ดวงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่ขึ้นตรงเส้นขอบฟ้า แสงแรกของวันกำลังสาดละมุนไปทั่วไร่ชาสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มเจ้าของไร่ถือแก้วกาแฟหอมกรุ่นยืนชมแสงนวลฉาบไร่ชาจากระเบียงบ้านด้วยความภูมิใจ
การินทุ่มเทเพื่อไร่ชาผืนนี้มาหลายปีจนมันเติบโตสร้างผลผลิตได้ในเวลาไม่นาน เขาใช้ความรู้ด้านการเกษตรที่ได้ร่ำเรียนมาพัฒนาไร่ของเขาจนประสบความสำเร็จอย่างมาก วิทยาการการเกษตรช่วยให้ทุกอย่างออกดอกออกผลได้รวดเร็วกว่าการทำการเกษตรแบบตามมีตามเกิดมาก ทุกอย่างผ่านการดำเนินการจัดการอย่างมีระบบ มีห้องแล็ปปลอดเชื้อเพื่อการเพาะพันธุ์และต่อสู้กับศัตรูพืช วิทยาการและเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ใบชาของเขามีชื่อเสียงในเวลาไม่นานเพราะเป็นใบชาคุณภาพดีจากชาพันธ์ดีของญี่ปุ่นแท้ๆ ซึ่งเขาได้นำเข้ามาปลูกเมื่อ 5 ปีที่แล้วและยังปลูกแบบออร์แกนิคไม่ใช้สารเคมีอีกด้วย ตอนนี้ไร่ชาของเขาผลิดอกออกผลทำกำไรมหาศาลจนต้องขยายไร่ออกไปเรื่อยๆ ทำให้ชาวบ้านแถบนั้นมีรายได้จากการทำงานที่ไร่ของเขามากกว่า 2 พันคน ทั้งเก็บยอดชา,ในโรงงานผลิตชา,เลี้ยงและดูแลต้นชา,โรงงานแปรรูปใบชา ฯลฯ รวมถึงการนำเที่ยวไร่ชาเป็นหมู่คณะด้วย
การินมีความสุขมากขึ้นเมื่อหันเหชีวิตมาทำไร่อย่างที่ตนเองชอบ เขารู้สึกสงบและเป็นสุขเมื่ออยู่ท่ามกลางไร่ชาเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา เขาทิ้งอดีตอันโหดร้ายไว้ที่กรุงเทพฯ หันมามีชีวิตอยู่กลางไร่กลางสวนที่เชียงราย ที่นี่สงบเงียบผู้คนไม่พลุกพล่าน ไม่มีใครรู้จักเขา ไม่มีใครรู้จักพ่อแม่เขา ไม่มีใครสนใจเขานอกจากรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของไร่ชาเท่านั้น เขาสบายใจที่จะเข้าเมืองไปซื้อหาของใช้จำเป็นด้วยตัวเอง เดินตลาดสดที่ชาวบ้านนำของมาขายซื้อหาบางอย่างที่สนใจหรือเป็นผลิตผลที่ชาวบ้านปลูกเองเพื่อกลับไปให้แม่ครัวทำอาหารให้กิน การินใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายไม่มีรถสปอร์ตคันหรูอีกต่อไปมีแต่รถขับเคลื่อน 4 ล้อสำหรับงานในไร่เท่านั้น ทุกอย่างดูจะสงบและเป็นสุขดีสำหรับเขาแต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่การินยังต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์
ดารินผู้เป็นแม่นั่นเอง..
เขาพาแม่มาอยู่ที่นี่ด้วยแต่เขาก็ไม่อาจไปเจอหน้ามารดาได้ ดารินอาการดีขึ้นมากจำใครๆ ได้มากขึ้นแต่ก็ยกเว้นเขาและความจำของนางก็หยุดอยู่แค่ตอนก่อนเขาเกิด เนื่องจากนางเริ่มจำอะไรต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ 3 ปีก่อนและนางก็เหมือนจะจำเขาได้เช่นกัน แต่ทุกครั้งที่นางเริ่มจะจำลูกชายได้นางจะกรีดร้องแทบสิ้นสติทุกครั้ง หมอประภัทรจึงตัดสินใจสะกดจิตขั้นสูงให้นางลืมลูกชายไปชั่วคราว หมอได้ติดต่อกับนักสะกดจิตจากเยอรมันเพื่อการนี้โดยเฉพาะเพราะมันจะอันตรายมากหากไม่ได้รับการสะกดจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันคนนั้นทำงานได้ดีไม่มีที่ติ ดารินลืมเขาไปโดยสิ้นเชิงเหมือนกับว่าเขาไม่มีมีตัวตนอยู่ในโลกนี้มาก่อน นางจำได้แค่แต่งงานกับการัณและอยู่กับเขาจนเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตไปเท่านั้น การินเสียใจจนแทบบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้แต่ถ้าเพื่อแม่จะอาการดีขึ้นเหมือนคนปกติเขาก็ยินดีที่จะให้เป็นแบบนั้น ยังไงเสียก็ดีกว่าแม่จะต้องเป็นบ้าไปตลอดชีวิต
หลังจากได้รับการสะกดจิตเขาได้เข้ารับการอบรมดูแลมารดาอย่างละเอียดจากผู้เชียวชาญ นักสะกดจิตชาวเยอรมันคนนั้นบอกว่าการสะกดไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไปจนชั่วชีวิตเพราะกลไกด้านจิตใจของคนเราซับซ้อนยิ่งนัก หากคนๆ นั้นอยากจะจำอะไรขึ้นมาให้ได้สักอย่างเราใส่สลักล็อคกุญแจเอาไว้จิตใจของเขาจะสะเดาะกลอนออกมาได้เองไม่วันใดก็วันนึงซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ อาจจะเพราะมีคนมาเขย่าสลักนั้นหรือเพราะเหตุการณ์ใดๆ ที่กระทบจิตใจก็เป็นได้ เพราะงั้นเขาไม่ต้องกลัวว่าแม่จะจำเขาไม่ได้ สักวันนึงหากนางต้องการนางจะจำเขาได้ในทันที ความทรงจำของคนเราไม่ได้หายไปไหนถ้าเราไม่ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง มันแค่คนๆ นั้นไม่อยากจำชั่วคราวเท่านั้น ถ้าจิตใจคนๆ นั้นต่อต้านผู้สะกดจิตทำอย่างไรก็สะกดกลั้นความทรงจำนั้นไม่ได้ ดารินลืมลูกชายได้ก็เพราะนางเองที่ต้องการจะลืมผู้สะกดจิตเพียงแต่ช่วยเก็บมันเข้าลิ้นชักและล็อกกุญแจเท่านั้น ก่อนจากไปนักสะกดจิตชาวเยอรมันไม่ลืมที่จะให้กำลังใจเขาและบอกว่าให้ดูแลมารดาให้ดี วันนึงนางจะกลับมากอดเขาได้อีกครั้งแน่นอน การินกอดขอบคุณตอบ
นั่นเป็นสิ่งที่เขาหวังเป็นที่สุด..
ชายหนุ่มมองไปอีกด้านนึงของไร่ชาที่เขาปลูกบ้านให้มารดาอยู่กับคนรับใช้เก่าแก่ทั้งหมดที่เคยอยู่ด้วยกันมา แม่ของเขาจะได้รู้สึกว่าเป็นวันคืนเก่าๆ เหมือนเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิมๆ ที่ผ่านมาเพียงแต่ไม่มีพ่ออยู่ด้วยเท่านั้น นางได้รับคำบอกเล่าจากจรัสพงษ์ในตอนที่อาการดีขึ้นแต่ความจำยังกระท่อนกระแท่นว่าก่อนที่การัณสามีของนางจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเขาได้ขายธุรกิจของเขาให้กับนักธุรกิจหนุ่มคนนึงไปแล้ว เอาเงินส่วนหนึ่งมาปลูกบ้านบนเนินเขาที่เชียงรายไว้เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศ แต่หลังจากที่การัณเสียชีวิตจรัสพงษ์จึงได้ขายบ้านที่กรุงเทพฯ ไปเสียและได้พาดารินมารักษาตัวอยู่ที่บ้านบนเนินเขาแทน ซึ่งนางเองก็รู้สึกสบายและอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จำอะไรต่างๆ ได้มากขึ้น จรัสพงษ์มักจะมารายงานอาการของมารดาให้การินฟังอยู่เสมอๆ ว่านางสดชื่นแจ่มใสเป็นปกติ หลังจากความจำคืนมาช่วงแรกๆ นั้นนางเสียอกเสียใจเรื่องการตายของการิณอยู่ไม่น้อยแต่นางก็ดีขึ้นในเวลาไม่นานเพราะการดูแลเอาใจใส่ของข้ารับใช้เก่าแก่ในบ้าน จนวันนี้นางแทบจะเป็นคนปกติเหมือนดารินคนเดิม หมอประภัทรจะมาเยี่ยมเยียนนางเพื่อติดตามอาการอยู่บ่อยๆ แม่ดีขึ้นทุกคืนวันเขาดีใจเป็นยิ่งนักอยากไปกอดแม่ให้หายคิดถึง อยากกราบเท้าแม่ด้วยความรักแต่เขาก็ไม่อาจทำได้ เขาไม่รู้ว่าความดีใจหรือเสียใจที่มากกว่ากัน...
“พ่อเลี้ยงครับ..รถพร้อมแล้วครับ” เสียงเรียกเบาๆ ของพิณเด็กหนุ่มคนสนิททำให้การินหลุดออกจากภวังค์
“อื้ม..ไปสิ” นายหนุ่มรับคำ เขามีประชุมกับลูกค้าที่กรุงเทพฯ ทำให้ต้องไปค้างที่นั่นสองสามวัน พิณจะตามไปรับใช้เขาด้วย
พิณเป็นเด็กหนุ่มชาวเชียงรายวัย 20 ต้นๆ การินพบพิณที่ข้างทางตอนมาดูที่เพื่อจะซื้อทำไร่ชาเมื่อหลายปีก่อน เขานั่งร้องไห้อุ้มมารดาไว้บนตักอย่างหมดเรี่ยวแรง พิณอยู่กับแม่เพียงลำพังเพราะพ่อตายจากไปนานแล้ว แม่มีอาชีพรับจ้างทำสวนทำไร่เก็บผลไม้แล้วแต่ใครจะจ้างฐานะไม่ค่อยดีนัก เด็กหนุ่มวัยรุ่นแบกแม่ขึ้นหลังเดินมาไกลกว่า3กิโลเพราะแม่ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงเกิดหมดสติกะทันหันขณะรับจ้างถางวัชพืชในสวนลิ้นจี่กับเขา เจ้าของไร่ไม่อยู่ไม่มีใครมีรถไปส่ง เขาแบกแม่ไปอนามัยแต่อนามัยบอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาลเนื่องจากเครื่องมือไม่พร้อม
พิณทั้งเดินทั้งวิ่งแบกมารดาร่างผอมบางไปตลอดทางจนหมดเรี่ยวแรง รถวิ่งผ่านไปมาไม่มีใครหยุดช่วยเขาสักคันจนเขาถอดใจว่าแม่คงจะต้องตายอยู่ข้างทางแน่แล้วเพราะแม่เริ่มหายใจหอบถี่ขึ้นๆ เขาได้แต่นั่งกอดมารดาไว้แนบอกร้องไห้โฮอยู่ใต้ต้นไม้ข้างทาง จนรถคันนึงจอดเทียบตรงหน้าชายหนุ่มท่าทางเงียบขรึมลงมาจากรถถามว่าเขาเป็นอะไร เขาเล่าไปสะอึกสะอื้นไปไม่ทันที่จะเล่าจบชายหนุ่มคนนั้นคว้าร่างแม่ของเขาอุ้มขึ้นรถไปในทันทีแล้วหันมาบอกเขาว่า 'ขึ้นรถเร็วสิ จะพาแม่เธอไปหาหมอไง’ ชายหนุ่มคนนั้นคือ การิน นั่นเอง การินรักษาแม่ของพิณจนหายดีและให้ทั้งพิณและแม่ย้ายมาอยู่และทำงานที่ไร่ชาหลังจากนั้น เขาส่งพิณเรียนจนจบปวส.และอยากให้พิณเรียนต่อจนจบปริญญาตรีแต่เด็กหนุ่มยืนยันว่าพอแล้ว พิณต้องการออกมาทำงานรับใช้การินมากกว่า เขาจึงให้พิณทำงานใกล้ชิดกับเขาเป็นพิเศษ ตั้งแต่วันนั้นพิณสาบานกับตัวเองว่าจะรับใช้การินด้วยความซื่อสัตย์ตลอดชีวิต
“เครื่องออกกี่โมงเหรอพิณ” การินถามกำหนดการที่พิณจะจัดการให้เขาทุกครั้งตามที่เขาสั่ง
“10.20น.ครับ”
“โอเค เตรียมของฝาก, ตัวอย่างสินค้าและผลิตภัณฑ์ของเราเรียบร้อยนะ”
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ”
“ดี งั้นก็ไปเถอะ จะได้ไปหาอะไรรองท้องกันก่อนขึ้นเครื่อง ฉันไม่ชอบกินอาหารบนเครื่อง” การินไม่ค่อยชอบรสชาติอาหารบนเครื่องบิน เขาว่ามันเหมือนอาหารแช่แข็งขาดความสดใหม่ เวลาจะเสริฟก็แค่อุ่นไมโครเวฟไม่ชวนกินเลยสักนิด พิณรู้ข้อนี้ดีเขาจึงจัดเวลาให้นายหนุ่มของเขามีเวลาหาอะไรรับประทานก่อนขึ้นเครื่องเพราะอยู่บนเครื่องการินจะสั่งงดเสิร์ฟอาหาร เขาจะดื่มแค่น้ำเปล่า,น้ำผลไม้หรือไวน์เท่านั้น นอกจากว่าเขาจะบินไกลไปต่างประเทศกรณีนั้นการินก็ต้องจำใจกินไม่งั้นคงต้องอด แม้แต่สำหรับชั้นfirst classอาหารก็แค่พออาศัยได้มื้อสองมื้อ เขาชอบอาหารปรุงสุกใหม่ๆร้อนๆมากกว่า พิณเองเป็นเด็กบ้านนอกตั้งแต่เกิดเขาก็ไม่ชอบรสชาติอาหารสำเร็จรูปเหมือนกัน เจ้านายกับลูกน้องทั้งสองคนเลยต้องหาอะไรกินก่อนขึ้นเครื่องซะทุกครั้งไป