พอได้ยินคำว่าจ้าวจักรกาล ใจของอมิตาร์พลันระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน วันทึ่นางถูกผ่าตัดฝังจักรกาลไว้บนหลังมือ….
ณ ชายแดนตะวันตก ล่วงเลยจากเมืองซานไห่กวนไปยี่สิบลี้ กองคาราวานกว่าสองร้อยชีวิตได้รอนแรมค้าขายบนเส้นทางสายไหมที่เริ่มเสื่อมความนิยม เพราะการเดินเรือสมุทรอันสามารถขนส่งสินค้าได้มากมายกว่าเข้ามาแทนที่
ทว่าอมิตาร์ผู้เป็นดั่งหัวหน้ากองคาราวาน ยังเลือกเส้นทางสายไหมอันทุรกันดารในการเดินทาง เพราะเส้นทางสายนี้มีรอยจารึกของบรรพบุรุษ4ชั่วรุ่นฝังตรึงอยู่ ที่สำคัญคือระหว่างเส้นทาง มียอดคนผู้เป็นดั่งปรมาจารย์เพลงดาบแฝงกายเร้นตนอยู่
ยอดฝีมือท่านนั้นอาศัยอยู่ในซากอาคารหินโบราณกลางทะเลทรายเวิ้งว้าง มันเร้นกายไร้ความสัมพันธ์กับผู้คนเฉกเช่นบรรพชิตบำเพ็ญตน
มีเพียงปู่ของอมิตาร์ที่คอยแวะเวียนไปส่งเสบียงอาหาร ยูบยา เครื่งใช้ไม้สอยอยู่เสมอ
ปู่นางเล่าว่าคนประหลาดนั่นเป็นชนชั้นผู้อวุโสแห่งลัทธิมนีคี มีเพลงดาบลึกล้ำพิสดารไร้เทียมทาน แต่เพราะมันทำผิดร้ายแรงต่อผู้คน จึงเร้นกายหลบตนไม่พบหน้าผู้ใดอีก
บางคนว่ามันใช้ดาบเดียวไล่ฆ่ากองทหารเปอร์เซียไปครึ่งกองทัพ บ้างว่ามันฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรก ทำให้ทำร้ายศิษย์ในลัทธิไปหลายร้อยคน….
ความน่าหวาดกลัวของผู้ซ่อนในอาคารหิน แพร่สะพัดอยู่หลายขวบปี กระทั้งอมิตาร์ได้พบชายชราผู้นั้นเมื่ออายุ5ขวบ ครั้งนั้นนางได้พบแววตาอันอ่อนโยน และเพลงดาบอันทรงอนุภาพสุดเปรียบปราณ เพียงดาบเดียวมันสามารถสังหารโจรทะเลทรายสิบกว่าคนได้ในพริบตา
นับจากวันนั้น อมิตาร์จึงเริ่มฝากตัวเป็นศิษย์ เรียนรู้วิชาดาบอาบจันทร์อันลี้ลับ ซ้ำยังได้เรียนรู้การโคจรลมปราณแนวทางร้อนแรงของเล่าผู้บูชาไฟ เป็นการเคลื่อนพลังตามจักระในกาย แตกต่างจากการเดินลมปราณจากแผ่นดินฮั่นไปคนละทาง
ใช้เวลาสิบกว่าปี โฉมสะคราญวัยเยาว์กลับกลายเป็นยอดฝีมือเพลงดาบ อันบรรลุถึงขั้นแก่นสารศาสตราตั้งแต่อายุสิบเจ็ด
ช่วงเวลานั้นอมิตาร์เพรียบพร้อมไปทุกด้าน ทั้งมั่งคั่ง รูปงาม มีฝีมือเหนือล้ำ จนไม่มีชายใดเทียบเทียบพอจะตบแต่งนางเป็นภรรยา ซ้ำนางยังเหย่อหยิ่งทนงตน ชมชอบเดินทางผจญภัยมากกว่าจะเป็นหญิงสำอางค์ในห้องหอ การได้ต่อกรกับโจรน้อยโจรใหญ่กลางทะเลทราย คล้ายอาหารโอชะที่นางโปรดปราณ ยิ่งได้ประลองกับจอมยุทธสำนักมาตรฐานนางยิ่งปลื้มปิติกว่าพบอัญมณีเลอค่ามากนัก ใต้คมดาบโค้งเสี้ยวพระจันทร์ของนางสยบนักสู้ผู้กล้ามานับร้อยราย
กระทั้งการเดินทางครั้งนั้น ทำให้นางเปิดหูเปิดตา ได้ประจักษ์กับยอดวิชาพิสดารที่ไม่เคยพบเห็น….
…ครั่งนั้น ท่ามกลางทะเลทรายเวิ้งว้างว่างเปล่า อมิตาร์ขี้อูฐออกจากกองคาราวานเพียงลำพัง มีถุงหนังบรรจุเหล้าองุ่นพกมาบนหลังอูฐ นางคิดร่ำเมรัยกับปรมาจารย์ให้รื่นรมณ์สักครา
คิดไม่ถึงว่าอาคารหินรกร้างกลับปรากฏอาคันตุกะมาเยี่ยมเยือนยามรัตติกาล
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของนางเพ่งมองเงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่บนเสาหิน
นางกระโดดลงจากหลังอูฐ หิ้วถุงหนังบรรจุเหล้าองุ่นไว้ที่มือซ้าย อีกมือกุมดาบพร้อมแผ่พลังปราณไปทั่วร่าง
“ ท่านคงเป็นอมิตาร์ ซาร์เดล ศิษย์หนึ่งเดียวของดาบสวรรค์แปดกรใช่หรือไม่ ” เสียงมันลอยลอดมาทุกทิศทาง จนไม่อาจจำแนกแยกแยะที่มา
พอนางคิดจะโต้ตอบ เงาร่างนั้นพลันอัตรธานไปจากที่ ราวกับละเหยหายคล้ายหมอกควัน
เพียงอึดใจ ผู้มาเยือนกลับมานั่งสบายอารมณ์อยู่บนหลังอูฐนาง
อมิตาร์ตื่นตระหนกเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี จนปล่อยถุงหนังตกลงพื้น หันกลับมาเผชิญกับคนลึกลับอย่างระมัดระวัง. คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ใช้วิชาตัวเบารวดเร็วปานนี้ แม้แต่ลมหายใจนางยังดูเชื่องช้ากว่า
“ ดาบสวรรค์แปดกร เคยกรีดเลือดสาบานต่อหน้าหลุมฝังพระศพองค์ศาสดา'มนีหัยยา' ว่าจะไม่จับดาบประหัดประหารใครอีก คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าจะเจ้าเล่ห์เจ้ากล ยืมมือเด็กสาวอวดโอ่วิชาแทน ” มันกล่าวกึกก้องในความมืด
เสียงมันสะท้อนไปทุกทิศทุกทาง จนมาแน่นิ่งกล่าวคำสุดท้ายที่เบื้องหลังอมิตาร์
นางสะดุ้งตัวไปเบื้องหน้า ชักดาบโค้งคมวาวออกจากฝัก ตั้งแนวดาบขวางอกเตรียมโรมรัน
มือนางเยียบเย็นกว่าโลหะ เหงื่อชุ่มปลายนิ้วเมื่อพบยอดฝีมือที่ไม่อาจคาดเดาแนวทาง
ผู้มาเยือนแต่งตัวแปลกประหลาด เป็นชุดสีดำแนบเนื้อมีเกล็ดแวววับไปทั่วตัว มันมีโครงหน้าคมสันไวผมสั่นเกรียน ดวงตาเรียวฉายแววอำมหิตแน่นิ่งประหนึ่งมัจจุราชแห่งโลกัณต์ หากร้อยยิ้มของมันกลับซื่อใส่บริสุทธิ์ดั่งทารกไร้เดียงสา
“ รบกวนแม่นางชี้แนะเพลงดาบอาบจันทร์ ให้เยี่ยมยลสักกระบวนสองกระบวนได้หรือไม่ ” มันผายมือเชื้อเขิญ
ทำเอาเลือดลมในกายอมิตาร์ปั่นป่วน ก่อนจะตัดสินใจตวัดดาบร่ายรำสามกระบวนท่าเข้าใส่ ท่วงท่าจู่โจมตามติดโดยไม่เปิดช่องว่างให้ล่าถอย คมดาบนางฟันเข้าใส่ร่างชายสูงใหญ่อย่างมั่นเหมาะ ทว่าคมดาบนั้นกลับทะลุผ่านร่างขายหนุ่มไปคล้ายฟันอากาศไร้ตัวตน
อมิตาร์ผงะงงงันเมื่อพบว่าชายหนุ่มผุดพรายขึ้นมาล้อมรอบตัวนางขึ้นเรื่อยๆ จากสองร่างเป็นสามร่าง จากสามเป็นสิบ และจากสิบเป็นร้อย…
“ พระจันทร์ไม่ได้มีแสงในตัวเองหรอกนะแม่โฉมสะคราญ มันเป็นแค่เทหะวัตถุในอวกาศที่สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์เท่านั้น” ทุกร่างที่รายล้อมล้วนขยับปากพูดโดยพร้อมเพรียง
แม้นางจะออกดาบฟันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่รูปเงาชายหนุ่มหาได้เคลื่อนขยับแม้แต่น้อย
“ จริงซิ !….คนสมัยนี้ยังไม่รู้เรื่องแบบนี้ซินะ ! ข้าพเจ้าผิดเองที่มาก่อนกาล "…
สิ้นเสียงสุดท้าย ชีพจรทั้งสิบสองสายของอมินาพลันถูกสะกัดกั้น จนร่างนางแข็งทือไม่อาจไหวติง มันสกัดจุดนางได้รวดเร็วจนไม่อาจมองเห็น
ร่างผู้มาเยือนร้อยกว่าคน ค่อยไหล่รวมเป็นหนึ่งอยู่เบื้องหน้านาง
อมิตาร์เหลือกตาพอง มองการลงมือของผู้มาเยือนอย่างไม่เชื่อสายตา….นี่มันวรยุทธใดกัน !…
“ นางอยากรู้ใช่มั้ยว่านี่คือวรยุทธใดกัน ? ”
มันพูดราวอ่านใจคนได้ รอยยิ้มอ่อนโยนที่มันส่งให้คือภาพสุดท้ายที่อมิตาร์เห็น ก่อนนางจะถูกสกัดจุดหลับสิ้นสติไป
….. อมิตาร์สะดุ้งตัวโยน เจ็บแปลบที่มือซ้ายจนได้สติฟื้นคืน ขึ้นมาเห็นภาพลางเลือนเหมือนความฝัน ว่าผู้มาเยือนคนนั้นกำลังผ่าตัดมือนางด้วยเครื่องมือประหลาด ที่มีแสงเรืองตรงปลายด้าม แล้วมันยังใช้โลหะกลมแบนคล้ายจักรสีเงินให้ตรึงไว้บนหลังมือซ้ายนาง
มันฮำเพลงแปลกประหลาดขณะทำการผ่าตัด ทุกครั้งที่อมิตาร์ได้สติลืมตามอง มันมักจะกล่าวปรอบโยนอ่อนหวาน
“ เจ็บอีกนิดนะคนสวย อีกแปล๊บเดียวก็เสร็จแล้ว ! ”
นางตื่นแล้วหลับ หลับแล้วตื่นอยู่หลายครา กว่าผู้มาเยือนจะเสร็จสิ้นการผ่าตัด
“ ตอนนี้เจ้าคือผู้ครอบครองจักรกาลเงามายาแล้วนะ เรียนรู้และใช้มันให้ขำนาญ แล้วเจ้าจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน หนึ่งในใต้หล้า….เจ๋งมั้ยละ ? ” ใบหน้ามันเลือนลางขณะสุ่มเสียงแว่วเข้าหู
“ สำคัญที่สุด ต้องจำให้ขึ้นใจเลยนะว่า ต้องหาข้าให้เจอก่อนฝนดาวตกจะมาเยือนโลกในอีกหกปีข้างหน้า ไม่อย่างนั้นประวัติศาสตร์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป …การที่ประวัติศาสตร์ไม่เหมือนเดิม มันไม่สนุกเหมือนในหนังหรอกนะคนสวย….ความผิดเพี้ยนในช่วงเวลาจะทำให้เกิดไทม์พาราด๊อกส์….เจ้ารู้หรือไม่ว่าไทม์พาราด๊อกส์หมายความว่ายังไง ? "
อมิตาร์พยายามส่ายหน้า รู้สึกวิงเวียน ตาพร่า แต่ยังจดจำทุกถ้อยคำได้อย่างถนัดถนี่
“ แปลง่ายๆว่าไทม์พาราด๊อกส์คือหายนะแห่งปริภูมิเวลา ” มันหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวรวบสั้น
“ ถ้าจะให้เจาะจงกว่านั้น คือไทม์พาราด๊อกจะทำให้โลกพังพินาจไงละ !”….
………………
“ ใช่แล้วไทม์พาราด๊อกส์ !…ทำไมหนูไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยนะ ! ”
พัคนารินตะโกนโวกเวกเมื่อรับรู้อดีตของอมิตาร์หมดสิ้น
“ ที่โครงการเลือกทดลองที่จะข้ามเวลามาหลายร้อยปี ก็เพื่อหลีกเหลี่ยงไทม์พาราด๊อกส์นี่ละ เพราะถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงข่วงเวลาที่ใกล้กัน จะทำให้ความจริงสองอย่างซ้อนทับกันได้ อย่างถ้าทำให้ปู่ไม่ได้แต่งงานกับย่า ก็จะไม่เกิดพ่อและไม่มีเราในที่สุด นั้นเท่ากับคนสามรุ่นจะหายนะไปพร้อมเพรียงกัน และไม่ใช้แค่บุคคลเท่านั้น สิ่งแวดล้อมในเวลานั้นๆจะวิปริตแปรปรวนไปหมด ” นางพ่ำบ่นกับตนเอง ลุกขึ้นยืนบนเรือโดยไม่ครั่นคร้ามต่อความโครงเครงแม้แต่น้อย
“ เรามีมาตรการป้องกันแค่ช่วงเวลาของเรา โดยไม่ได้เฉลี่ยวใจเลยว่าถ้าคนในอดีตสามารถใข้จักรกาลได้ แล้วพยายามจะแก้ไขประวัติศาสตร์ หายนะก็จะเกิดกับปริภูมิเวลาเหมือนกัน …ใช่แล้ว ใช่แล้ว…ตาแก่ขันทีคนนั้นต้องเป็นคนทำแน่ๆ ” พัคนารินพรั่งพรูถ้อยคำ โดยไม่เหลือบแลคนข้างๆสักนิด
ฉางยิ่นฉงนกับท่าทีนาง จนเขยิบเข้าไปใกล้ๆหลิวหงเหิน เพื่อไตร่ถามให้คลายสงสัย
“ นางกล่าวภาษาอันใด เจ้าฟังรู้เรื่องหรือไม่ ? ”
หลิวหงเหินอมยิ้มขบขัน ก่อนจะกล่าวหยอกล้อตามนิสัย
“ นางร้องเพลงขับกล่อมเราอยู่ต่างหาก เจ้าไม่รู้สึกไพเราะเลยหรือ ? ”
“ เชอะ ! ”
อมิตาร์แค่นเสียงประชดประชัน พลางเชิดหน้ากล่าว
“ คำพูดของชายกลิ้งกลอก ฉางยิ่น ท่านอย่าสนทนาให้มากความไป ”
“ ใช่ ใช่ เจ้ามันชายกลิ้งกลอก ข้าไม่สนทนาต่อปากต่อคำแล้ว ” ฉางยิ่นขยับร่างอ้วนใหญ่ถอยหนี หากยังยื่นเนื้อแห้งชิ้นใหญ่ส่งให้หลิวหงเหิน
ชายหนุ่มหัวร่อร่า พร้อมกับหยิบชิ้นเนื้อส่งเข้าปาก โดยสายตายังเลื่อนลอยไปทางพัคนาริน ที่กำลังพรั่งพรูความนึกคิดเป็นถ้อยคำไม่หยุดยั้ง
“ แต่เหตุผลมันแปลกๆอยู่นะ ถ้าซีซ่าร์ หลง คือจ้าวจักรกาลแล้วเขาจะเอาจักรกาลมาฝังไว้กับคนยุคนี้ทำไม หรือถ้าเขารู้ว่าโลกจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรง ก็แค่นำจักรกาลกลับไปในช่วงเวลาของมัน ทำไมต้องให้คนที่ครอบครองจักรกาลทั้งสิบสองชิ้นตามหาเขาทำไม ? ”
“ แล้วถ้าซีซ่าร์ หลง ไม่สามารถหยุดยั้งภัยพิบัติได้เพียงลำพังเล่า การรวบรวมผู้คนช่วยเหลือก่อนจะถึงเวลาฝนดาวตกที่มันว่า จะเป็นเหตุเป็นผลกว่ามั้ย ” ในที่สุดหลิวหงเหินก็ตามสิ่งที่นางไตร่ตรองทัน
“ โอ๊ะ !…โอ๊ะ !…” นางสะดุ้ง คิดตามที่หลิวหงเหินบอก
“ ใช่ ใช่…ถ้าซีซ่าร์ หลง ไม่ใช่ตัวร้ายแต่เป็นผู้กอบกู้โลก ภาระกิจรวบรวมจักรกาลอาจเป็นทางช่วยโลกก็ได้ ”
โครม !…
ฉางยิ่นฟาดมือลงบนลังไม้ด้วยโทสะ ปากตะโกนก้องเดือดดาล
“ เหลวไหล บัดซบยิ่ง…ไอ้ซาหลงของพวกเจ้ามันลงมือเหี้ยมโหดกับผู้คน ไหนเลยว่ามันเป็นคนดีงามได้ หากข้าเจอมันต้องขอแลกชีวิตกับมันสัดครา ” ฉางยิ่นพรุานพร่านจนมือไม้อยู่ไม่สุข ต้องหยิบไหสุราออกจากลังที่แตก นำมาเปิดฝาเทลงคอ
มันยั่วยวนให้หลิวหงเหินกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ มันชื่อซาหลง ( มังกรตนที่สาม ) อย่างนั้นเหรอ ? ” อมิตาร์กล่าวด้วยรอยยิ้มร้ายลึก
“ เป็นมังกรย่อมปราศจากสำนึกมนุษย์ กระทำการเหี้ยมโหดกับผู้คนโดยไร้ปราณีนัก อย่าว่าแต่ท่านเลยฉางยิ่น ขอเพียงข้าพบเจอมันเพียงครู่ จะจับดาบขอแลกวิชากับมันอีกครา…” นางกล่าวเรียบเฉย พร้อมยื่นมือขอสุราจากฉางยิ่นมาร่วมร่ำเมรัย
ฉางยิ่นกุลีกุจรดึงขวดสุราเคลือออกจากลังพาไปส่งให้นาง ข้ามหัวหลิวหงเหินที่กำลังมองตาปริบๆ
“ พวกท่านดื่มสุราทั้งที่คลั่งแค้น ออกจะเสียรสเมรัยมิใช่น้อย ”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า… “ วันนี้ข้าพาลไม่ให้ปักษาสุราลิ้มรสสุรา ท่านว่าดีหรือไม่ ตาร์น้อย ” ฉางยิ่นกล่าวกลั้วหัวร่อลั่น
“ ประเสริฐ ” อมิตาร์กล่าวรวบรัดพลางชูขวดสุราเย้ยหยัน
หลิวหงเหินได้แต่มองตาปริบๆ สลับมองไปมาระหว่างไหใบใหญ่กับขวดสุราทรงเรียว แล้วเผลอไผไปมองกระต่ายขนขาวบนพื้น ทำให้เกิดสะกิดใจกับการกระทำของจ้าวจักรกาล
กระต่าย…หมู…มังกรตนที่สาม…จักรกาลทั้งสิบสอง….หลิวหงเหินพลันฉุกคิดขึ้นฉับไว
“ แม่นาง ท่านว่าจักรกาลถูกสร้างจากสิบสองสถานที่ ไม่ทราบว่าท่านจำตำแหน่งปลูกสร้างมันได้หรือไม่ ” หลิวหงเหินเงยขึ้นไปกล่าวกับพัคนารินที่กำลังลอยละเมอไปกับความนึกคิด
“ อ้อ…โดมทดลองนะเหรอ จำได้ซิ ” พัคนารินตอบรับรวดเร็ว พลางนั่งลงข้างๆชายหนุ่ม
โดยหลิวหงเหินล้วงเข้าที่อกเสื้อดึงเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนใหญ่ และห่อกระดาษพันแท่งหมึกออกมา เมื่อมันแกะห่อกระดาษแล้วจึงจุ่มแท่งหมึกลงน้ำทะเล ขณะปูผ้าขาวไว้บนพื้น
“ ท่านบอกรายละเอียดมาเถิด ”…
……………….
…ผ่านไปชั่วหนึ่งเค่อ(15นาที) ภาพผังของโดมทั้งสิบสองออกมาปรากฏแก่สายตา ทันทีที่วาดครบจำนวนหลิวหงเหินพลันเบิกยิ้มกว้าง ราวเห็นภาพงามตระการตานัก
“ เป็นการเรียงตามกลุ่มดาวจริงๆ ” หลิวหงเหินกล่าวพึงพอใจ เมื่อรู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว
“ ยังไงอ่ะพี่ขาย ” พัคนารินถามงงๆ มองภาพทรงกลมซ้อนทับบนผ้าอย่างไม่เข้าใจ
“ ยังนี้ไง…” หลิวหงเหินชี้ไปที่วงกลมดวงใหญ่ทั้งสิบสอง
“ เจ้าว่าโดมทดลองของเจ้าเรียงจากเลขหนึ่งไปสิบสองไล่ไปทางขวามือ ส่วนโดมเล็กๆทึ่เป็นที่อยู่อาศัยทั้ง28โดมจะเรียงจากเลขน้อยไปมากไล่ไปทางซ้ายมือ ทั้งหมดนี้คือแบบจำลองของกลุ่มดาว โดย28กลุ่มดาวประจำฤดูกาลจะเคลื่อนไปทางซ้ายมือ ส่วนกลุ่มดาวนักษัตรทั้ง12จะเคลื่อนที่ไปทางขวามือ…นั้นหมายความว่าจักรกาล คือการจำลองกลุ่มดาวนักษัตรทั้ง12 " มันหยุดมองไปทางฉางยิ่น ขณะไล่นิ้วชี้ไปที่วงกลมที่สิบสอง
“ นักษัตรกุนเป็นกลุ่มดาวสุดท้าย จักรกาลย้อนทวนจำลองมาจากลักษณะเวลาของมัน ที่ต้องวนกลับมาเริ่มต้นใหม่ ”
คำกล่าวของหลิวหงเหินทำเอาชายหญิงที่กำลังร่ำเมรัยหยุดชงัก แง่นมองด้วยความสนใจ
“ วงที่สี่คือนักษัตรเถาะผู้งมงายในเงจันทร์ ” มันเงยมองอมิตาร์ด้วยรอยยิ้มเย้ย แฝงนัยประชดประชัน
“ วงที่ห้าย่อมเป็นนักษัตรมะโรง คือจักรกาลของมังกรตนนั้นใช่หรือไม่ มันคดโกงเวลาได้เช่นใดรีบบอกกล่าว ” ฉางยิ่นร้องร้อนลน คล้ายมุ่งมาดปราถนาหาจุดอ่อนของคู่แค้น
“ ข้าไม่อาจรู้แน่ชัดหรอกพี่ฉางยิ่น…ที่รู้เพียงซาหลงไม่ใช่ผู้สร้างจักรกาลเหล่านี้ มันเป็นเพียงผู้ค้นพบและพยายามแก้ไขบางสิ่ง !”
พัคนารินตาเหลือกโพลง ร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก !
" แม่จ้าว !…คนร้ายตัวจริงคือศาสตราจารย์ชอว์ งั้นเหรอ ?.... "