ตลอดสัปดาห์การินทำงานตามปกติโดยที่ไม่มีท่าทีคุกคามพิมพ์กานต์อีกเลย เขายุ่งกับสายงานการผลิตที่กำลังจะออกสินค้าตัวใหม่เป็น ผงมัจฉะ ซึ่งการินคิดค้นวิธีการผลิตเพื่อให้ได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์และคงไว้ซึ่งสีสันเขียวสดใสของชาเขียวแท้ แค่เปิดทดลองให้ลูกค้าชิมก็ได้รับออเดอร์ล่วงหน้าแบบถล่มทลายทั้งๆ ที่ยังไม่วางตลาด เขาจึงเร่งมือทำงานเพื่อส่งให้ทันออเดอร์ของลูกค้าเลยไม่มีเวลายุ่งกับพิมพ์กานต์มากนัก
พิมพ์กานต์เองก็ตั้งใจเรียนรู้งานอย่างเต็มที่ เธอทำงานเข้าขากับการินได้เป็นอย่างดี เขาหันมาหาเธอเธอก็รู้ว่าเขาต้องการแฟ้ม เขาคุยกับหัวหน้างานเรื่องกำหนดการต่างๆแค่เขาหันมาจะบอกให้เธอจดแต่เธอก็จดเรียบร้อยแล้ว เขาร้อนเธอก็วิ่งไปหาน้ำเย็นๆมาเสิร์ฟให้โดยที่เขาไม่ได้สั่ง แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าเธอก็เตรียมมาให้เขาซึ่งมันอยู่ในตู้เสื้อผ้าจนเขาลืมไปแล้วว่ามีอยู่
การินไม่ได้แสดงออกใดๆว่าพอใจหรือไม่แต่จะนึกประหลาดใจทุกครั้งว่าทำไมเธอรู้อยู่เสมอว่าเขาต้องการอะไร ครองขวัญสอนกระทั่งเธอรู้ความต้องการของเขาเชียวรึ?
“พี่รินคะ เลยเกือบจะบ่ายสองโมงแล้วค่ะ พี่รินทานอะไรสักหน่อยมั้ยคะเดี๋ยวจะหิวนะคะ” เสียงหวานๆพูดเบาๆข้างๆการินที่กำลังยืนอ่านแฟ้มออร์เดอร์ของลูกค้าอยู่ในส่วนโรงผลิต
“หือ? ..จะบ่ายสองแล้วเหรอ เธอหิวแล้วงั้นสิ งั้นเธอก็กลับบ้านไปก่อนก็ได้ให้คนงานขับรถไปส่งละกัน” การินบอกเธอโดยไม่ได้เงยหน้าจากแฟ้มในมือ
“เอ่อ...คือพิมพ์ทำอาหารกลางวันมาด้วยน่ะค่ะ พี่รินทานสักหน่อยนะคะ” พิมพ์กานต์อ้อมแอ้มบอกกลัวเขาจะว่าเธอจุ้นจ้านจัดหาอะไรที่เขาไม่ได้สั่ง
“ห๊ะ? ..ทำอาหารกลางวัน? ทำอะไรมา” การินหันหน้ามาถามทันที
“แซนวิชทูน่า แซนวิชเนื้ออบ สลัดกุ้งย่างค่ะ” พิมพ์กานต์รีบหันไปคว้าตะกร้าใส่อาหารที่เพิ่งหิ้วออกจากรถมาเปิดให้นายหนุ่มดู
“ทำตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” การินเห็นกล่องใสๆมีแซนวิชอัดแน่นอยู่สองกล่อง สลัดผักสดกุ้งย่างอีกกล่องใหญ่พร้อมถ้วยใส่น้ำสลัดสีสวย เขาเปิดฝากล่องดูกลิ่นหอมชวนกินเตะจมูกทันทีเพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวขึ้นมาซะงั้น
“ทำก่อนออกมาค่ะ พิมพ์เห็นมีทูน่ากระป๋องเลยทำแซนวิชทูน่าง่ายๆ แล้วเนื้ออบที่เหลือเมื่อวานอยู่ในตู้เย็นพิมพ์เลยเอาออกมาอุ่นได้แซนวิชเนื้ออบอีกอย่าง กุ้งย่างป้าชื่นเสียบไม้ไว้ทำบาร์บีคิวตอนเย็นพิมพ์เลยขอมาสองไม้ย่างใส่สลัดค่ะ พี่รินทานเลยนะคะ” พิมพ์กานต์กุลีกุจอเทน้ำสลัดลงในกล่องผักสดคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วยื่นช้อนส้อมส่งให้การิน
“อือ ก็ดีเหมือนกันรองท้องสักหน่อย” ตอบไปแบบนั้นแต่ท้องร้องจ๊อกๆเลยทีเดียว การินรับช้อนส้อมจากลูกน้องสาวตักสลัดชิม
“เอาน้ำสลัดมาจากไหนล่ะ” การินถามท่าทางเนือยๆ แต่กำลังคิดว่าน้ำสลัดอร่อยถูกปากเขามากๆ
“พิมพ์ทำเองค่ะ ทำง่ายๆค่ะพิมพ์ทำบ่อยตอนอยู่อังกฤษพี่ขวัญก็ชอบ ใช้น้ำส้มคั้น หอมแดง เกลือ พริกไทยแล้วก็น้ำมันมะกอกนิดหน่อยค่ะ พี่รินชอบมั้ยคะ” พิมพ์กานต์ตักสลัดเข้าปากบ้าง ชายหนุ่มกับผู้ช่วยสาวเดินมานั่งกินกันในส่วนห้องพักพนักงานในโรงผลิต
“หิวอยู่นานแล้วทำไมไม่ไปหาอะไรกินก่อนที่โรงอาหารล่ะ อยู่ใกล้กับที่นี่เดินไปได้” การินพูดเสียงเรียบ
ที่ไร่ชาของเขามีโรงอาหารที่เป็นพวกเมียๆพนักงานนั่นเองมาเปิดร้านขายอาหารอยู่โดยเขาไม่เก็บค่าเช่าที่ ขอเพียงทำอาหารอร่อยราคายุติธรรมมาขายและรักษาความสะอาดทั้งอาหารและภายในบริเวณให้เรียบร้อย นอกจากนี้ทางไร่ยังมีเจ้าหน้าที่หุงข้าวไว้สำหรับพนักงานกินฟรีอีกด้วย พนักงานจะซื้อเพียงกับข้าวเท่านั้น
“หือ? ..พิมพ์ก็ไม่ค่อยหิวหรอกค่ะ” พิมพ์กานต์ตอบแต่ก็ตักสลัดเคี้ยวตุ้ยๆ
“ฮะฮะ....ไม่ค่อยหิวแต่เคี้ยวเต็มปากไม่หยุดเลย” การินเห็นท่าทางหิวโหยของเธออดขำไม่ได้จนเผลอยิ้มกว้างออกมาในรอบหลายวัน
“อุ๊ย! ....” พิมพ์กานต์เขินเอามือปิดปากที่ยังเคี้ยวอยู่หน้าแดง
“น้ำสลัดเลอะหน้าแล้ว” การินยื่นมือไปเช็ดหยดน้ำสลัดที่กระเด็นเลอะแก้มแดงๆของเธอ
“.....” พิมพ์กานต์ยังพูดไม่ได้อาหารเต็มปากได้แต่เบิกตาโตกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอีกแล้วของการิน
‘ยัยนี่จะทำท่าน่าเอ็นดูไปถึงไหน แก้มแดงตาโตเป็นนกฮูกอยู่ได้’ การินมองสาวน้อยแล้วก็คิดในใจกับท่าทางไร้จริตมารยาของเธอ
“เอ้า! เบิ่งตาโตอยู่ได้ กินเร็วเถอะจะได้ทำงานต่อ” การินพูดเสียงเข้ม
‘เอ๊า! อะไรอะ เมื่อกี้ยังยิ้มอยู่เลย’ พิมพ์กานต์ค่อนขอดในใจด้วยความงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปมาของพ่อเลี้ยงรูปหล่อ
“แซนวิชเนื้ออบนี่อร่อยนะ วันหลังไปไหนไกลๆเตรียมอาหารง่ายๆไปด้วยก็ดีจะได้ไม่ต้องกินข้าวลิง” การินเคี้ยวแซนวิชเต็มปากเต็มคำ
“ข้าวลิง?? ทำไมต้องกินข้าวลิงคะ? เค้ามีขายข้างทางเหรอคะ???” พิมพ์กานต์กำลังยิ้มกับคำชมถึงกับหยุดกึกสงสัยว่าข้าวลิงที่ว่าคืออะไร
“ฮะฮะฮะฮะ!!! เออ..ลืมไป! เธอไปเมืองนอกซะนานไม่ได้กลับมาเลยไม่รู้เรื่อง มันเป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าถ้าไม่หาอะไรกินไว้ก่อนเดิน
ทางไปไกลๆ ระหว่างทางอาจไม่มีอะไรกินต้องหาอาหารลิงกินก็ได้ไงล่ะ” การินหัวเราะลั่น
“อ๋อ...เด็กๆ พิมพ์ก็คงเรียนแต่พิมพ์จำไม่ได้แล้วค่ะ แย่จัง งงเลย” พิมพ์กานต์ยิ้มแหยๆ
“กินๆ เข้าเถอะ ฉันจะไปทำงานต่อแล้ว” การินสั่งเสียงเข้มอีกแล้ว
“ค่ะๆ ” พิมพ์กานต์หุบยิ้มหันไปกินแซนวิชอย่างรวดเร็ว
‘อะไรกันนะ..เดี๋ยวก็หัวเราะเดี๋ยวก็สั่งๆ ’ สาวน้อยนั่งคิดหน้ามุ่ย
การินทำหน้านิ่งเหลือบตามองเชลยสาวตรงหน้าแล้วต้องอมยิ้มมุมปาก นิ้วเรียวๆของเธอจับแซนวิชบีบแน่นเพราะใส้เยอะจนล้นทะลัก ปากเล็กๆของเธอพยายามอ้าจนสุดก็ยังกัดได้คำเล็กนิดเดียวทำให้เธอต้องรีบกินรีบเคี้ยวตามคำสั่งของเขาดูแล้วก็น่าเอ็นดูเหมือนเด็กๆที่กำลังหิว เขานั่งกัดแซนวิชของตัวเองพร้อมกับดูท่าทางที่เป็นธรรมชาติของพิมพ์กานต์ก็รู้สึกเพลิดเพลินไม่น้อย
การินมัวแต่เพลินดูกิริยาน่ารักของพิมพ์กานต์ทำให้ไม่ได้สังเกตว่าพนักงานนอกห้องแอบมองหัวเราะกันคิกคัก แทบทุกคนจะไม่เคยเห็นพ่อเลี้ยงอารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใสขนาดนี้มาก่อนเลย พ่อเลี้ยงใจดีแต่ก็ขรึมซะเป็นส่วนใหญ่จะมีก็แต่ตอนอยู่กับพิณที่จะหัวเราะหรือหยอกเย้ากันบ้างแต่ก็ไม่เคยเห็นแจ่มใสเท่าวันนี้ สายตาที่นายหนุ่มจ้องมองผู้ช่วยสาวมันบ่งบอกถึงความพึงพอใจ ตั้งแต่พิมพ์กานต์มาทำงานอยู่ข้างกายพ่อเลี้ยงแทบไม่เคยละสายตาจากเธอเลย พนักงานสาวๆทำงานไปชำเลืองมองหนุ่มสาวไปแล้วต่างก็อมยิ้มต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน พนักงานสาวๆที่ไร่ต่างชอบพิมพ์กานต์กันทั้งนั้นด้วยเพราะเธอน่ารักไม่ถือตัว อยากรู้อะไรก็ถามแล้วก็ตั้งใจฟังเมื่อมีคนตอบ ไม่เคยทำท่าทางอวดอ้างบารมีว่าเป็นผู้ช่วยคนสนิทของพ่อเลี้ยง พนักงานแทบทุกคนจึงเชียร์คู่นี้อยู่ห่างๆ แบบลุ้นๆด้วยหวังว่าพิมพ์กานต์จะชนะใจพ่อเลี้ยงรูปหล่อได้มาเป็นนายหญิงของไร่คงจะดีไม่น้อย
“พ่อเลี้ยงครับ แม่มาแน่ะครับ คุยกับป้าชื่นอยู่ในครัว” พิณคนสนิทที่เพิ่งกลับมาจากสะสางงานที่กรุงเทพฯ กระซิบการินเบาๆ เมื่อเห็นพิมพ์กานต์เดินตามลงบันไดมา
“อืม..ชวนพิมพ์กานต์คุยไปก่อน ฉันขอเวลาสักครู่” การินพยักหน้าบอกแล้วรีบเดินออกไปหาแม่ของพิณ
เขาเองที่สั่งให้นางไปช่วยดูแลแม่ของเขาอยู่ที่บ้านสวนดอกไม้เมื่อครั้งพิณมาทำงานที่ไร่ได้ไม่นาน เพราะสุขภาพนางไม่แข็งแรงมีโรคประจำตัวเขาเลยไม่อยากให้นางต้องตรากตรำงานหนักในไร่ และนางเองก็เต็มใจที่จะดูแลดารินเพราะอยากตอบแทนน้ำใจของพ่อเลี้ยงที่เมตตานางและลูก
ทุกคนในบ้านรู้เพียงว่าพ่อเลี้ยงมีบ้านในสวนดอกไม้อยู่อีกหลังนึงไม่ไกลจากไร่ชามากนักและมีป้าที่เป็นญาติห่างๆที่ต้องดูแลอาศัยอยู่ที่นั่น จึงเข้าใจกันว่า นางคำ แม่ของพิณไปทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านหลังนั้นตามคำสั่งพ่อเลี้ยงไม่มีใครติดใจสงสัยอะไร ทุกคนในไร่ไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องแม่ของการิน ยกเว้น ป้าชื่น ที่เป็นคนจัดหาคนงาน คนสวน คนดูแลบ้าน คนรับใช้สำหรับดาริณทั้งหมด ทุกๆคนเป็นญาติสนิทที่ไว้ใจได้ของป้าชื่นทั้งนั้นและต่างก็จงรักภักดีต่อการิน นายผู้มีใจอารีต่อลูกน้อง ทุกคนพร้อมใจกันรักษาความลับอย่างยิ่งยวดและไม่ปริปากเรื่องในบ้านให้ใครรู้เด็ดขาดเพื่อรักษาสุขภาพกายและใจของดาริน นางคำก็เช่นกัน ถึงแม้จะไปอยู่ร่วมบ้านในภายหลังแต่นางก็เข้าใจถึงสถานการณ์และพร้อมจะปกป้องความลับของการินไว้ไม่ให้แพร่งพรายเด็ดขาด
“น้าคำ.. คุณป้าเป็นยังไงบ้าง” การินถามถึงมารดาแต่ใช้สรรพนามว่า ป้า แทนเพื่อใครๆ จะได้ไม่ติดใจสงสัย
“คุณป้าสบายดีจ๊าพ่อเลี้ยง สองสามวันมานี้อากาศเริ่มเย็นๆ ขึ้นดอกไม้บานเต็มสวนคุณท่านยิ่งอารมณ์ดีมากเชียวจ๊ะ เดินชมสวนตลอดเลยต้องคอยเรียกให้เข้าบ้านพักผ่อนบ้างเดี๋ยวจะไม่สบายไป”
“เหรอ ดีจัง คุณป้ากินข้าวได้เยอะมั้ย ชาเขียวที่เอาไปคราวก่อนหมดรึยังล่ะ”
“คุณท่านทานเก่งอยู่จ้ะ ยิ่งอาหารพื้นเมืองยิ่งชอบ ชาเขียวแบบใหม่ที่พ่อเลี้ยงให้ไปก็ชอบจ้ะ ต้องทำชาเขียวเย็นให้ทุกวันตอนบ่ายๆ นั่งจิบชมดอกไม้สบายใจไปเลย”
“งั้นก็ดี เดี๋ยวน้าคำเอาชาเขียวแบบชงร้อนไปเพิ่มด้วยแล้วกัน รบกวนป้าชื่นจัดขนมไปเผื่อเด็กๆที่บ้านโน้นด้วยครับ” ท้ายประโยคหันไปสั่งป้าชื่นที่ยืนฟังอยู่ด้วย
“ได้ค่ะพ่อเลี้ยง”
“อ้อ! เอานี่ให้คุณแม..เอ๊ย! คุณป้าด้วย มาการองร้านโปรดของท่านที่กรุงเทพฯ เอาไว้กินกับชาตอนบ่ายๆ คงยิ่งทำให้การชมดอกไม้สุนทรีย์มากขึ้น ให้เจ้าพิณมันไปซื้อมาให้แต่โดนมันบ่นซะยกใหญ่ว่าให้ไปหาลูกค้าซะยังจะดีกว่า ให้ไปซื้อขนมแต่เรียกชื่อไม่ถูกเพราะจำไม่ได้อายเค้าแทบแย่ ฮะฮะฮะ..” การินก็ยังมีรอยยิ้มสำหรับลูกน้องคนโปรดเสมอ
“แหม..ขนมอะไรหนอสีสวยน่ารักซะจริงแถมชื่อก็เรียกยากอีก คงจะจริงอย่างเจ้าพิณมันว่าแหละจ้ะ ถ้าให้น้าไปซื้อน้าคงจะขายขี้หน้าแน่ๆ
” น้าคำรับถุงที่การินส่งให้มาเปิดดูขนมสีสวยๆข้างใน
“สีสวยแล้วก็กินได้ด้วยนะ ในถุงมีหลายกล่องแบ่งๆกันลองชิมได้ ถ้าชอบคราวหน้าไปกรุงเทพฯจะซื้อมาฝากอีก”
“พ่อเลี้ยงมีน้ำใจกับพวกเราเสมอเลยนะจ๊ะ ของแพงๆยังอุตส่าห์ซื้อมาเผื่อ”
“แค่ของกินน่ะจะหวงไปทำไม เราซื้อมาให้เขากินแล้วอร่อยชอบใจแค่นั้นคนซื้อก็ดีใจแล้ว แค่นี้ไม่ได้ทำให้เราจนลงหรอก”
“ขอบคุณพ่อเลี้ยงจ้ะ น้าลาเลยนะจ๊ะออกมานานพอดูแล้ว พอดีเจ้าพิณมันกลับมาก็เลยแวะมาคุยกับมันอยู่พักนึงแล้วจ้ะ”
“ครับ ผมก็จะไปทำงานแล้วเหมือนกัน ฝากดูแลคุณป้าด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ น้าและทุกๆ คนที่บ้านจะดูแลคุณท่านให้ดีที่สุดจ้ะ”
ป้าชื่นหิ้วถุงขนมเดินไปคุยไปส่งนางคำที่รถประจำบ้านสวนดอกไม้ที่การินซื้อไว้ให้ใช้ สำหรับคนในบ้านจะไปซื้อของหรือไปไหนมาไหนได้สะดวก หรือหากมารดาเป็นอะไรปัจจุบันทันด่วนจะได้นำส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที แต่ก็ยังไม่ได้มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นซึ่งการินก็คิดว่าดีแล้วและภาวนาว่าอย่าให้เกิดขึ้นเลย
สุขภาพของดารินดีขึ้นเป็นปกติทุกอย่าง หมอประจำจากโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ จะขึ้นมาตรวจสุขภาพให้นางทุกๆ 2 เดือน และหมอประภัทรจะมาเยี่ยมนางทุกๆ 3 เดือนเพื่อประเมินสภาวะทางจิต ซึ่งหมอประภัทรพอใจผลการตรวจทุกครั้งเพราะดารินดีวันดีคืนไม่แสดงอาการทางจิตอีกเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ คุณหมอลงความเห็นว่าการินทำถูกแล้วที่ให้มารดาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เพราะนางสบายใจและสุขภาพจิตดีมาก ยกเว้นอย่างเดียวคือจำลูกชายคนเดียวไมได้เท่านั้น
‘ผมคงต้องทนมองแม่อยู่ห่างๆแบบนี้สินะครับ อีกนานเท่าไหร่กันผมถึงจะนอนหนุนตักแม่ได้อีกครั้ง’ การินมองตามรถที่วิ่งกลับไปบ้านสวนดอกไม้จนสุดสายตา เดินกลับมายังไม่ทันถึงห้องโถงพักผ่อนส่วนตัวก็ได้ยินเสียงใสๆหัวเราะคิกคัก
“ฮะฮะฮะ...จริงเหรอพิณ แล้วคนขายเค้าว่าไงมั่งอะ” พิมพ์กานต์เจื้อยแจ้วถาม
“น้องคนสวยเค้าน่ารักมากครับ ผมเคยเห็นแต่ขนมที่ว่าแต่ไม่เคยรู้ว่ามันเรียกว่าอะไรเพราะพ่อเลี้ยงไปซื้อเองทุกครั้ง ผมเลยอธิบายลักษณะให้น้องเค้าฟัง น้องเค้าก็ฟังไปยิ้มไปแล้วก็ยื่นเมนูมาให้ผมชี้รูปให้ผมดูแล้วก็บอกว่า มาการอง ใช่มั้ยคะ ผมอ๊ายอายทำท่าไม่ถูกรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกะเทยแอ๊บแมนไปเลย เพราะร้านขนมเค้าหรูมากครับส่วนผมหน้าตาบ้านนอกเข้าไปในร้านหรูๆ คนก็มองทั้งร้านแล้วแถมจะซื้ออะไรดันจำไม่ได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น..ไอ้มาการองที่ว่าน่ะมันอยู่ในตู้กระจกด้านล่างผมตื่นเต้นไปหน่อยเลยไม่ได้มอง ปล่อยไก่ไปสองตัว น้ำตาจะไหล” พิณแกล้งทำท่ากรีดกรายปาดน้ำตา
“ฮะฮะฮะฮะ!! ...” พิมพ์กานต์หัวเราะงอหาย
“สนุกกันจังนะ มีอะไรให้ขำนักหนา” เสียงทุ้มเข้มดังมาจากด้านหลังของหนุ่มสาวที่กำลังคุยกันสนุกสนานทำให้บรรยากาศชะงักงัน พิมพ์กานต์หันมาตามเสียงหน้าเจื่อนๆไปนิดหน่อยเมื่อเห็นสีหน้าของการิน
“พี่ริน..เอ่อ..พิณเล่าเรื่องซื้อขนมให้ฟังน่ะค่ะ ตลกดี” สาวน้อยตอบเสียงเบา
“เรื่องหน้าแตกของผมเองครับพ่อเลี้ยง คุณพิมพ์ขำใหญ่เลย” เจ้าพิณกลับลุกขึ้นหันมาตอบหน้าเป็น
“เออ คงเล่าอวดสาวได้อีกหลายทีนะ สาวๆน่าจะชอบ” การินขมวดคิ้วหรี่ตามองลูกน้องคนสนิท
“โอ๊ย! ..น่าจะขายได้อีกหลายหนอะครับ ดูอย่างคุณพิมพ์สิ..ขำกลิ้งไปเลย หลังจากนั้นสาวๆก็จะชอบคุยกับเราครับเพราะส่วนใหญ่สาวๆจะชอบผู้ชายตลกไม่ชอบผู้ชายเครียดๆ จริงมั้ยครับคุณพิมพ์” พิณยิ้มยั่วแหย่เจ้านายที่ยืนหน้าเคร่งคิ้วขมวด
“เอ่อ...แหะๆ ..” พิมพ์กานต์ไม่ตอบยิ้มแหยๆแทน
“เออ! ฉันมันเป็นผู้ชายไม่ตลก ผู้หญิงไม่ชอบคุยด้วย!”
“เอ๊า! ผมไม่ได้ว่าพ่อเลี้ยงสักหน่อย วิเคราะห์ให้ฟังเฉยๆ ”
“พอๆ ..ไร้สาระ! ไปทำงานกันได้แล้ว ไอ้พิณ..ออกไปเตรียมรถเลยอย่ามามัวแต่โม้ให้ผู้หญิงฟัง!”
“คร้าบๆๆ ” พิณยิ้มร่าคว้ากุญแจรถคล้องใส่นิ้วควงติ้วๆเดินไปผิวปากไปน่าหมั่นไส้
“เธอล่ะ จะลุกไปทำงานได้รึยัง” การินหันมาแขวะพิมพ์กานต์ทันทีไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองหงุดหงิดเรื่องอะไร รู้แต่ว่ามันขวางหูขวางตาที่เห็นเธอหัวร่อต่อกระซิกตาเป็นประกายวิบวับอยู่กับเจ้าพิณ
“ปะ..ไปสิคะพี่ริน” พิมพ์กานต์รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ที่ยังนั่งอยู่ก็เพราะงงกับท่าทีของชายหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ทั้งๆ ที่เดินตามกันลงบันไดมาก็ยังดูอารมณ์ดีปกติ
“อย่าหว่านเสน่ห์ให้ลูกน้องฉันไขว้เขวจนเสียการปกครองเด็ดขาด เจ้าพิณมันเด็กบ้านนอกไม่ทันสาวนักเรียนนอกอย่างเธอหรอก”
“พิมพ์เปล่านะคะ เราก็แค่คุยเล่นกันเฉยๆ ” พิมพ์กานต์เถียง ไม่ยอมที่จะให้การินเข้าใจไปแบบนั้น เธอไม่มีวันเป็นผู้หญิงแบบนั้น และเธอก็ไม่มีวันมองใครอีกแล้วนอกจากเขา
“เห็นๆอยู่ว่ากระดี๊กระด๊าแค่ไหนยังมาเถียง! คุยกับเจ้าพิณหน้าชื่นตาบานซะขนาดนั้นยังจะมาบอกว่าไม่ได้ให้ท่ามันงั้นรึ ทีอยู่กับฉันเธอทำหน้าเหมือนปลาสำลักน้ำตลอดเวลา!”
“ก็ถ้าพี่รินจะยิ้มให้พิมพ์บ้าง หัวเราะกับพิมพ์บ้าง พี่รินก็จะได้เห็นพิมพ์หน้าชื่นตาบานแบบนั้นได้เหมือนกันค่ะ” พิมพ์กานต์ตอบเสียงเรียบแล้วหันหน้าหนีสายตาที่จ้องเขม็ง ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความน้อยใจ
“อย่ามายอกย้อนฉันนะพิมพ์กานต์ เธอเป็นของฉันอย่ามาทำให้ท่าใครต่อใคร เธอจะทำอะไรได้หรือไม่ได้ฉันเป็นคนตัดสินใจ ถ้าเธอจะมีผัวก็ต้องรอให้ฉันอนุญาตถึงจะมีได้!” การินคำรามรอดไรฟัน มือใหญ่กระชากต้นแขนสาวน้อยบอบบางปลิวมาปะทะอกกำยำ ริมฝีปากบดขยี้ลงบนกลีบปากนุ่ม ลิ้นอุ่นๆสำรวจซึมซับความหอมหวานไปทั่วโพรงปาก จากจูบลงโทษกลับกลายเป็นจูบล้ำลึกเร้าอารมณ์ จนเขารู้สึกว่าเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้วต้องผละจากปากนุ่มๆอย่างเสียดายนิดๆ
“จำไว้..เธอเป็นของฉันเท่านั้น!” การินผลักพิมพ์กานต์ออก พูดเสียงแหบพร่าใส่หน้าเจ้าของริมฝีปากอันหอมหวานที่เขาเพิ่งลิ้มรสไปเมื่อครู่
“.....” พิมพ์กานต์ไม่ตอบเงยหน้าสบตาชายที่เธอรักด้วยสายตาที่สุดแสนน้อยใจ น้ำตาเอ่อคลอ
“ทำไม? เสียใจอะไร? กลัวจะไม่ได้มีผัวเหรอ? ไม่ต้องกลัวไปหรอกเธอได้มีแน่จะกี่คนก็แล้วแต่เธอ แต่ระหว่างที่อยู่กับฉันยังมีไม่ได้เธอคงอดใจไหวนะ อย่างเธอนี่รออีกสักสามสี่ปีผู้ชายคงต่อแถวรอเยอะแยะ” การินพูดไปแล้วก็นึกชิงชังตัวเอง ทำไมถึงระงับอารมณ์อันขุ่นมัวไม่ได้จนต้องพูดจาหยาบคายกับผู้หญิงถึงเพียงนี้ทั้งๆที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน
“สายแล้ว ไปทำงานกันเถอะค่ะ” พิมพ์กานต์ตอบพร้อมๆกับน้ำตาที่หยดลงมา เธอสะบัดหน้าเดินออกจากบ้านเอาหลังมือปาดน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าไปตลอดทาง
“บ้าเอ๊ย! ...เป็นไรไปวะไอ้ริน! ก็แค่เด็กหนุ่มสาวคุยกัน..” การินกำหมัดทุบกำแพงระบายความหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องโกรธขนาดนี้แค่เห็นพิมพ์กานต์ยิ้มแย้มแจ่มใสกับพิณ ทั้งสองคนวัยไล่เลี่ยกันจึงเป็นธรรมดาที่อาจจะคุยกันถูกคอตามประสาวัยรุ่น แล้วเขาไม่พอใจเรื่องอะไร?
‘ถ้าไม่รีบปรามๆ ไว้มันอาจจะเลยเถิดกันได้เดี๋ยวจะเกิดปัญหา เจ้าพิณกำลังหนุ่มเกิดทำพิมพ์กานต์ท้องจะไปกันใหญ่จะเสียอนาคตเปล่าๆ ’ การินคิดหาเหตุผลให้ตัวเองได้ก็รู้สึกสบายใจ
แต่แล้วก็กลับคิดถึงรสจูบเมื่อครู่ขึ้นมาอีก ความหอมหวานของพิมพ์กานต์ที่ได้สัมผัสในทุกๆครั้งทำไมมันถึงได้เร้าใจเขานัก? คงจะเป็นเพราะเธอยังสดใหม่สินะเขาถึงได้ตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ แน่นอน...พิมพ์กานต์ยังคงเป็นของเล่นของเขาตราบใดที่เธอยังอยู่ที่นี่ และของเล่นชิ้นนี้จะมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เล่นได้ คนอื่นๆ อย่าหวังว่าจะได้แตะ!