“ เพลงดาบอาบจัทร์แห่งลัทธิมนีคี…. ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นกับตา นับว่าลี้ลับ พิสดาร สมคำล่ำลือนัก นับถือ นับถือ ” จูเง็กจือกล่าวชื่นชมผสานกับแววตาเปล่งประกายลุ่มหลงจนงมงาย
“ เพลงกระบี่พรากนภาแห่งสำนักบู๊ตึ๊งของท่าน ก็เพลิดแพร้ว พลิกแพลงเกินคาดเดา นับว่าเลิศล่ำนัก ” อมิตาร์กล่าวอ่อนหวานออดอ้อน แตกต่างจากท่วงท่าจับดาบที่มุ่งมาตรหมายร้าย
ทั้งคู่ยืนสงบแน่นิ่งดูเชิง ผิดแปลกจากหลิวหงเหินที่รีบกุลีกุจรคว้ากระต่ายบนโต๊ะมาแนบอก เมื่อเห็นไฟกระพือโหมลุกลามเพิ่มขึ้น โดยใจมันยังนึกรำคาญสองจอมยุทธ ที่มั่วพิร่ำพิไรชื่นชมซึ่งกันและกัน ทั้งที่ไฟกำลังโหมไหม้ขึ้นจากพรมลามถึงม่านปิดบังหน้าต่างแล้ว
“ เจ้าสองคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกันหรือไร จะบอกรักหรือจะชำระคดีความก็เร่งรีบเถิด ” หลิวหงเหินกะวีกะวาดกล่าว พลางพุ่งกายเผ่นโผนออกนอกหน้าต่าง ฝ่ากลุ่มควันโขมงล่อนร่างลงยังพื้นเบื้องนอก
“ มันเกิดอะไรขึ้นท่านบัณฑิต ? ”….ทหารวิ่งพล่านเมื่อเห็นเปลวไฟโพลงขึ้นพร้อมกับเห็นร่างระหงที่อุ้มกระต่ายไว้ในวงแขน
“ รีบเร่งดับไฟเถิด !”
ไม่ทันสิ้นเสียง ผนังห้องพลันผังทลายมากับเงาดาบประกายกระบี่โฉบฉิ่ว
สองกระบี่ในมือจูเง็กจือเร่งเร้าถาโถม กระบวนท่าพลิกแพลงหนุนเนื่องไม่ขาดสาย ร่วมหลอมเข้ากับลมปราณสายพรตอันยืดหยุ่นไร้ที่สิ้นสุด รังษีกระบี่บางเบาจึงแผ่คลุมทั่วฟ้า ราวม่านมีคมไร้ตะเข็บ
“ ยอดฝีมือเช่นท่านเหตุใดลงมือกับชายชราไร้ทางสู้เหี้ยมโหดนัก ” จูเง็กจือกล่าวพร้อมวาดกระบี่ในทวงท่าหลอกล่อมากกว่าจะจู่โจมจริงจัง
“ ท่านกล่าวเหลวไหลอันใด ชายชราไหนกัน ” อมิตาร์ตวัดดาบโค้งตั้งรับเป็นวงกลม ครอบคลุมทุกจุดช่องว่างจนไม่อาจมีสิ่งใดฝ่าทะลวงถึงร่าง
“ หากท่านบริสุทธิ์เหตุใดต้องลงไม้ลงมือด้วย ใยไม่ตามเรากลับไปหาความกระจ่างชัด ”
“ ชาวฮั่นล้วนกลับกลอก ไม่อาจเชื่อถือวางใจ เหตุใดข้าต้องตามท่านไปด้วยเล่า ”
ทั้งคู่กล่าววาจาพร้อมแกว่งไกวอาวุธในมือ เป็นท่วงท่าสัปยุทธกลางเปลวไฟ ดูน่าครั่นคร้ามไปพร้อมกับงดงามตระการตา คนหนึ่งใช้กระบี่คู่ได้พริ้วไหวเลื่อนไหลไม่ขาดช่วง พลังวัตรที่ถ่ายทะลักผ่านรังษีกระบี่เกิดเป็นลมพลุ่นพล่าน จนเคลื่อนไปทางใดเปลวไฟจะวูบไหวหลีกไปอีกทาง
ส่วนโฉมสะคราญผู้ครอบครองดาบวิเศษ กลับมีท่าร่างดั่งภูตพรายอันลี้ลับ ตวัดดาบเป็นวงกลมสั้นบ้าง ยาวบ้าง บางครั้งปล่อยดาบจากมือเป็นกงจักรบินฝ่าอากาศ ม้วนเอาเปลวไฟหมุนเป็นโพรงตามคมดาบพุ่งเข้าใส่คู่มือ
ในสายตาหลิวหงเหินสามารถเห็นได้ท่องแท้ว่า ทั้งคู่บรรลุถึงขั้นห้าในการฝึกยุทธ เป็นระดับขั้นที่เรียกว่า ‘แก่นแท้ศาสตรา’ ยังเหนือล้ำกว่าหลิวหงเหินขั้นหนึ่ง
เสียดายที่การสัปยุทธด้วยคนมีฝีมือทัดเทียม ยังหวาดเสียวกว่าการต่อกรกับคนฝีมือต่างชั้นหลายเท่า เนื่องจากไม่อาจรู้ผลแพ้ชนะง่ายดาย แต่สามารถตกตายได้ฉับไว ในความคลาดเคลื่อนเพียงลัดนิ้วมือ
หลิวหงเหินไม่อาจเมียงมองการประลองให้ถึงที่สุด เพราะเพลิงเร่งเล่ากำลังเผาไหม้ไปทั่วทั้งห้องโถงกลางลำเรือ มันรีบวางกระต่ายลงกับพื้น แล้วสั่งลารวบลัด
“ เจ้าอยู่นิ่งๆ ห้ามขยับเขยือนไปไหน ”
กระต่ายได้แต่มองตาแป๋ว ซ้ำยังทำจมูกฟิตฟัดคล้ายรับรู้กลิ่นแปลกประหลาด แต่แล้วมันกลับสะดุ้งตัวโยน เมื่อมีเสียงฆ้องดังโป๊ง โป๊ง โป๊ง.. แว่วกระจายก้องมาจากทางขึ้นบันไดเรือ
“ ไฟไหม้ ไฟไหม้ !…รีบเร่งช่วยกันดับไฟโดยไว ”
เฒ่าหยางนั้นเองที่แหกปากลั่น สองมือมันกระหน่ำฆ้องรัวๆ….
คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าวัยหกสิบกว่าจะลงเรือเล็กออกตามชายทั้งสองมาสืบคดี พอมาถึงเรืออัญมณีก็มีอันต้องสะทกสะท้านกับเพลิงกาฬ จนต้องกระหน่ำฆ้องตระโกนหาผู้คนร่วมกันดับไฟ
หลิวหงเหินยกชูนิ้วโป้งให้มัน พรางกระโจนขึ้นเสากระโดงเรือ ฉีกกระชากใบเรือมาเป็นวัสดุดับไฟ
ทว่ามันไม่ทันได้ใช้ใบเรือฝาดเปลวร้อนเร่า สายตาพลันพบประกายวูบวาบผ่านเลย พุ่งตรงมาจากเสากระโดงเรือเสาแรก
เป็นประกายดาบของอมิตาร์นั้นเอง ที่สะท้อนแสงจันทร์ส่องกระจ่างเจิดจ้า ราวกับอัญมณีเรืองโรจณ์กลางอากาศ
นางใช้วิชาตัวเบาเผ่นพลิ้วขึ้นยอดเสากระโดงเรือโดยมีจูเง็กจือติดตามไม่ห่าง ทั้งคู่ดวลอาวุธกลางอากาศ จากเสาที่สามไปเสาสองและเมื่อถึงเสาแรก คมดาบโค้งของนางพลันเจิดจรัสสว่างวาบ
ทว่าแสงนั้นหาใช้มีเพียงหนึ่ง แต่มันกลับเป็นแสงวับวาวสิบสองจุดแยกล้อมร่างจูเง็กจือไว้
หลิวหงเหินตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นอมิตาร์12คนร่วมกันรำเพลงดาบผสานเข้าจู่โจมจูเง็กจือ
“ นี่มันอะไรกัน !…. มีวิชาแยกร่างอยู่จริงๆอย่างนั้นเหรอ?..”
ความตกใจยังไม่ทันจางหาย ความประหวั่นหวาดเสียวพลันถาโถมเข้ามาจนใจมันสั่นสะท้าน
เมื่อเห็นหนึ่งในอมิตาร์โฉบเฉี่ยวข้ามหัวจูเง็กจือ จนชายหนุ่มต้องใช้หนึ่งกระบี่ปกป้องด้านบน อีกกระบี่ขว้างกั้นสามการจู่โจมทางขวา ทำให้เปิดพื้นที่ช่วงลำตัวเป็นช่องว่างจุดอ่อน ทำให้อมิตาร์ทางซ้ายช่วงชิงการฝาดฟันใส่เข้าหน้าอกมันเต็มพลัง
“ ไม่..ไม่..ไม่…!” หลิวหงเหินร้องเสียงหลง เมื่อเห็นหน้าอกจูเง็กจือถูกฟันเป็นแผลฉกรรจ์ เลือดไหลเป็นทางเปื้อนสะบัดทั่วอาภรณ์ขาวสร่าง
จูเง็กจือพลันล่วงตกจากเสากระโดงเรือ ดิ่งลงสู่ห้องโถงเรือที่มีเปลวไฟลุกโพลง….
“ เง็กจือ !…” เสียงตะโกนร้องแผดก้อง พร้อมๆกับร่างระหงในชุดครามโจนเข้าหาสหาย ที่บัดนี้ตกกระแทกกับกล่องเก็บอัญมณีแตกแหลกราน
หลิวหงเหินพุ่งตัวหาร่างอันชุ่มเลือด มือหนึ่งประคองไหล่สหาย อีกมือใช้ผืนผ้าใบเรือ ตบประกายไฟไม่ให้ลุกลาม
“ อัก.. อัก..อัก…” จูเง็กจือหอบแห้งๆ ดั่งหน้าอกอึดอัดหนักหน่วง
“ เย็นไว้สหายข้า ห้ามเจ้าเป็นอะไรเด็ดขาด สุรามื้อใหญ่ยังไม่ได้ร่วมดื่ม ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด ” หลิวหงเหินกล่าวเสียงเครือ ดวงตาขึ้นเลือดฝอยแดงกร่ำ
แต่แล้วใบหน้าในวงแขนมันพลันลางเลือน เมื่อเห็นแสงสว่างวาบจากเรืออีกลำที่แล่นเข้ามาใกล้
ไม่ทันที่หลิวหงเหินจะมองที่มาของแสงให้แน่ชัด ก็ต้องชะงักข้างมองเบื้องบน เห็นอมิตาร์ที่กำลังจะผละหนีพลันถูกเสากระโดงเรือที่มีไฟลุกท่วม โคนลงใส่เข้าร่างนางอย่างจัง ..
โครม!…
เสียงกัมปนาทเลื่อนลั่นคือสิ่งสุดท้ายที่หลิวหงเหินสัมผัสได้
จากนั้นสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวลพลันสลายหาย คล้ายหมอกควันต้องความร้อน เหลือไว้เพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า ราวเข้าสู่อลธกาลไร้ที่สิ้นสุด
สรรพสิ่งดั่งคืนสู่จุดสงัดงันก่อนจะถือกำเนิดเกิดเป็นชีวิต….
……………….
เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า…
แสงนวลเคล้าสายตาให้สติมันฟื้นตื่น …
หลิวหงเหินยืนงงงันอยู่ท่ามกลางลมราตรีเฉื่อยฉิว ในมือยังถือภู่กันด้ามใหม่เอี่ยม เบื้องหน้ามีโต๊ะวางไว้ด้วยผ้าไหมผืนยาว ที่ถูกวาดระบายเป็นรูปหญิงสาวที่เคยครอบครองหัวใจมัน
ร่างระหงสะดับยืนอยู่บนห้างไม้ทรงกลม บนยอดเสากระโดงของเรือบันทึกปูมเรือ
“ นี่มันอะไรกัน ! ”…
มือไม้มันเที่ยวลูบคล่ำตนเอง สายตาสอดส่ายไปทั่วอย่างไม่เชื่อถือนัก
“ เป็นไปได้ยังไง ? ”..
ชายหนุ่มสบถกับตนเอง เมื่อรู้ว่าตนกลับมายื่นยังจุดเดิม ณ ชั่วยามก่อน
“ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร?..ฝันไปอย่างนั้นรึ ? "….
ไม่ทันที่มันจะได้ค้นหาคำตอบ เสียงฆัองลั่นดังโป๊ง โป๊ง..โป๊ง…กวักเรียกให้มันหันไปหาเฒ่าหยาง ที่กำลังรัวฆ้องอย่างมันมือ
..เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำอีก….เฒ่าหยางยิงลูกศรส่งสาส์นบอกข่าวการตายปริศนา
หลิวหงเหินคลี่จดหมายบนหัวศรออกอ่านด้วยใจสั่นเเทา เพราะทุกอักษรล้วนผ่านตามาแล้วทั้งสิ้น
ถ้าเข่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ จะเกิดขึ้นซ้ำสองอย่างนั้นเหรอ? ….
“ หลิวหงเหินเอ่ย หลิวหงเหิน เจ้าเข้ามาพัวพันกับอำนาจประหลาดอันใดกัน"
มันเปรยเสียงเอ่ยกับตัวเองเบาๆ เหมือนละเมอในความฝัน โดยแววตาที่หรี่ปรือจากฤทธิ์เมรัย กลับเปล่งประกายคมกล้า เมื่อรู้ว่าเบื้องหน้าคือปริศนาที่ไม่เคยมีใครเผชิญ ไม่เคยถูกจารึกไว้เป็นตำหรับตำรา
อาจมีมันคนแรกที่ได้เห็น และไม่แน่ว่าอาจเป็นคนสุดท้ายที่พบเห็น…