แสงจันทร์สว่างนวลเรืองรองกลางผืนฟ้าดาษดาดาว….
โครมไฟสว่างไสวขับเย้ยดวงจันทร์ไปทั่วทั้งกองเรือ เสียงอึกทึกดังรัวกลองม้าล่อ ขับเขี้ยวกับเสียงเกลียวคลื่นที่ซาดซัดลำเรือ
ทหารน้อยใหญ่วิ่งพล่าน องครักษ์ทั้งห้ากองต่างกระตือลือล้นลื้อค้นเสาะหาไปทั่วทุกลำเรือ ยิ่งนานยิ่งอลหม่านดั่งมีงานมหรสพกลางห้วงนที
ปล่อยทิ้งให้ความคึกคักถอยห่างจากเรือโภชนาการณ์ไปเรื่อยๆ ยิ่งส่วนด้านมืดข้างเรือใหญ่ยิ่งไร้ผู้ใดเหลือบแล
ไม่มีสักผู้คนจะเห็นเรือพายลำน้อยถูกปล่อยลงสายน้ำ มีเพียงสองหญิงสองชายที่เปิดช่องลับข้างเรือใหญ่เท่านั้นที่เห็นเรือน้อยนั่น
จากนั้นเงาร่างสีเหลืองอล่ามกับเงาร่างอ้วนใหญ่ ก็ลอยละลิ่วลงเรือพาย ชั่วครู่หลิวหงเหินที่มีพัคนารินอยู่บนหลังจึงติดตามไป ชายหนุ่มทรุดเข่าลงเมื่อถึงเรือพาย จนพัคนารินที่อยู่แนบข้างมีอันสะดุ้งเกาะแขนไว้
“ โอ้ว !….โอ๊ปป้า !… เป็นไรมั้ย ?… ตัวหนูหนักขนาดนั้นเลยเหรอ ? ” พัคนารินก้มลงประคอง พลางกล่าวแผ่วเบา
โดยหลิวหงเหินยังไม่ทันตอบคำ เสียงอมิตาร์พลันลอยลอดออกมาเสียดแทงใจ
“ ชายโง่เขลา รู้ว่าฝีมือสู้ไม่ได้ยังถาโถมลงมือ ยอมแลกชีวิตกับยาขวดเดียว ไร้ค่านัก ”
หลิวหงเหินยังคงแย้มยิ้ม พร้อมกับล้วงมือเข้าอกเสื้อ หยิบขวดหยกเขียวขจีออกมา
“ การช่วยชีวิตผู้คนย่อมไม่มีอันใดไร้ค่าหรอก ” หลิวหงเหินเปิดขวดหยก แล้วเทยาเม็ดที่เหลือเพียงเม็ดเดียวลงบนฝ่ามือยื่นส่งให้พัคนาริน
“ ยาหยกน้ำค้างใช้แก้พิษเข็มกระดูกดำ เจ้ารีบกลืนลงไปทันที ก่อนพิษจะกำเลิบ ”
พัคนารินรับยามาอย่างงันงง อีกมือจับที่แผลตรงหัวไหล่
“ กลืนหมดเลยเหรอ เม็ดใหญ่จัง !”
“ อืม !…กลืนเถอะ ! ”
หลิวหงเหินยืนยันซ้ำ จนนางยอมกลืนยาเม็ดลงคอ นางจับอกรู้สึกร้อนวูบวาบภายใน
“ ไม่เป็นไรแล้วแม่นาง อีกไม่เกินครึ่งชั่วยาม เจ้าก็เป็นปกติแล้ว ” เสียงของหลิวหงเหินแผ่วเบายิ่ง สีหน้ามันซีดเผือกราวคนป่วยไข้
“ โห้…โอ๊ปป้า ทำไมตัวเย็นเฉียบแบบนี้ ” พัคนารินคว้าอุ้งมือชายหนุ่มมากุมไว้ จึงรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกดั่งคว้าจับก้อนน้ำแข็ง
“ ฝ่ามือเหมันต์ทมิฬ สาปสูญจากยุทธภพไปนับร้อยปี ตั้งแต่อณาจักรซีเซี้ยถูกมองโกลบุกทำลาย คิดไม่ถึงขันทีวิปลาสนั้นจะบรรลุวิชาเร้นลับนี้ได้ ” อมิตาร์กล่าวราบเรียบ เมื่อเปิดอกเสื้อหลิวหงเหินดูรอยฝ่ามือที่เป็นสีเขียวคล้ำเกือบเป็นสีดำ
“ ความโง่เขลาของเจ้า นอกจากได้ยามารักษาคนแล้ว ยังมีของฝากเป็นรอยฝ่ามือติดตัวมาด้วย เกรงว่ามันจะติดตรึงกับเจ้าไม่เกินครึ่งเดือนหรอก เพราะลมปราณเหมันต์จะแทรกไอเย็นกร่อนทำลายภายในเจ้าทีละน้อย จนกว่าจะพรากวิญญาณเจ้าไปในที่สุด ….แบบนี้แล้วเจ้าว่าสิ่งที่เจ้ากระทำไร้ค่าหรือไม่ ? ”
“ หา !…โอ๊ปป้าบาดเจ็บขนาดนั้นเชียวเหรอ !…พี่สาวมีวิธีช่วยเขามั้ย ! ” พัคนารินรีบกล่าวลนลาน ดวงตาแดงกร่ำ มีน้ำตาคลอหน่วย
“ ปีศาจสุราเจ้านับว่าเป็นลูกผู้ชายนัก เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยหญิงสาวต่างถิ่น นับว่าเป็นผู้กล้าหาญที่แท้ ” ฉางยิ่นเบิกยิ้มกว้าง เข้ามาตบหัวตบไหล่
“ เชอะ !.. .ลูกผู้ชายอันใด ลูกเต่าอันโง่เขลาบัดซบล่ะไม่ว่า ” อมิตาร์ย่นจมูก เชิดหน้ารังเกียจ
“ ถูกต้อง ถูกต้อง …. เจ้ามันโง่เขลาบัดซบ ” ฉางยิ่นกลับคำทันควัน หันมาตบไหล่มันแรงๆ
“ โห้ !. พี่อ้วนเบาๆซิ เดี๋ยวพี่ชายกระดูกหักกันพอดี !”
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่…ไม่เป็นไร ตบแรงอีกหน่อยคงทะลวงจุดยิ่นต๊กให้แล้ว…” หลิวหงเหินกล่าวแหบแห้ง หน้าตาซีดเซียวเพิ่มขึ้น
“ คนเย้ยหยันความตายเข่นนี้ ไม่สมควรตกตายง่ายดายนัก ฉางยิ่นรีบไปเถิด ”…
สิ้นคำนาง ฉางยิ่นจึงกุลีกุจรเตรียมพรางเรือพาย โดยใช้ผ้าใบสีดำสนิทกางคลุมลำเรือไว้มิดชิด โดยกาบเรือทุกด้านจะถูกหุ้มไว้ด้วยผ้าห่มนวมเพื่อลดแรงกระทบกระกระทั้งไปในที
ผนวกกับเรือใหญ่ที่กางใบแล่นลมไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยทิ้งให้เรือลำน้อยลอยเชื่องช้าไว้เบื้องหลัง เป็นวิธีการใข้ความเชื่องช้าสยบความเร็วได้อย่างแนบเนียนที่สุด
“ ไม่โง่เหมือนหน้าตาเลยนะพี่อ้วน ”…พัคนารินลอบระบายคำพูดกับตนเอง พร้อมกับประคับประคองตนเองไม่ให้โยกไกวตามแรงกระแทก
จังหวะหนึ่งที่เรือโคลงเคลง ทำให้ร่างระหงของชายชุดครามเอนเอียงลงมาซบไหล่นาง พลันนั้นทำให้พัคนารินรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกราวน้ำแข็งกระทบร่าง
“ พี่ชายทำไมตัวเย็นขนาดนี้ ? ”
พอจะหันไปขอความช่วยเหลือจากสองจอมยุทธ ก็ต้องมีอันผงะตาค้าง เมื่อเห็นทั้งคู่เกร็งตัวสั่น ชายอ้วนใช้มือกุมอกราวกับเจ็บแปลบแทบขาดใจ ถึงกระนั้นเขาก็ยังรวบรวมลมปราณ นั่งขัดสมาดต้านทานความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
ส่วนอมิตาร์ก็มีอาการไม่ดีกว่ามันเท่าไร นางกุมมือซ้าย ร่างเกร็งเขม็ง นางทอดตัวนอนตะแคงข้าง พยายามหลบเลี่ยงความเจ็บปวดไม่ให้ใครเห็น
จักรกาลมันแผ่พลังงานบางขนิดเข้าทำร้ายร่างกายพวกเขาอย่างนั้นเหรอ ?….
พัคนารินทั้งงงงันทั้งตกใจในสิ่งที่เห็นอยู่นาน จนรู้สึกว่าที่ข้างซ้ายนางสัมผัสได้กับความนุ่มนิ่ม ขนปุกปุย
“ อุ๊ย ”…
พัคนารินอุทานพร้อมกับหันไปหาสิ่งแปลกปลอม จึงได้พบกับกระต่ายตัวน้อยแทรกตัวหาไออุ่น
“ แกเองเหรอ ?…มาได้ไงเนี่ย ! ”
นางอุ้มกระต่ายไว้แนบอก ลูบไล้มันเบามือ ก่อนจะกระซิยที่ข้างหูยาวเรียว
“ อยู่นิ่งๆนะแก อย่าไปรบกวนคนป่วยล่ะ ”
เสียงของนางลอยหายไปตามลม หลงเหลือเพียงเสียงครางเจ็บปวด ที่สอดแทรกไปกับแรงคลื่นน้ำซาดซัด
กระทั้งเรือน้อยลอยห่างจากกองสำเภา จนลับตา….
…….. ..
อรุณรุ่งสาดแสงอล่ามเรืองรองดั่งสีทองอาบไล้ท้องฟ้า….
ประกายน้ำระยิบระยับวิบวับจับตา จนแรกลืมตาตื่นของทุกคนบนเรือ ต้องหลี่ตาปรือมองโลกรอบข้างอย่างระมัดระวัง
มีเพียงฉางยิ่นที่ยังกระปี่กระเป่าผิดแปลกจากเมื่อคืนเป็นคนละคน มันเร่งรุดเปิดผ้าคลุมเรือพับเก็บไว้ด้านหลัง ปล่อยให้แสงแรกแห่งอรุณอาบไล้ทุกคนบนเรือ
พัคนารินเปิดเปลือกตามองสิ่งละอันพันละน้อย ที่ตระเตรียมไว้ภายใน ซึ่งมีทั้งถังไม้บรรจุน้ำดื่ม8ถัง มีลังไม้ที่บรรจุอาหารแห้งไว้ภายใน ทั้งหมดถูกวางเรียงอยู่ท้ายเรือ ซึ่งมีหลิวหงเหินนั่งขัดสมาดเดินลมปราณอยู่เบื้องหน้า
ส่วนทางหัวเรือมีอมิตาร์กึ่งนั่งกึ่งนอน โดยมีกระต่ายตัวขาวเนียนอยู่บนตัก
ด้านฉางยิ่นกำลังสารวนจัดเตรียมพายไม้สองด้ามออกมาวาง ดึงอาหารแห้งและน้ำดื่มเตรียมให้ทุกคนอย่างทั่วหน้า
“ ตาร์น้อย ท่านรับทานสักหน่อยเถิด เมื่อวานตรากตรำมาทั้งวัน ” มันประคองอาหารและน้ำดื่มส่งให้นาง
“ เจ้าเองก็รับทานด้วยเถิด เราต้องเดินทางกันอีกไกล ” อมิตาร์กล่าวแย้มยิ้มพริ้มพราย จนยามเช้าสดชื่นขึ้นทันตา
“ ถูกต้องเราสมควรดื่มกิน ต้องดื่มกิน ” ชายร่างอ้วนยังคงเชื่อวาจานางอย่างซื่อสัตย์ โผไปท้ายเรือหยิบอาหารแห้งขึ้นกัดกิน
พัคนารินได้แต่อมยิ้มขบขัน รู้สึกมีเรื่องน่ารักน่าใคร่ให้มองยามแร้งไร้อยู่เหมือนกัน
“ บาดแผลท่านเป็นเช่นไร หายเจ็บปวดใช้แล้วหรือไม่ ” หลิวหงเหินเปรยถามนางแผ่วเบา
“ อ้อ ค่อยยังชั่วแล้วพี่ชาย ไม่ค่อยปวดแล้ว …แล้วพี่ละไม่หนาวสั่นแล้วใช่มั้ย ? " พัคนารินรีบเร่งตอบ พลางขยับตัวเข้าไปนั่งเคียงข้าง
“ อืม…เราแข็งแรงดี ”…
“ เชอะ !.” อมิตาร์เค้นเสียงประชดประชันกับคำตอบมัน
“ แข็งแรงอีกไม่เกินครึ่งเดือนกระมั้ง จากนั้นคงแห้งตายซากไม่ต่างจากตอไม้หรอก ”
“ หา !…ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ ? ”…พัคนารินโพลงร้องตื่น เหลือกตาพองสุดตกใจ
“ ไม่เป็นไรหรอกแม่นาง ไม่ห่างจากนี้ไปประมาณสิบกว่าลี้จะพบเกาะทิพย์โอสถ ที่นั้นมีหมอเทวดาพอจะรักษาเยียวยาข้าพเจ้าได้ เกรงว่าคนทั้งคู่กำลังมุ่งไปเกาะนี้เช่นกัน ”
คำพูดของมันทำเอาอมิตาร์กับฉางยิ่นหันมองหน้ากัน รู้สึกเหมือนเจอคนประหลาดที่ล่วงรู้จิตใจคน
“ ปีศาจสุรา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราจะไปเกาะทิพย์โอสถ ”
ฮ่า ฮ่า ฮ่ …หลิวหงเหินหัวร่อร่า พลางชี้มาที่หน้าอกตัวเอง
“ หน้าอกเจ้า !” ฉางยิ่นถามลั่น
“ ไม่ใช้หน้าอกข้า เป็นหน้าอกเจ้าต่างหาก หากจะเอาจักรกาลออกจากอกเจ้า ย่อมต้องใช้เครื่องมือแพทย์ ในระยะร้อยลี้จะมีที่ใดให้เจ้าหยิบยืมเครื่อวมือแพทย์ได้อีกเล่า ! ”
“ สอดรู้สอดเห็นแบบนี้นี่เล่า จึงสมควรเป็นสุนัขรับใช้ยิ่งนัก ” อมิตาร์กล่าวคำเสียดแทงใจรับอรุณแรก
หลิวหงเหินได้แต่ยิ้มบางๆ ตอบรับคำนางหน้าระรื่น
“ ชื่นชมกันเพียงนี้ ข้ารับไม่ไหวจริงๆ ”
“ พี่สาวด่าอยู่ชัดๆ ยังจะว่าชื่นชมอีก ” พัคนารินกอดอกทำหน้ายู่
“ ฮึ ฮึ..บุรุษย่อมเป็นเช่นนี้ น้อยนักจะเอยปากตรงกับใจ ” อมิตาร์ตอบโต้มันทันควัน
“ อ้อ ! บุรุษทุกเพศทุกวัยล้วนมีปากไม่ตรงกับใจ แม้แต่ชายชราท่านยังลงมือดุดัน จนอวัยวะภายในแหลกเหลวสิ้น มันกล่าววาจาอันใดล่วงเกินแม่นางรึ ” หลิวหงเหินเริ่มโยงนางเข้ากับฆาตกรรมที่ค้างคาใจ
“ เจ้าผายลมอันใด ชายชราตกตายไป ใยต้องเกี่ยวข้องกับข้า ”
“ ย่อมไม่เกี่ยว ถ้าไม่เจอทับทิมเม็ดงามอยู่ในตัวชายชรา ” ชายหนุ่มชี้ตรงไปที่ทับทิม ที่ประดับอยู่บนด้ามดาบนาง
“ เชอะ !.. ใส่ความกันซึ่งหน้า ทับทิมเราถูกลักขโมยไปเมื่อสามวันก่อน ซ้ำยังเขียนข้อความติดผนังไว้ว่า…จะล้างพันธ์นางโสโครกปาร์เธีย….อย่างนี้เจ้าว่าไม่ใช้ใส่ความอีกหรือ ”
ปัง !..
ฉางยิ่นฟาดฝ่ามือลงกาบเรือด้วยโทสะ พลางตวาดกร้าว
" ผู้ใดกล้าว่าอมิตาร์เป็นนางโสโครก ข้าจะจับมันมาถลกหนังให้หมูกิน ”
“ อุ๊ย !…ดุจัง ” พัคนารินอุทานหวาดๆ
ต่างจากหลิวหงเหินที่ขมวดคิ้วยุ่ง เอื้อมนิ้วแตะริมฝีปาก กำลังเรียงร้อยเหตุการณ์ในหัว
“ มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง ยั่วยุให้สองฝ่ายตีกันเอง ” พัคนารินเอยเสียงใส
หลิวหงเหินยกนิ้วโป้งชูให้นาง พลางกล่าวชื่นชม
“ ฉลาดมากแม่นาง มีคนใข้ลูกศรดอกเดียวทำร้ายข้าศึกได้สองทาง ”
“ คนชักใย ! ”….อมิตาร์กล่าวครุ่นคิด
ต่างจากฉางยิ่นที่ตะโกนเสียงลั่น
“ หรือจะเป็นมัน ”..
ทั้งฉางยิ่นและอมิตาร์หันหน้ามองกัน ก่อนจะกล่าวเป็นเสียงเดียว
“ จ้าวจักรกาล !. .”