“ใครบอกถังเพชรถังเงินละไม่ว่า สบายไปทั้งชาติแหละ”
“ได้ข่าวว่า เจ้าสาวของคุณโหน่ง เธอสวยมากใช่ไหม”
“หยาดฟ้ามาดินเลยละเว้ยพวกแก เอาเป็นว่าในไร่เรา หรือในแถบ ๆ นี้ไม่มีใครสู้ได้”
“ก็เหมาะสมกันอยู่มั้ง เพราะฝ่ายนั้นก็เป็นหลานของเจ้าของไร่เจ้าขา จริง ๆ น่าจะรวยพอ ๆ กัน”
“แต่หลานห่าง ๆ นะ พ่อแม่ตายแล้วหรอก เลยเอามาเลี้ยง”
“จะเมาท์เรื่องของเขากันทำไม ยังไงก็โชคดีทั้งคู่นั่นแหละ เป็นข่าวดีออก คุณโหน่งจะได้ลงจากคาน แล้วคุณปู่ก็จะได้นอนตาหลับ”
“ที่นี่ไม่ค่อยมีงานมงคลแบบนี้เลย นานแล้วนะ”
“จริงเนอะ ได้เมาแปล้ ๆ กันงานนี้แหละ”
“แหม...นึกว่าคิดเรื่องอะไร วัน ๆ คิดแต่จะดื่มกินให้เมามายนี่แหละ”
“เอาแล้วค่ำมาจะให้ทำอะไร ถ้าไม่เมา ใช่ไหมพวกเรา”
เสียงเฮของบรรดาหนุ่มดังลั่น
“เดี๋ยวเถอะ...แม่จ๋าอย่าพูดมาก พ่อจะจับปล้ำโชว์เพื่อนซะตรงนี้”
เพล้ง.... เสียงสิ่งของบางอย่างกระทบลงบนจานที่กลางวงเหล้า ทุกคนพากันกระเจิง ก่อนจะมีเสียงหัวเราะกันครื้นเครง
ชนวีย์ที่ยืนฟังอยู่ห่างไม่นึกขำกับเรื่องราวที่กำลังรับรู้ได้ เขามีสีหน้าไม่พอใจเอามาก ๆ ชายหนุ่มกัดกรามตัวเองจนปูดนูนขึ้น เส้นตรงขมับก็ยกขึ้นจนเห็นได้ชัด สิ่งที่เขาได้ยินมันยิ่งทำให้เขาร้อนรุ่มเข้าไปอีก เขาเดินกระทืบเท้าปึง ๆ ไปด้วยความโมโห อารมณ์ไม่พอใจปะทุขึ้นมาในอกแทบระเบิด นึกไปถึงเจ้าของใบหน้าน้อย ๆ ที่เป็นดวงใจของเขาแล้วก็หัวเสีย
‘พี่ก็ไม่รู้ว่าเค้กคิดอะไรอยู่นะ’
ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนเข้ามา เดินตรงไปที่เตียงนอน ก่อนจะล้มลงไปนอนเหยียดยาว หลับตา ยกมือขึ้นเกยหน้าผาก
ลำดวนมองหน้าลูกชายแบบงง ๆ เขากลับเข้ามาสภาพแบบหมดอาลัยตายอยาก เธอจึงละมือจากการพับผ้ากองใหญ่นั้น หันมาถามเขา
“ตั้นไปไหนมา จะกินข้าวไหมลูก แม่จะไปอุ่นแกงให้”
“ไม่กินแล้วแม่” น้ำเสียงที่แหบพร่าและแห้งแล้ง ในหัวใจมันรู้สึกห่อเหี่ยวไปหมด ที่เขาตั้งใจเรียน ที่เขาตั้งใจทำงาน เก็บเงินเก็บทองเพื่อใคร ถ้าทั้งหมดที่ทำไม่ใช่เพื่อเธอคนเดียว ‘ภาวินี’
“เป็นอะไรอีกล่ะ ก่อนหน้านี้แม่ก็ยังเห็นตั้นยังดี ๆ ไปไหนมา แล้วเป็นอะไร อารมณ์เสียเรื่องอะไร เล่าให้แม่ฟังสิตั้น....” นางถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง
เขาไม่สนใจในเรื่องที่แม่กำลังคุยด้วย แต่กลับถามเพื่อจะเอาความจริงเรื่องอื่น
“แม่ สรุปแล้ว คุณโหน่งจะแต่งงานกับครีมจริง ๆ หรือครับ”
“ก็จริงนะสิ ในไร่เขาเตรียมจะเมากันแล้ว คุยกันสนุกทั้งวัน” แม่หัวเราะ
“วันไหน เดือนไหนละแม่ที่เขาจะจัดงาน” เขาลุกขึ้นนั่งเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ใน หัวใจเร่าร้อนไปหมดแล้ว
“อีกสองอาทิตย์ เป็นไงเร็วไหม เนอะ...ไม่น่าเชื่อนะ ตกลงว่าจะแต่งงาน ก็จัดซะเร็วเชียว ฮา... ใจร้อนเอาตอนแก่ซะแล้วคุณโหน่งเนี่ย” นางหัวเราะแบบขำ ๆ
เมื่อได้คำตอบเช่นนั้น ตั้นก็หุนหันลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“อ้าว....ตั้น นั่นจะไปไหนอีกล่ะ ตั้น....” แม่ถามเสียงหลง งงกับพฤติกรรมของลูกชายตัวเองเป็นที่สุดตอนนี้
“จะไปไหน” แม่ตะโกนตามหลัง
ร่างสูงโปร่งของตั้นหลบตรงหลังต้นไม้ใหญ่ใกล้เรือนทรงไทยในไร่เจ้าขา
'เค้กอยู่ไหน' เขากำลังคิด สายตามองหาร่างของหญิงคนรัก ทันใดนั้น ภาวินีก็ปรากฏกายขึ้น เธอเพิ่งเดินกลับมาจากออฟฟิศของไร่ ก้าวขาเดินขึ้นบันได
'เค้ก...' สายตาคู่คมจ้องมองร่างของเธอที่กำลังเดินนวยนาดขึ้นไปบนเรือนด้วยสายตาเจ็บปวด
ชนวีย์สอดส่องมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นผู้ใด เขาจึงออกมาจากที่ซ่อน เดินตามหลังเธอขึ้นไปบนเรือนอย่างรวดเร็ว
แสงอาทิตย์ที่ลับลาขอบฟ้าไปแล้ว มีเพียงแสงจากโคมไฟประดับเล็กไม่กี่ดวงเป็นแสงสว่างนำทางเท่านั้น
ภาวินีก้าวขึ้นบนเรือนมุ่งตรงไปที่ห้องนอนของตัวเอง
หมับ...
"อุ้ย...!" ภาวินีอุทานออกมาด้วยความตกใจ แรงมือหนาที่บีบเต็มแรงเหมือนปรามไม่ให้เธอร้อง หญิงสาวหันมาหาพอเห็นว่าเป็นพี่ตั้น เธอก็ยกอีกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เปิดตาออกกว้าง
"พี่ตั้น!" น้ำเสียงตกใจมาก ๆ ไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่
"ใช่พี่เอง"
"พี่มาทำไมคะ"
"พี่ก็มาหาเค้กไง เราสองคนต้องคุยกันให้รู้เรื่อง" น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความไม่พอใจเอามาก ๆ บีบมือบนเนื้อแขนของเธอให้แรงกว่าเดิม
ภาวินีแสดงสีหน้าออกมาว่าเจ็บ และส่งมือขึ้นมาง้างเพื่อให้เขาปล่อยเธอ สายตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เธอใจเต้นแรง หันไปมองรอบ ๆ ว่ามีใครอยู่แถว ๆ นี้หรือไม่
"เรื่องอะไรกันคะ"
คำตอบที่เขาให้กับเธอกลับไม่ใช่คำพูด แต่เป็นแรงมือที่บีบลงน้ำหนักเข้าไปอีก และกระชากร่างเล็ก ๆ เบา ๆ
"เค้กจะแต่งงานไม่ได้"
"พี่ตั้น...." เธอสีหน้าตกใจสุด ไม่คิดว่า ตั้นจะรู้เรื่องนี้เร็วขนาดนี้
เขาหายไปสองสามวันแล้วที่ไม่ได้คุยไม่ได้ติดต่อกัน จึงไม่ได้คุยกันเรื่องที่ตั้นพักร้อนแล้วกลับมาพักที่ไร่
ภาวินีหันหน้ามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายฉุดข้อมือของพี่ตั้นให้เดินตาม มือน้อย ๆ ผลักเข้าประตูห้องนอนของตัวเองเข้าไป พลางดันตัวร่างใหญ่ของเขาให้เข้าไปในห้องนอนของเธอด้วย หญิงสาวชะโงกหน้าออกมามองข้างนอก เมื่อไม่เห็นใครก็รีบปิดประตูลงกลอน