดีเวลาได้ต่อปากต่อคำกับคนตัวเล็กๆนี้จัง
“ก็คงมีแต่ไอ้ดำไอ้ด่างแถวนี้แหละที่ได้ยิน” พิมพ์รพีพรเอ่ยอย่างมีอารมณ์
“ก็เพิ่งรู้อีกว่าไอ้ดำไอ้ด่างแถวนี้ ปีนต้นมะขามได้ด้วย”
“ปลัดเมฆ!”
“ลงมาได้แล้วคุณ จะได้มาคุยเรื่องงานแต่งของเรา” ปลัดเมฆาเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะไม่อยากหาเรื่องเถียงกันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“ฉันไม่คุยกับคุณ จะคุยก็ไปคุยกับย่าโน่น ไปสิ กลับไปที่เรือนได้แล้ว” พิมพ์รพีพรเอ่ยไล่ เพราะอยากลงมาจากต้นมะขามแล้ว เพียงแต่ว่าไม่อยากลงมา แล้วต้องเจอหน้ากันในระยะใกล้กับปลัดเมฆา
“คุณก็ลงมาสิ เดินกลับไปด้วยกัน” ปลัดเมฆายังคงยืนยิ้มแป้นอยู่ใต้ต้นมะขาม
“คุณกลับไปก่อนเลยนะ ฉันเดินกลับเองได้” ปลัดเมฆาหัวเราะในลำคอ เขาพอจะเดาออกว่าหญิงสาวไม่อยากอยู่ใกล้ตนเอง
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ลงมาเถอะ หรือว่า...คุณกลัวผม”
“อะไรนะ ฉันจะกลัวคุณทำไมมิทราบ” นั่นไง...แผนล่อลิงลงจากต้นไม้สำเร็จ พิมพ์รพีพรไต่ลงมาจากต้นมะขามด้วยใบหน้าบึ้งตึง ปลัดเมฆาเงยหน้ามองดูหญิงสาวยิ้มๆ
“ถอยไปสิ” พิมพ์รพีพรนั่งอยู่บนกิ่งมะขามที่สูงจากพื้นเกือบสองเมตร ขาเรียวขาวห้อยต่องแต่ง ส่งผลให้คนมองคิดไปถึงไหนต่อไหน เพราะรู้ดีว่าขาเรียวนั้นลื่นมือเพียงใดยามลูบไล้
“มองอะไร บอกให้ถอยไปไง ฉันจะลงแล้ว” หญิงสาวหน้าตาบูดบึ้งก้มลงมองหน้าปลัดหนุ่ม แล้วส่งเสียงเอะอะโวยวายไล่คนตัวโตออกจากโคนต้นมะขาม
“ผมจะรอรับ กระโดดลงมาเลย” แววตาพราวระยับกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำให้พิมพ์รพีพรอยากจะชกหน้าหล่อเข้มนั้นสักครั้ง
“ไม่ต้อง! ฉันขึ้นเองได้ ฉันก็ลงเองได้” ปลัดเมฆายอมถอยจากโคนต้นมะขาม เขาออกมายืนอยู่ห่างๆ แต่สายตายังจับจ้องร่างบาง ที่กำลังเอี้ยวตัวลงจากต้นไม้อย่างไม่วางตา
“เดินไปสิ” พิมพ์รพีพรตวาดเสียงดัง เมื่อลงมายืนบนพื้นแล้วเห็นปลัดเมฆาจ้องมองตน และไม่ยอมขยับตัวเดินไปไหนสักที
“คุณก็เดินนำไปก่อนสิ” ปลัดเมฆายิ้มยั่วพร้อมกับเลิกคิ้วเข้ม พิมพ์รพีพรถอนหายใจแรงๆ แล้วสะบัดหน้าเดินกระแทกเท้านำไปก่อน
“ไม่รู้เวรกรรมอะไรของฉันที่ต้องมาเจอคนอย่างคุณ” เดินไปก็บ่นไป แต่คนที่ฟังกลับยิ้มกับคำพูดของหญิงสาว
“เขาเรียกบุพเพสันนิวาสจ้ะ คุณต้องเรียกใหม่ให้ถูกต้องนะ” พิมพ์รพีพรหยุดกึก หันหน้ากลับมาเผชิญกับคนตัวโตที่ไม่ทันระวังตัว ทำให้หน้าอกนุ่มหยุ่นของเธอปะทะกับแผงอกแกร่งเขาอย่างจัง ปลัดเมฆาคว้าหมับเข้าที่เอวบางตามสัญชาตญาณทันที เพราะกลัวว่าพิมพ์รพีพรจะเสียการทรงตัวล้มลง
“ปล่อยฉันนะ” เสียงหวานแหลมบาดแก้วหูตวาดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับมือเล็กๆที่ระดมทั้งหยิกข่วนทำร้ายเขาสารพัด
“โอ๊ย! นี่คุณ...ผมช่วยไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้นแท้ๆ ขอบคุณสักคำก็ไม่มี แล้วยังจะมาทำร้ายร่างกายกันอีกนะ” พิมพ์รพีพรไม่ฟังอะไรทั้งนั้น หญิงสาวตั้งหน้าตั้งตาดิ้นขลุกขลักให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น ปลัดเมฆาจึงจำยอมคลายอ้อมแขนออกอย่างแสนเสียดาย
“คุณนี่มันจอมฉวยโอกาสที่สุด”
หญิงสาวมองสบตาดวงตาคมเข้มด้วยแววตาที่โกรธจัด โกรธชายหนุ่มที่มาสัมผัสแตะต้องร่างกาย และโกรธตัวเองที่หัวใจดันเต้นโครมครามเวลาถูกเขาสัมผัส เขาจะจับได้ไหมนะว่าเธอตื่นเต้นมากแค่ไหนตอนที่อยู่ในอ้อมแขนเขา
“คุณน่าจะทำตัวให้คุ้นเคยนะ เพราะต่อไปเราจะต้องใกล้ชิดแนบแน่นกันมากกว่านี้อีก” รอยยิ้มยั่ว และแววตาล้อเลียนทำให้อารมณ์แม่เสือสาวพุ่งปรี๊ด
“ฉันเปลี่ยนใจแล้วปลัดเมฆ ฉันจะไม่แต่งงานกับคุณ ใครจะคิดอะไรยังไงก็ช่าง” พิมพ์รพีพรสะบัดหน้าหนีทันทีที่พูดจบ