บทที่ 6 ทวงรักทวงแค้นยุค 60

2655 คำ
บทที่ 6 ทวงรักทวงแค้นยุค 60 ภาพที่เห็นตรงหน้าเลือนหายไปอีกครั้งและปรากฏเป็นภาพของผู้ชายสองคนกำลังโต้เถียงกันเสียงดัง หรืออาจจะพูดว่ามีเพียงผู้ชายที่ยืนอยู่กำลังโต้เถียงส่วนผู้ชายที่นั่งอยู่ขอบเตียงที่มีใบหน้ารกครึ้มเต็มไปด้วยหนวดเครา ดวงตาเหม่อลอยและดูอ่อนล้าเหมือนกับคนไม่ได้นอนมานานหลายคืนมีเพียงความสงบนิ่งเท่านั้น “พี่ใหญ่เฟยถ้าพี่ไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัดรักษาขาพี่ในครั้งนี้ คุณหมอบอกว่าช่วงเวลาที่ดีในการรักษาจะผ่านไปและขาของพี่จะเดินเป็นปกติไม่ได้ตลอดชีวิตพี่จะต้องกลายเป็นผู้ชายขาเป๋ตลอดไปเข้าใจไหม” “ฉันต้องตามหาหนิงเหมยให้เจอเสียก่อนเธออาจจะกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ได้” ผู้ชายบทเตียงตอบโต้เสียงแหบแห้งอย่างคนไร้เรี่ยวแรง “พี่ใหญ่ทำไมพี่ถึงได้โง่อย่างนี้ซูหนิงเหมยหนีไปกับผู้ชายคนใหม่แล้ว หล่อนไม่ได้ถูกใครลักพาตัวหรือหลอกจับตัวไปผู้หญิงคนนั้นเต็มใจหนีไปกับชายชู้ ซูหนิงเหมยสวมหมวกเขียวให้พี่เข้าใจไหม” ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตวาดเสียงดังด้วยความโมโห “ฉันไม่เชื่อ” ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงพึมพำเสียงเบา “พี่ใหญ่ถ้าพี่พลาดโอกาสในการเข้ารับการรักษาในครั้งนี้พี่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่” “ฉันตัดสินใจแล้วและฉันจะไม่เสียใจ” “ตามใจ พี่เป็นผู้ชายที่โง่ที่สุดในโลกนี้” ผู้ชายคนที่ยืนอยู่เดินกระทืบเท้าออกไปจากห้องนอนก่อนที่จะปิดประตูตามหลังเสียงดังโครมด้วยความโกรธ ซูหนิงเหมยยืนมองดูชายหนุ่มที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง มือสองข้างที่จับประสานกันอยู่ด้านหน้าถูกบีบจนเห็นเส้นเลือดนูนขึ้นมาแสดงให้ว่าเจ้าของมือกำลังกำมือแน่นขนาดไหน  ซูหนิงเหมยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนกับการที่เธอยืนมองดูชายหนุ่มกำลังนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเตียงนอน ถึงแม้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าจะก้มหน้าทำให้เธอเห็นเพียงศีรษะที่ได้รูปและเส้นผมดำขลับที่ถูกตัดสั้น แต่ซูหนิงเหมยจดจำรูปร่างของพี่ชายที่แสนดีได้เสมอ บรรยากาศรอบตัวของชายหนุ่มดูมืดมนและมืดมนเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ความรู้สึกของซูหนิงเหมยรู้สึกอึดอัดและหม่นหมองตามไปด้วยเธอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมสีดำนั้นเพื่อเป็นการปลอบโยนเขาเหลือเกิน แต่ซูหนิงเหมยก็ไม่กล้าทำอย่างที่ใจต้องการเพราะเธอรู้ดีว่าภาพที่เธอกำลังเห็นเป็นเพียงภาพของอดีตที่ผ่านมาแล้ว เธอรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มคนนี้อยู่ในสภาพนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพราะตัวของเธอเอง ภาพความฝันที่ซูหนิงเหมยเห็นตัวเองก่อนหน้านี้คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอในชีวิตก่อน ภาพของเธอที่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเงินให้อี้เฉินและซูหนิงจินใช้จ่ายอย่างมีความสุข และภาพเหตุการณ์ที่อี้เฉินและหนิงจินร่วมมือกันทรยศเธอลับหลัง ซูหนิงเหมยมั่นใจว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าในเวลานี้คงจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่ชายที่แสนดีของเธอ หลังจากที่เธอหนีไปกับอี้เฉินอีกฝ่ายคงจะพยายามตามหาเธอด้วยความเป็นห่วง จึงทำให้พลาดช่วงเวลาที่ดีสำหรับเข้ารับการรักษาขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บให้เดินได้ปกติ นอกห้องนอนของเธอมีเสียงเคาะประตูดังอยู่พร้อมกับเสียงเรียกชื่อของเธอ เมื่อเอียงหูฟังอย่างตั้งใจจึงรู้ว่าเสียงของคนที่กำลังเรียกชื่อเธออยู่ในเวลานี้คือเสียงของหลีเหว่ยแม่เลี้ยงเธอนั้นเอง แม้จะได้ยินเสียงเรียกของหลี่เหว่ยแต่ซูหนิงเหมยก็ทำเป็นไม่ได้ยินพร้อมกับดึงผ้าห่มคลุมหัวแล้วหลับตานอนต่ออย่างไม่สนใจ เพราะตอนนี้ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นท้องฟ้าออกมาเลยทำไมเธอต้องลุกแต่เช้าด้วย แต่ดูเหมือนคนที่เคาะประตูอยู่ข้างนอกจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ซูหนิงเหมยยังคงทำเหมือนไม่ได้ยินเช่นเดิมจนในที่สุดอีกฝ่ายจึงยอมแพ้ในที่สุด เมื่อเสียงเคาะประตูห้องเงียบลงซูหนิงเหมยจึงได้หลับตาลงอีกครั้ง กว่าที่ซูหนิงเหมยจะรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็เป็นเวลาสายมากแล้ว เธอลุกขึ้นเปิดประตูห้องนอนออกไปเพื่อนำน้ำมาล้างหน้าล้าง ครอบครัวจางจะส่งคนมารับซูหนิงเหมยตอนเที่ยงดังนั้นเธอมีเวลาเก็บข้าวของไม่มาก เมื่อล้างหน้าเสร็จซูหนิงเหมยจึงได้เก็บข้าวของที่มีไม่มากเตรียมไว้ หลังจากนั้นจึงเปิดประตูออกจากห้องไปภายในบ้านเงียบสงบไม่มีใครอยู่ ซูหนิงเหมยออกจากบ้านของครอบครัวซูและตรงไปที่บ้านของหัวหน้าทีมหมู่บ้านตามที่ตั้งใจไว้ วันนี้เธอต้องแต่งงานออกจากบ้านตระกูลซูดังนั้นเธอต้องการจะจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะเดินทางไปบ้านของสามี “หนิงเหมยมาที่บ้านของลุงทำไม ไม่ใช่ว่าวันนี้ต้องเตรียมตัวแต่งงานออกเรือนหรือ?” หยางผิงเปิดประตูรั้วบ้านออกมาเจอซูหนิงเหมยที่ยืนเคาะประตูบ้านอยู่ จึงได้ถามด้วยความแปลกใจ “ลุงผยางผิงที่ฉันมาหาลุงวันนี้ฉันอยากจะมาขอความช่วยเหลือ” เมื่อมองสบตาที่เศร้าของซูหนิงเหมยหัวหน้าทีมหมู่บ้านจึงต้องพยักหน้าให้หญิงสาวเข้ามาภายในบ้านเสียก่อน “ตาเฒ่าหยางใครมา” “ฉันเองป้าสะใภ้หยาง” ซูหนิงเหมยตอบคำถามของภรรยาหัวหน้าทีมหมู่บ้านพร้อมกับเดินตามหลังของหัวหน้าทีมหมู่บ้านเข้าไป “อั๊ยยะ หมิงเหมยเธอมาได้ยังไงไม่ใช่ว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของคุณหรือทำไมยังไม่เตรียมข้าวของอีก” ภรรยาของหยางผิงถามด้วยความแปลกใจ ไม่ใช่ว่านางไม่รู้เรื่องที่ครอบครัวซูตัดขาดจากหญิงสาว แต่สะใภ้หยางคิดว่าร้ายดีอย่างไรซูหนิงเหมยก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ซูห่าวซวนคงจะไม่ใจร้ายจนเกินไป แต่พอรู้ว่าซูหห่าวซวนยอมเขียนหนังสือตัดขาดความสัมพันธ์ให้ซูหนิงเหมยสะใภ้หยางจึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความสงสารในความโชคร้ายของหนิงเหมยที่มีพ่อผู้ให้กำเนิดไม่ดีเช่นนี้ “ป้าสะใภ้หยางฉันเก็บของเสร็จแล้ว แต่ที่มานี้ก็เพื่อขอความช่วยเหลือจากลุงหยางผิง” “เรื่องอะไรหรือ?” สะใภ้หยางอดอยากรู้ไม่ได้ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ไกลอำเภอหลายสิบกิโลเมตรดังนั้นเรื่องราวที่ทำให้หมู่บ้านคึกคักพอจะมีเรื่องสนุกให้พูดคุยกันได้ ก็คงจะเป็นเรื่องซุบซิบนินทาของแต่ละครอบครัวที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้เท่านั้น “ลุงจำหนังสือฉบับนี้ได้ไหมมันเป็นหนังสือจัดการสินเดิมของแม่ฉัน” ซูหนิงเหมยไม่ได้ตอบคำถามของสะใภ้หยางแต่หันมายื่นหนังสือที่อยู่ในมือให้กับหัวหน้าทีมหมู่บ้านแทน อีกฝ่ายรับเอากระดาษในมือของหนิงเหมยไปอ่านก่อนที่จะพยักหน้ายอมรับ หนังสือนี้เป็นหนังสือจัดการสินเดิมของมารดาซูหนิงเหมยจริง ๆ เพราะคนที่เขียนหนังสือฉบับนี้เป็นหยางผิงที่ตอนนั้นมีอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น เมื่อสิบแปดปีก่อนยังไม่มีการปฏิรูปการเมืองเหมือนเช่นในเวลานี้ทุกคนจึงมีที่ดินเป็นของตนเอง ในเวลานั้นหยางผิงมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยของบิดาจึงได้ติดตามท่านไปจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านแห่งนี้ และหยางผิงมีหน้าที่เขียนหนังสือต่าง ๆ ให้คนในหมู่บ้านเสมอ แม้แต่หนังสือจัดการสินเดิมของอี้หลินผู้เป็นมารดาของซูหนิงเหมยเมื่อสิบแปดปีก่อนก็เป็นเขาเองที่เขียนให้ ป้าสะใภ้หยางตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นสามีของนางพยักหน้ายอมรับหนังสือจัดการสินเดิมของมารดาซูหนิงเหมย “หนิงเหมยคุณต้องการจะจัดการสินเดิมของแม่ยังไง ลุงต้องบอกเธอให้เข้าใจก่อนนะว่าในเวลานี้ที่ดินที่เคยเป็นมรดกของแม่คุณได้กลายเป็นที่ดินของส่วนรวมไปแล้ว” เมื่อหลายปีที่แล้วมีนโยบายเรื่องการจัดสรรที่ดินและได้มีผู้นำทางการเมืองและทหารเข้ามาควบคุมหมู่บ้านหยาง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของท่านผู้นำประเทศผู้ที่มาได้มีคำสั่งรวมที่ดินทำกินของทุกครอบครัวเข้าเป็นส่วนกลางและใช้นโยบายปั่นส่วนแจกอาหารตามคะแนนการทำงาน ทำให้ในเวลานี้ทุกครอบครัวไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ดังนั้นสินเดิมของมารดาหนิงเหมยจึงไม่ต้องกล่าวถึงอีกต่อไป “ลุงหยาง ลุงก็รู้ว่าฉันถูกครอบครัวซูตัดขาดความสัมพันธ์แล้วแต่ฉันก็ยังเป็นลูกของพ่ออยู่นั้นคือเรื่องที่ไม่อาจตัดได้ ดังนั้นฉันแค่ต้องการบ้านหลังเก่าของแม่ที่อยู่ท้ายหมู่บ้านเพื่อจะเอาไว้อยู่อาศัยเท่านั้น ส่วนบ้านหลังที่พ่ออยู่นั้นถึงแม้จะเป็นบ้านที่สร้างจากเงินของแม่ฉันแต่ฉันไม่ต้องการมัน” หยางผิงพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเด็กสาวเพราะถึงอย่างไรซูห่าวซวนก็เป็นพ่อของหนิงเหมยดังนั้นถึงแม้บ้านหลังนั้นจะสร้างด้วยเงินของอี้หลินแต่ซูห่าวซวนก็เป็นสามี หัวหน้าทีมหมู่บ้านรู้สึกเสียใจแทนครอบครัวซูที่ได้สูญเสียหญิงสาวที่มีความกตัญญูและขยันเช่นนี้ไป “ได้ถ้าเช่นนั้นฉันจะออกหนังสือรับรองบ้านให้คุณและให้คุณย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ที่บ้านเก่าท้ายหมู่บ้านได้” ภายในห้องโถงสำนักงานครอบครัวซูทุกคนถูกตามตัวมาครบกันทุกคน “หัวหน้าทีมหมู่บ้านในยามนี้คุณให้คนไปตามพวกเรามาทำไมที่สำนักงานกิจกการหมู่บ้าน” ซูห่าวซวนถามด้วยความสงสัยเมื่อพวกเขามาถึงเห็นผู้คนอยู่ที่สนามด้านหน้าของสำนักงานกิจการหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก หญิงชราซูรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเพราะได้เห็นซูหนิงเหมยนั่งอยู่ภายในสำนักงานกิจการหมู่บ้านด้วยเช่นกัน ชายชราซูเดินสูบบุหรี่เข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างในกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ “ซูห่าวซวนที่ฉันให้คนไปเรียกครอบครัวซูมาในวันนี้เพื่อจะพูดเรื่องสินเดิมของอี้หลิน” “สินเดิมอะไรผู้หญิงคนนั้นจะมีสินเดิมอะไรกัน หญิงเร่ร่อนคนนั้นไม่ใช่คนในหมู่บ้านหยางของพวกเราจะมีสินเดิมอะไรได้” เมื่อหญิงชราซูได้ยินว่าจะพูดเรื่องสินเดิมของอี้หลินมารดาของซูหนิงเหมย จึงได้ผุดลุกขึ้นตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความไม่พอใจ ไม้เท้าในมือของผู้อาวุโสกระแทกลงพื้นเสียงดังด้วยความไม่พอใจที่หญิงชราร้องตะโกนโวยวายภายในสำนักงานกิจการหมู่บ้านเช่นนี้ เมื่อถูกผู้อาวุโสของหมู่บ้านจ้องมองอย่างไม่พอใจจึงทำให้หญิงชราซูเงียบเสียงลงในที่สุด “หนังสือจัดการสินเดิมของอี้หลินเมื่อสิบแปดปีก่อนหยางผิงเป็นคนเขียนเองกับมือ หญิงชราซูก็ได้ลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานจะบอกว่าสินเดิมของนางไม่มีได้อย่างไรกัน” ผู้เฒ่าอาวุโสเสียงดังด้วยความไม่พอใจ หมู่บ้านแห่งนี้ได้ชื่อว่าหมู่บ้านแห่งความเที่ยงธรรม ดังนั้นแล้วไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่จะต้องได้รับการตัดสินจากหัวหน้าทีมหมู่บ้านและผู้อาวุโสที่ทุกคนให้ความเคารพด้วยความยุติธรรม ผู้คนส่งเสียงร้องอุทานด้วยความแปลกใจ เรื่องที่อี้หลินมารดาของซูหนิงเหมยเป็นคนต่างถิ่นที่มาขออาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ทุกคนรับรู้กันทั่วไปไม่ใช่ความลับอะไร แต่เรื่องที่อี้หลินมีสินเดิมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนถึงแม้ทุกคนจะรับรู้ว่าอี้หลินได้บริจาคเงินเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างศาลาบรรพชนของหมู่บ้านเมื่อหลายสิบปีก่อนซึ่งในยามนี้ศาลบรรพชนถูกใช้เป็นสำนักกิจการหมู่บ้านไปแล้ว “ระ..เรื่องนี้เป็นข้าที่เลอะเลือนเพราะความแก่” หญิงชราซูตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างไม่เต็มใจแต่ก็ต้องจนด้วยหลักฐานที่ผู้นำหมู่บ้านนำมาให้ดูและยังมีพยานที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่คิดเลยว่าตาแก่หยางตายไปแล้วลูกชายของมันจะยังจดจำเรื่องนี้ได้อยู่อีก “แม่อี้หลินจะมีสินเดิมมาได้ยังไงกัน ท่านเป็นคนบอกข้าเองว่านางมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ตัวคนเดียว” ซูห่าวซวนถามมารดาด้วยความไม่พอใจ เมื่อสิบแปดปีก่อนเขาเป็นผู้มีความรู้ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่อำเภอ แต่ถูกมารดาบังคับให้กลับมาแต่งงานกับอี้หลินที่กำลังตั้งท้องอยู่ ในท้องของหล่อนไม่รู้ว่าเป็นลูกของใครแต่เพราะมารดาเอาความตายมาข่มขู่ซูห่าวซวนจึงจำใจต้องแต่งงานกับอี้หลินอย่างเลี่ยงไม่ได้ทั้ง ๆ ที่เขามีคนรักอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว “เรื่องนี้สะใภ้หลินจะมีสินเดิมหรือไม่มีสินเดิมเจ้าฟังดูก็จะรู้เอง” หยางผิงหัวหน้าทีมหมู่บ้านลุกขึ้นกางกระดาษในมือขึ้นอ่านให้ทุกคนฟังถึงรายการสินเดิมของอี้หลิน “สินเดิมของอี้หลินมีที่นาห้าสิบหมู่ บ้านที่อยู่ท้ายหมู่บ้านและบ้านหลังใหม่ที่ซูห่าวซวนอาศัยอยู่ แต่ในยามนี้ที่ทำกินถูกรวมเป็นของส่วนกลางไม่มีใครเป็นเจ้าของอีกต่อไป ส่วนบ้านหลังเก่าที่ท้ายหมู่บ้านนั้นถึงยังไงก็เคยเป็นบ้านเดิมของแม่ผู้ให้กำเนิดของหนิงเหมยฉันจึงคิดว่าจะคืนบ้านหลังนี้ให้หนิงเหมยทุกคนเห็นว่ายังไง” เสียงอ่านของผู้นำหมู่บ้านทำให้ชาวที่ฟังอยู่อุทานอย่างแปลกใจดูเหมือนว่าอี้หลิงจะเคยเป็นคนร่ำรวยมาก่อน ถึงว่าเมื่อสิบแปดปีที่แล้วพวกเขาไม่แปลกใจเลยที่หญิงชราซูถึงกับบังคับให้ลูกชายคนสุดท้องที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ในตัวอำเภอให้กลับมาแต่งงานกับอี้หลิน “บ้านที่ห่าวซวนกับภรรยาคนใหม่อยู่ก็เป็นสินเดิมหรือ” เสียงอุทานของผู้คนที่มาเฝ้าดูความสนุกดังขึ้น ซูห่าวซวนที่คิดเสมอว่าครอบครัวตนเองร่ำรวยก็ต้องตกตะลึงไม่ใช่ว่ามารดาซื้อที่นาและสร้างบ้านใฝให้เขาจากเงินสินเดิมของแม่หรือซูห่าวอู๋และซูหวังเฉิงที่พอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้างก็ได้แต่มองน้องชายคนเล็กด้วยความไม่พอใจ “ทรยศแล้ว ทรยศแล้วซูหนิงเหมยครอบครัวซูของเราเลี้ยงดูแกมาจนโตแต่วันนี้แกกลับต้องการบังคับครอบครัวซูของเราให้อดตายใช่ไหม” หญิงชราซูลงไปนั่งร้องไห้ที่พื้นเสียงดังอย่างไม่อายใครหมดสิ้นแล้วครอบครัวซูของนาง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม