“คุณดารินคะ.. ทานยานะคะจะได้ไม่ปวดหัว” พยาบาลสาวประคองถ้วยยามาในฝ่ามือยื่นให้หญิงวัยกลางคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนมองเหม่อไปทางหน้าต่างห้องคนไข้ตลอดเวลา นางไม่ได้หันมาเธอจึงจับมือดารินให้แบออกเพื่อรับยาในถ้วยที่เธอถือมา
“คุณผู้ชายกลับมารึยัง” ดารินหันมาถามพยาบาลสาวทันที นางจำอะไรไม่ได้ความทรงจำสับสนเลอะๆเลือนๆ แต่สิ่งเดียวที่นางยังจำได้อย่างแม่นยำคือนางมีสามีชื่อการัณและตอนนี้เป็นตอนที่นางเพิ่งแต่งงาน ที่นางถามคำถามเดียวกันนี้บ่อยๆเพราะนางเข้าใจว่าสามีไปต่างประเทศจึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน
“ยังค่ะ คงอีกหลายวัน คุณทานยาก่อนดีกว่าค่ะคุณผู้ชายกลับมาจะได้เห็นว่าคุณสบายดีแล้วนะคะ” พยาบาลตอบคล้ายๆ กันทุกครั้งแต่ดารินก็จำไม่ได้ นางพอใจแค่รู้ว่าสามียังไม่กลับมาและนางยินดีรอต่อไปเท่านั้น พยาบาลสาวจับแก้วน้ำจ่อรอที่ปากดารินกระตุ้นให้นางกินยาซึ่งนางก็กินอย่างว่าง่าย
ดารินนั้นหลังจากเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในบ้านสติของนางก็หลุดลอย นางไม่ได้บ้าร้องไห้ร้องห่มโวยวายแต่นางกลับหลงเวลาคิดว่าตนเองยังอยู่ในวัยสาวและเพิ่งแต่งงานส่วนสามีไปทำงานต่างประเทศยังไม่กลับ แต่ก็มีเพียงแค่นั้นในมโนสำนึกของดารินนอกเหนือจากนี้นางจำอะไรไม่ได้ประติดประต่อเรื่องราวก่อนหลังอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ที่ไหนไม่สบายเป็นอะไร คุณหมอประภัทรซึ่งเป็นเจ้าของไข้และเป็นเพื่อนสนิทกับจรัสพงษ์บอกว่าถึงดารินจะจำอะไรไม่ได้และเลอะเลือนแต่ก็มีโอกาสรักษาให้หายเป็นปกติได้มากทีเดียวเพราะดารินไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านการรักษา
จรัสพงษ์และการินโทรนัดกับหมอประภัทรไว้ล่วงหน้าแล้วจึงตรงไปที่ห้องทำงานของหมอทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล
“สวัสดีครับอาหมอ” การินยกมือไหว้ทำความเคารพหมอประภัทร
“สวัสดีหลานชาย พงษ์ นั่งก่อนสิ” คุณหมอเชื้อเชิญชายต่างวัยทั้งสองคนที่โต๊ะรับแขกในห้องทำงาน
“ยุ่งอยู่มั้ยหมอ” จรัสพงษ์ทักเพื่อนสนิท
“วันนี้ไม่ว่ะ คนไข้ทุกคนน่ารักมากสงสัยจะสงสารหมอ” หมอประภัทรยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
“ปกติยุ่งเหรอครับอาหมอ” การินเห็นหมอมีท่าทีผ่อนคลายและดูสบายๆ เขาก็คลายความเครียดไปได้มากทีเดียว
“ก็ไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอกรินถ้าไม่มีเคสยากๆ อ่ะนะ”
“เคสยากๆ นี่ประมาณไหนวะหมอ” จรัสพงษ์เห็นคนไข้ในโรงพยาบาลแล้วก็รู้สึกเห็นใจจิตแพทย์เลยทีเดียว เพราะเขาคิดว่ารักษาร่างกายมันยังดูง่ายกว่ารักษาจิตใจมากมายนัก เท่าที่เห็นๆเขาก็ว่ารักษายากเย็นแล้วยังมีเคสยากๆกว่านี้อีกรึ
“ก็ประมาณเผลอไม่ได้ชอบทำร้ายตัวเอง จิตหลอนคิดไปเองต่างๆนาๆ สองบุคลิกอะไรประมาณนี้ ส่วนที่เจอๆอยู่ทุกวันส่วนใหญ่จะเกิดเพราะความเครียด ความผิดหวังเสียใจ บางประเภทก็เป็นเพราะเคมีในสมองบกพร่องไม่ได้เป็นเพราะจิตใจ ถ้าเป็นประมาณนี้ก็ดูแลไม่ยากแต่ต้องดูแลต่อเนื่องต้องใช้เวลาถึงจะหายขาดได้”
“แล้วอย่างแม่ผมจะมีโอกาสหายเป็นปกติมั้ยครับ” การินถามคำถามที่อยากถามมาหลายวันแล้ว ถึงแม้จรัสพงษ์จะบอกไปแล้วว่าดารินมีโอกาสหายแต่เขาก็อยากได้ยินจากปากหมอ
“มีโอกาสมากหลานชาย คุณดารินไม่ต่อต้านการรักษาให้ความร่วมมือดีมาก เธอจะมีลักษณะเงียบขรึมแต่ก็ไม่เคยขัดข้องถ้าจะให้ทำอะไรเธอก็จะทำตามทุกครั้ง”
“ตั้งแต่เกิดเรื่อง...ผมไม่ได้มาเยี่ยมแม่เลยเพราะต้องดูแลเรื่องงานคุณพ่อ แม่เป็นยังไงบ้างครับอาหมอ” การินเอ่ยถึงเหตุการณ์อันโศกสลดอย่างยากเย็น
“วันที่อาไปรับคุณดารินมาโรงพยาบาล อาให้ยาระงับประสาทกับคุณแม่หลานเพื่อให้เธอสงบลงเพราะเกรงว่าประสาทเธอจะตึงเครียดมากจนช็อคเธอก็หลับมาตลอดจนถึงโรงพยาบาล พยาบาลดูแลอาบน้ำสระผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอใหม่ซึ่งก็คือชุดคนไข้เหมือนคนอื่นๆ แต่พอเธอก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเองเธอก็มีอาการตื่นตระหนกทันทีและพยายามฉีกทึ้งชุดคนไข้ออกจากตัวเป็นพัลวัน อาก็เลยตัดสินใจบอกพงษ์ให้เด็กเอาเสื้อผ้าของคุณดารินมาใส่ให้เธอจะดีกว่าและก็ให้พงษ์หาช่างมาจัดห้องให้เธอใหม่เป็นห้องนอนปกติเธอก็เลยรู้สึกสงบขึ้นมากเลยทีเดียว”
“หรือครับ...แล้วแม่จำได้มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น”
หมอประภัทรส่ายศีรษะช้าๆ
“จำไม่ได้เลย คุณดารินจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยสักนิด และตอนนี้เธอก็หลงคิดว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวและเพิ่งแต่งงานส่วนคุณการัณสามีเธอไปต่างประเทศยังไม่กลับ แต่เธอก็จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตอนนี้เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ที่นี่ที่ไหน? สมองเธอไม่รับรู้ เธอยินดีรับรู้ข้อมูลเพียงเท่าที่เธออยากจำไว้เท่านั้น”
ดวงตาของการินสลดลง ดารินย้อนกลับไปสู่วัยสาว...นั่นก็หมายความว่ายังไม่มีเขาอยู่ในความทรงจำ
“ก็แสดงว่าแม่คงจำผมไม่ได้ด้วย ใช่มั้ยครับอาหมอ”
“ใช่” หมอพยักหน้ารับ
“ถ้าผมจะไปเยี่ยมแม่จะได้มั้ยครับ” การินอยากเจอมารดาแม้ว่านางจะจำเขาไม่ได้ก็ตาม เขาอยากกอดแม่ อยากกราบลงบนตักแม่อีกครั้ง
“ได้สิหลานชาย คุณดารินไม่เคยมีปัญหาเวลามีคนแปลกหน้าเข้าไปในห้องเธอ เธอจะแค่มองเฉยๆแล้วก็ไม่สนใจอีก หลานเข้าไปเยี่ยมก็ต้องทำใจหน่อยนะว่าแม่อาจจะจำลูกไม่ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมแล้วครับ” การินพูดยืนยันแต่ก็ไม่ช่วยให้เขาพร้อมได้เลย เขาเพียงเตรียมตัวเตรียมใจมาพร้อมสำหรับอาการของมารดาทุกอย่างหากเกิดขึ้น ไม่ว่าจะอาละวาด ร้องไห้ ตีอกชกหัวตัวเองทำร้ายตัวเอง แต่เขาไม่ได้เตรียมใจมาเลยสำหรับความทรงจำระหว่างแม่ลูกที่หายไป
“เอ้า...งั้นไปกัน พงษ์เข้าไปพร้อมหลานเลยนะ” ประภัทรหันไปเรียกเพื่อน
“เออๆ ...นำไปเลย” จรัสพงษ์เดินตามหลังไป
ประตู้ห้องคนไข้ถูกเปิดออกช้าๆ แสงสว่างจากหน้าต่างด้านในห้องส่องมากระทบสายตาการินทำให้เขาต้องหยีตามอง ภายในห้องถูกจัดให้เป็นห้องรับแขกมีโซฟาตัวหนานุ่มสีน้ำตาลอ่อนตั้งอยู่กลางห้อง ริมสุดด้านในใกล้ๆ หน้าต่างมีชุดโต๊ะทานอาหารขนาดกะทัดรัดบนโต๊ะประดับด้วยดอกไม้ในแจกันแก้วใสดูสวยสดชื่น ผนังห้องติดวอลเปเปอร์สีเทอร์คอยส์อ่อนๆดูสบายตา ส่วนนี้ถูกจัดไว้ให้ดารินนั่งเล่นอ่านหนังสือหรือนิตยสารต่างๆ แต่เธอก็ยังไม่เคยมาใช้ห้องนี้เลยเพราะเธอไม่ยอมออกมาจากห้องนอน
การินเดินไปที่หน้าต่างห้องมองออกไปด้านนอกก็พบว่าเป็นวิวสวนดอกไม้ด้านหลังโรงพยาบาลที่ดูเงียบสงบ หมอประภัทรจัดห้องให้มารดาเขาได้เหมาะมากๆ
‘เพราะแบบนี้ละมั้งแม่ถึงดูสงบมาก อาหมอใส่ใจเลือกห้องให้เหมาะมากจริงๆ’
“เข้าไปในห้องนอนกันเถอะหลานชาย แม่หลานอยู่ในนั้น” ประภัทรตบไหล่เรียกการินเบาๆ แล้วเดินนำไปเปิดประตูห้องนอน
ภายในห้องนอนสลัวกว่าด้านนอกเล็กน้อย การินมองไปทางเตียงที่อยู่ติดกับหน้าต่างก็เห็นร่างบางๆของมารดาครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง เขาอยากจะวิ่งไปกอดมารดา อยากจะปลอบประโลมให้นางหายหวาดหวั่น อยากจะบอกว่าทุกอย่างไม่ใช่ความผิดของแม่ มันเป็นเพราะนังสองแม่ลูกจอมเจ้าเล่ห์นั่นทั้งนั้น แต่เขาก็ทำไม่ได้....เขาทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ เพราะเกรงว่ามารดาจะตกใจ
หมอประภัทรส่งสัญญาณให้จรัสพงษ์และการินรอก่อนแล้วเดินเข้าไปหาดารินตามปกติ นางมีทีท่าเฉยเมยเหมือนเคยไม่ว่าหมอจะชวนคุยอะไรนางก็ได้แต่มองไปที่หน้าต่าง นางจะพูดคุยก็ต่อเมื่อเห็นพยาบาลผู้หญิงเดินเข้ามาและบทสนทนาก็มีเพียงประโยคที่ถามถึงสามีซ้ำๆเท่านั้น หมอเห็นว่าดารินดูเป็นปกติเหมือนทุกๆวันจึงเรียกจรัสพงษ์กับการินเข้ามาใกล้ๆ
“ทักเธอเบาๆนะ อย่าแตะตัวเธอ” หมอพูดกับจรัสพงษ์
“สวัสดีครับคุณริน...” จรัสพงษ์ทักทายเธอด้วยเสียงพูดนุ่มนวลแต่ก็ไม่แตะโดนแม้เตียงคนไข้ทำตามคำแนะนำของหมอประภัทรเพื่อนรักอย่างเคร่งครัด
ดารินหันตามเสียงทักทายที่แปลกหูกว่าทุกวัน นางทำหน้านิ่วเล็กน้อยเหมือนกำลังนึกอะไรอยู่ แต่แล้วนางก็หันกลับไปทางหน้าต่างเหมือนเดิมโดยไม่พูดไม่จาอะไร หมอจึงหันไปพยักหน้าเรียกการินเป็นคนต่อไป
การินใจสั่นหวาดหวั่น กลัวเหลือเกินว่ามารดาจะจำตนไม่ได้ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้ว เขาเดินเข้าไปข้างเตียงของดารินช้าๆ ไม่แตะตัวนางและไม่แม้แต่จะแตะเตียงคนไข้เช่นเดียวกับจรัสพงษ์ เขาเอ่ยทักมารดาอย่างยากเย็นด้วยความคิดถึง
“หวัดดีครับแม่...” การินยกมือไหว้ อยากจะกราบลงบนตักแม่เหมือนเคยแต่ก็ทำได้เพียงแค่นั้น
ดารินขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงทั้งๆที่ยังไม่ได้หันมาดูว่าใครทัก นางหอบหายใจแรงขึ้นหันหน้าไปทางเสียงที่ได้ยินอย่างรวดเร็วอย่างที่หมอประภัทรก็นึกไม่ถึงว่านางจะมีปฎิกิริยาทันควันเช่นนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเสียงของใครก็กระตุ้นการตอบสนองของดารินไม่ได้เลย
“อะ..อะ..” ดารินหันมามองการินเต็มตาแล้วนางก็ตาเบิกโพลงแทบจะเห็นแต่ตาขาว ปากอ้าค้างส่งเสียงสั้นๆออกจากลำคอ
“แม่ครับ ผมเองไงครับ รินลูกแม่ไง” การินตกใจในอาการของมารดาอย่างมากไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แค่จำเขาไม่ได้ถึงกับทำท่ากลัวลนลานถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาจึงพยายามเรียกสติดารินให้กลับมา
“อ๊า! อัก! ..อึก! อึก! อึก!!!” ดารินตาเหลือกลานกระถดตัวหนีจนสุดหัวเตียง ปากอ้าค้างส่งเสียงอึกๆอักๆเหมือนหายใจไม่ออก
“แม่! นี่ผมรินไงแม่ แม่ครับ!” การินทนไม่ไหวเอื้อมมือไปจับไหล่มารดาพยายามจะเรียกความทรงจำของนางกลับคืนมา
“รินอย่าจับเธอ!”
” รินอย่า!!” หมอประภัทรกับจรัสพงษ์ประสานเสียงห้ามแทบจะวินาทีเดียวกันแต่ก็ไม่ทันแล้ว การินโผเข้ากอดมารดาด้วยความคิดถึงและอยากได้ความรักจากแม่คืนมาจนลืมคำสั่งของหมอไปเสียสิ้น
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!! กรี๊ดดดดดดด!!!! กรี๊ด! กรี๊ด!!! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!! ฉันไม่ได้ทำ!!! ฉันไม่ได้ทำ!!!! ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!! ฉันไม่ได้ทำๆๆๆๆๆ!!!! อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!! อ่อกๆๆ!” ดารินกรีดร้องสุดเสียงตาเหลือกลานตะเกียกตะกายลงจากเตียงจนล้มลุกคลุกคลานรวดเร็วจนหมอกับจรัสพงษ์จับไว้ไม่ทัน นางคลานเข้าไปซุกอยู่ในห้องน้ำ หมอต้องรีบวิ่งไปดันประตูไว้เกรงว่านางจะล็อคประตู
“คุณดาริน! คุณดารินครับ! ใจเย็นๆ!” หมอประภัทรรีบหาผ้าขนหนูให้ดารินกัดไว้เพราะนางทำท่าจะช็อค พยาบาลพร้อมบุรุษพยาบาลรีบวิ่งเข้ามาช่วยหมอประภัทรแก้ไขอาการของดารินอย่างรวดเร็ว ทั้งหมอทั้งพยาบาลรีบช่วยดารินกันมือเป็นระวิงซึ่งตอนนี้นางสลบไปแล้ว บุรุษพยาบาลอุ้มดารินที่มีท่อช่วยหายใจสอดไว้ที่คอออกมาจากห้องน้ำแล้ววางลงบนรถเข็นเตียงเพื่อนำนางเข้าห้องICUอีกครั้งเนื่องจากอาการกำเริบหนัก
“พงษ์ ริน รอที่นี่ก่อน! เดี๋ยวลุงมา!” หมอประภัทรหันมาบอกชายสองวัยที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กลางห้องคนไข้แล้วรีบวิ่งตามบุรุษพยาบาลไปที่ห้องICU
ภายในห้องคนไข้สีเทอร์คอยส์มีแต่ความเงียบสงัด ทนายความประจำตระกูลทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง เขาตกใจกับปฎิกิริยาของดารินมาก นางเห็นหน้าเขาก็เฉยๆแต่ทำไมเห็นการินแล้วนางถึงสติหลุดลอยถึงเพียงนั้น จรัสพงษ์เงยหน้ามองการินซึ่งยังยืนนิ่งตัวแข็งอยู่กลางห้องเหมือนเดิมด้วยความสงสารสุดใจ เขารู้ดีว่าชายหนุ่มรักพ่อรักแม่มากแค่ไหน พ่อหมดบุญจากไปคนนึงแล้ว เหลือแม่แม้จะมีปัญหาทางจิตแต่หากลูกชายยังสามารถไปมาหาสู่แวะมาเยี่ยมเยียนมารดาได้บ้างความทุกข์ความโศกเศร้าคงเบาบางลง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดดารินถึงกลัวลูกชายจนลนลานขนาดนั้น
“ริน...นั่งลงก่อนเถอะ รอหมอมาแล้วค่อยปรึกษากัน” จรัสพงษ์เรียกชายหนุ่มด้วยความห่วงใย
“อาพงษ์ครับ....แม่จำผมไม่ได้ หน้าผม...เสียงผม..แม่ก็ได้ยินได้เห็นไม่ได้ด้วยเหรอครับ” การินยืนนิ่งที่เดิมถามคำถามที่รู้ว่าจรัสพงษ์ก็ตอบไม่ได้ ใบหน้าที่ก้มอยู่มีน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย การินร้องไห้จนน้ำตานองหน้า
“ริน! ....” จรัสพงษ์ใจหายสงสารชายหนุ่มจับใจรีบลุกไปโอบกอดคนที่เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ซึ่งเขารักเสมือนลูกชายคนนึงเลยทีเดียว
“ใจเย็นๆ ริน...หมอต้องมีคำตอบให้แน่นอน รินใจเย็นๆก่อน” จรัสพงษ์กอดการินปลอบโยนลูบหลังลูบไหล่เขาเหมือนเขาเป็นเด็กๆทำให้การินรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง น้ำตาที่ไหลค่อยๆเหือดแห้งลงแต่ตาก็ยังแดงช้ำ
เวลาผ่านไปเกือบชม.เศษๆ หมอประภัทรก็เดินเข้ามาในห้อง
“เป็นยังไงมั่งหมอ”
” อาหมอครับ แม่เป็นไงมั่ง” สองชายต่างวัยแย่งกันถามเมื่อเห็นหน้าหมอประภัทร
“เอ่อ...ใจเย็นๆ นะ เรานั่งคุยกันดีกว่า” หมอทิ้งตัวลงบนโซฟา จรัสพงษ์กับการินจึงนั่งลงตามกัน
“ทำไมแม่ถึงเป็นแบบนั้นละครับอาหมอ” การินละล่ำละลักถาม
“อาจะขอบอกอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมเลยนะเพราะอามีเวลาไม่มาก คุณดารินต้องได้รับการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพราะอาคิดว่ารู้สาเหตุอาการของคุณดารินคร่าวๆแล้วจากปฎิกิริยาเมื่อครู่เมื่อเห็นหลานชาย”
“อาหมอบอกมาเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นยังไงผมก็ต้องรู้”
“คุณดารินพยายามจะลืมเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นและจิตใต้สำนึกของเธอก็ทำได้สำเร็จ นั่นคือก่อนหน้าที่รินจะมาเยี่ยมแม่ เธอจะแค่สับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ความคิดต่างๆไม่ประติดประต่อกันแต่เธอก็ไม่อาละวาดโวยวายเลยสักครั้ง แต่วันนี้เธอเห็นหน้าริน ได้ยินเสียงริน ความรักของแม่นั้นมันเกินกว่าที่อะไรจะมาปิดกั้นได้แม้แต่จิตใต้สำนึก เธอจำเสียงรินได้ จำหน้ารินได้แต่เพียงแค่ความทรงจำนั้นจะฉายออกมาในสมองเธอชัดๆ เธอก็จะจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้อีกครั้งซึ่งเธอไม่ต้องการ เธอปิดกั้นตัวเองอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว เธอใช้จิตสำนึกของเธอสั่งตนเองอีกครั้งว่าเธอยังไม่เคยมีลูกเพราะช่วงเวลานี้เธอจะปลอดภัยไม่มีวันนึกถึงเหตุการณ์สยดสยองในวันนั้นได้อีก”
“ก็แปลว่า...แม่จะเห็นหน้าผมอีกไม่ได้แล้ว” การินตาแดงก่ำด้วยความเจ็บปวดหัวใจเหลือประมาณ เขาไม่เคยพบประสบความเจ็บปวดใดที่ปวดแปลบเท่านี้มาก่อนเลย
“ใช่...อารู้ว่ารินเจ็บปวดมากกว่าที่อาจะจินตนาการออก แต่เราต้องตัดความเสี่ยงในการกำเริบของอาการออกไปก่อน คุณดาต้องได้รับการรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไป หากเธอหวาดกลัวจนขาดสติอยู่เรื่อยๆการรักษาก็แทบจะต้องเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งไปซึ่งเป็นผลเสียต่อเธออย่างมาก”
“.............” การินพูดอะไรไม่ออก หัวใจมันปวดร้าวจนจินตนาการไม่ถูกแบบหมอประภัทรว่า น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลอาบใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้งจนเขาต้องเอามือปิดหน้าสะอึกสะอื้นอย่างไม่อาย
“เข้มแข็งไว้ ริน..” จรัสพงษ์โอบกอดหลานชายแนบแน่นอีกครั้ง
“ริน...อาขอเอาเกียรติแห่งวิชาชีพเป็นประกันว่าอาจะรักษาแม่ของรินอย่างสุดความสามารถ ทุกๆหนทางที่อาจทำให้คุณดารินดีขึ้นอาจะทำทุกอย่าง ขอให้รินเข้มแข็ง การเสียสละของรินในวันนี้ขอให้คิดว่าเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบุพการีเป็นความรักที่ลูกมอบให้แม่ ถึงแม้จะให้เห็นหน้าไม่ได้พูดคุยไม่ได้แต่รินก็ได้สร้างกุศลจากความอดทนของรินเพื่อช่วยให้การรักษาเป็นไปด้วยดี กุศลผลบุญนี้ก็จะส่งผลให้แม่ดีขึ้นๆนะ” หมอประภัทรตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ
“ผม...จะพยายาม....เข้มแข็งให้สุดใจครับ อาหมอ” การินเงยหน้ารับปากกับหมอประภัทร แววตาปวดร้าวแต่ฉายแววเข้มแข็ง
“ดีแล้ว เราจะพยายามด้วยกันนะ”
“ครับ..อาหมอ..”
การินกลับมาบ้านแล้ว เขานอนตาเบิกโพลงอยู่บนเตียงนึกถึงอาการของมารดาเมื่อตอนบ่าย ไม่มีพ่อแล้ว....แม่ก็ไม่สามารถพูดคุย เห็นหน้า หรือโอบกอดเขาได้อีกต่อไปแล้วจนกว่าจะถึงวันที่นางหายดีซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เหลือเพียงเขาตัวคนเดียวบนโลกใบนี้...
“แม่ครับ....ผมจะสู้เพียงลำพังต่อไปได้ยังไงครับ ผมคิดถึงแม่นะครับ..”
การินหลับตาลงด้วยจิตใจอันอ่อนล้า ปล่อยน้ำตาให้ไหลไปจนแทบเป็นสายเลือด...