ร่างไร้วิญญาณนั้นไม่อาจจำแนกอายุขัย
แม้ผิวหนังหน้าตามันจะเหี่ยวย่นดั่งคนชราอายุกว่าร้อย แต่กระดูกฟัน กระดูกแขนขา ยังแข็งแรงราวคนวัยฉกรรจ์
ที่พิสดารกว่าร่างกายมัน เห็นจะเป็นอาภรณ์ที่มันสวมใส่ เป็นชุดรัดรูปแนบเนื้อสีดำสนิท มีเกล็ดกลมเล็กๆเท่าหัวแม่มือเรียงร้อยไปทั่วทั้งชุดมัน ที่สองข้อแขนยังมีกำไลสีเงินเป็นแท่งยาวกว่าคืบ ตรงเอวมีสายรัดดูคล้ายโลหะอ่อนประดับประดาด้วยสิ่งวาววับ จะเป็นอาวุธก็ไม่เชิงเป็นเครื่องประดับก็ไม่ใช่ คล้ายไม่อยู่ในยุคสมัยที่หลิวหงเหินจะเข้าใจ…..หรือนี่จะเป็นชุดเกล็ดมังกรในตำนาน ?…
ที่ชายหนุ่มเข้าใจเพียงการตรวจสอบร่างกาย จนพบอวัยวะภายในของมันแหลกเหลวไม่เป็นชิ้นดี ทั้งหัวใจ ตับ ม้าม ปอด ล้วนพินพังยับเยิน
“ เป็นวิชาฝีมืออันใด จึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ ” กงกงเฉียนเปรยถามเหล่าองครักษ์ที่ยืนรายล้อมรอบตัว
“ เล่าลือกันว่าวิชาวัชระปราบมารของเสี้ยวลิ้มยี่ ทรงพลังกล้าแกร่งสามารถทำลายอวัยวะภายในให้แหลกราน แต่ก็ทำร้ายได้เป็นจุดส่วนที่ถูกกระทบ หาได้ทำลายได้ทั้งร่างกาย ” องครักษ์ร่างสูงใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิดกงกงที่สุดเอยตอบ
“ วิชหมัดราชสีห์พิโรธของคงท้ง ก็ดุดันเลื่องลือเรื่องพลังทำลายล้าง ไม่แน่ว่ามีคนฝึกฝนถึงขั้นไร้ขอบเขต จนแผ่พลังทำร้ายได้ทั้งร่างกาย ” องครักษ์อีกผู้หนึ่งกล่าวเสริม
จากนั้นเป็นดั่งมหรสพกล่าวชมเชยยอดวิชา ป้อยอสำนักวิชาที่ตนสังกัด จนมีชื่อวิชานับได้สิบแปด-สิบเก้าชื่อปรากฏในเวลาลัดนิ้วมือ
หลิวหงเหินได้แต่ส่ายหัว แล้วก้มหน้าก้มตาสำรวจสายลัดเอวประหลาดไปทุกจุด
เนินนานกว่ามันจะได้พบเม็ดทับทิมสีส้มอมแดงขนาดเท่าผลองุ่นติดอยู่ตรงหว่างเอว
“ อ่ะ อ้า…นั้นเจ้าพบล่องรอยแล้วรึปักษาสุรา ” จูเง็กจือที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ลงคุกเข่าหันมองอัญมณีในมือมัน
หลิวหงเหินเย้ยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกล่าวอย่างไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนตามประสามันเ
“ ทับทิมสีสดดั่งอาทิตย์อัสดง ช่างโชติช่วงสุกปลั่ง หากเข้าใกล้เกินไปความร้อนแรงจะแผดเผาเจ้าเป็นจุล เจ้าว่าความร้อนแรงแบบนี้คล้ายหญิงสาวชาวปาร์เธีย (เปอร์เซีย) หรือไม่ ”
“ ฮ่า ฮ่า…ปักษาสุราหนาปักษาสุรา คิดพาข้าไปเยี่ยมเยือนเรืออัญมณีของสาวปาร์เธียใช่หรือไม่ ”
“ เจ้าไปสืบคดี ส่วนข้าไปชิมเหล้าองุ่น ตกลงหรือไม่ ”
“ ฮ่า ฮ่า…ยินดี ยินดี ”
รูปเงาสีขาวนวลเผ่นพลิ้วโชยผ่านม่านอลธกาล ดั่งเงาภูตพรายเริงร่ายไปตามโครงเสากระโดงเรือ โจนผ่านจากเรือลำหนึ่งไปอีกลำหนึ่งสุดว่องไว เกินสายตาสามัญจะสังเกตุเห็น
จะมีเพียงเงาร่างสีครามที่โลดแล่นตามติด จึงได้ชื่นชมในท่าร่างวิชาตัวเบาของจูเง็กจือที่หมดจรดงดงาม ดั่งเซียนวิเศษจำแลงแปลงกายมา
“ ฉายาวายุหยกขาวสมคำล่ำลือนัก ”
หลิวหงเหินรำพึงกับตัวเองเบาๆ ขณะทอดสายตามองวิชาตัวเบาของสำนักบู้ตึ่งที่ไม่เป็นสองรองใคร
“ ปักษาสุราบินไม่ขึ้นหรือไร จึงได้ติดตามมาเชื่องช้านัก ” จูเง็กจือกล่าวกระตุ้น
ทว่าเป็นการกระตุ้นผิดผู้ผิดคน หลิวหงเหินยังคงทอดท่าร่างตามอารมณ์ โลดแล่นอย่างปลอดโปร่งไร้กังวล ดั่งเคลื่อนกายชมบุปผาในสวน
“ จะให้ข้ารีบเร่งไปใยวายุหยกขาว ถ้าข้าออกแรงมากไป เกรงว่าจะกระหายน้ำมากไปจนดื่มด่ำสุราหนักหน่วงเกินไป ถึงตอนนั้นเหล้าองุ่นอาจหมดลำเรือแล้ว ”
“ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าไม่รอแล้วสหาย ”มันกล่าวรวบสั้น ก่อนจะเผ่นโผนไปดั่งสายฟ้าสีขาวแลบผ่าน
เพียงลัดนิ้วมือจูเง็กจือจึงบรรลุสู่จุดหมาย
ทันทีที่ชายชุดขาวล่อนร่างลงยังพื้นเรืออัญมณี หน่วยทหารประจำเรือได้ชักดาบเข้าขวาง สีหน้าหวาดหวั่นราวเห็นภูตพรายปรากฎกายอยู่ต่อหน้า
“ เยียบเย็นอารมณ์ไว้สหายเรา ขัาพเจ้าจูเง็กจือองครักษ์แห่งวังเมฆาขจี มาสืบคดีความโปรดให้ความสะดวกด้วยเถิด " ชายหนุ่มกล่าวพร้อมชูป้ายทององครักษ์ในมือ
ทำให้เหล่าทหารลดอาวุธค้อมศรีษะนอบน้อมโดยพร้อมเพรียง
“ หุ หุ หุ ป้ายทองนี้วิเศษยิ่ง หากให้ข้าหยิบยืมคงบังคับเถ้าแก่ร้านสุราส่งมอบเมรัยร้อยปีให้หมดยุงฉาง ” สายลมเฉื่อยฉิวมากับร่างสีคราม ชายเสื้อมันสะบัดพลิ้วขณะร่อนลงพื้นเรือ มาเคียงข้างสหาย
“ เป็นหงษ์เหตุใดมาเชื่องช้านัก สมควรเปลี่ยนเป็นเต่าเมรัยจะเหมาะสมกว่าหรือไม่ ”
“ ไม่เลว ไม่เลว เรียกเต่าก็ดีจะได้กินทั้งวี่วัน ”
“ เจ้านี่ไม่รู้จักโกรธเคืองโดยแท้ ” จูเง็กจือพูดด้วยรอยยิ้มเบิกบาน พร้อมทั้งหันไปหาเหล่าทหารที่เรียงหน้าสล่อนเข้ามา
“ คุณชายสี่ บัณฑิตหลิวให้เกียรติมาเยือน นายท่านเชื้อเชิญท่านทั้งสองสู่ด้านในขอรับ " ทหารนายหนึ่งกล่าวนอบน้อมเรียนเชิญ
“ รบกวนแล้ว ” หลิวหงเหินน้อมคาราวะตอบ พลางเดินทอดน่องเคียงข้างจูเง็กจือตามทหารไป
ภายในโถงรับรองกลางลำเรือโอ่อ่าหรูหรา ราวพระราชวังของเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์
ทั่วทั้งห้องสว่างไสวด้วยโคมไฟทองเหลืองแบบเปอร์เซีย พื้นปูพรมลวดลายเพิศแพร้ว ผนังประดับประดาด้วยภาพเขียนจากหลายดินแดนที่กองเรือแรมทาง โต๊ะตั้งฝังมุกสองข้างผนังล้วนวางเรียงไว้ด้วยหีบอัญมณี และเครื่องเงินเงาวับ หากคิดรวบรวมมูลค่าของทั้งหมดคงยากจะคำนวนให้เสร็จสิ้นในวันเดียว
ตรงกึ่งกลางห้องจัดวางโต๊ะขนาด6เชียะ (2 เมตร) อันเนื่องแน่นไปด้วยถาดอัญมณีหลากหลาย ทั้งมรกต ทับทิม เพทาย เพชร ทั้งหมดล้วนส่องประกายวิบวับใต้แสงโคม
อัญมณีว่างามจับตา ยังดูด้อยค่าลงพลันเมื่อเลื่อนสายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะมหาสมบัติ
นางอยู่ในอาภรณ์แบบชาวเปอร์เซียสีเหลืงอ่อน มีสร้อยเพชรวับวาวคล้องศรีษะ ขับเน้นผิวขาวอมชมพูให้สว่างไสวดั่งเรือนร่างเปล่งแสงอล่ามเรืองรอง
ใบหน้านางเป็นรูปไข่มีสองแก้มอมเลือดฝาดแดงเปล่งปลั่ง จมูกคมสันแบบชาวเปร์เซีย ริมฝีปากบางรูปกระจับแต้มสีชาดระบายยิ้มผุดผาด ราวกลีบกุหลาบแย้มบาน เป็นความงามสะคราญที่ทำให้ใจชายละลายเนืองนองแทบเท้านางได้ในบัดดล
เมื่อนางเงยหน้าแช่มช้อยมองตรงมา ด้วยดวงตากลมโตสีฟ้าอ่อนใต้คิ้วเรียวคมคาย คล้ายศาสตราบาดเฉือนให้หัวใจชายขาดสะบั่นด้วยการมองเพียงคราเดียว
“ คุณชายสี่ บัณฑิตหลิว มาเยี่ยมเยือนยามวิกาลเช่นนี้ คงมีอันใดให้ผูน้อยรับใช้ ” เสียงนางเพราะพริ้งเยียบเย็น รูสึกสดชื่นโดยไม่ต้องริมรสน้ำใดๆ
จูเง็กจือได้แต่ยืนแข็งค้าง ราวกับถูกประกายตาสีฟ้าอ่อนสะกดรั้งด้วยมนตรา
แม้หลิวหงเหินจะเคยเขียนรูปนางไว้ในบันทึกปูมเรือ แต่เมื่อประสบกับนางอีกครา ยังรู้สึกขีดเขียนความงามของนางได้ไม่ครบครั้น หากมีภู่กันในมือมันคงขอจารึกบันทึกสิ่งที่เห็นอีกครา
นางในอาภรณ์เหลืองอล่าม ที่อุ้มกระต่ายไว้แนบอก ช่างงดงามอ่อนช้อยคล้ายภาพในฝันมากกว่าจะอยู่ในโลกใบเดียวกับมัน หลิวหงเหินได้แต่ทอดถอนใจ รู้สึกไม่อาจเคลิบเคลิ้มในฝันให้เนินนานไป
“ มิกล้ากล่าวคำรบกวน ข้าพเจ้าเพียงขอความอนุเคราะห์รับความรู้จากแม่นาง สักเล็กน้อย ” หลิวหงเหินน้อมกายกล่าวสุภาพ พลางเดินไปถึงหน้าโต๊ะนาง แล้วส่งทับทิมเม็ดงามยื่นส่งตรงไป
ดวงตาสีฟ้าอ่อนปรายตามองทับทิมบนโต๊ะเพียงคราเดียว พลันแย้มยิ้มพริ้มพราย กล่าวพรางลูบไล้กระต่ายในอ้อมอกไปพราง
“ ทับทิมแห่งซาร์มาคาร์ ประกายส้มอมแดงดั่งแสงอาทิตย์อัสดง เป็นเอกลักษณ์พิเศษที่มีเพียงแคว้นซามาคาร์เท่านั้นที่สามารถพบทับทิมชนิดนี้ ” นางชม้ายตาแช่มช้อยมองภาพเขียนบนผนังอันหลากหลาย
“ ล่ำลือกันว่าทับทิมนี้มีอาถรรพ์แฝงเร้น สามัญชนไม่อาจครอบครองไว้กับตน จึงประดิษฐ์ตบแต่งทับทิมเป็นเครื่องสักการะแก่ทวยเทพ โดยเฉพาะชาวไอยคุปต์โบราณมักจะนำทับทิมมาประดับศาสตรามีคมเซ่นสังเวยแด่องค์เทวาแห่งราตรีกาล เทพคอนชูผู้ครอบครองจันทรา เป็นสัญลักษณ์แห่งการบัดเป่าความมืดมน อีกนัยหนึ่งคือการรชำระแค้น ส่องแสงแด่ผู้ทุกข์ทน"
“ เลื่อมใส เลื่อมใส มองเพียงปรายตาก็จำแนกรายละเอียดได้หมดสิ้น ” ในที่สุดจูเง็กก็เอ่ยวาจา โดยนัยน์ตาทอประกายหลงใหลแบบไม่สงวนท่าทีแม้แต่น้อย
“ ความรู้ขัาพเจ้ามีจำกัดยิ่ง ไม่อาจอวดโอ้ต่อหน้าคุณชายสี่แล้ว ” นางชม้ายตาชดช้อย แย้มยิ้มพริ้มพรายสุดหยาดเยิ้ม
“ หากท่านไร้ความรู้ เกรงว่าข้าพเจ้าคงเป็นเพียงตัวโง่งมแล้วกระมั้ง”
“ เป็นตัวโง่งมหยกขาว ย่อมนับว่าน่ามองไม่น้อย "
ทั้งคู่ประสานรอยยิ้มเชื่อมใจตรงกัน ห่างไกลจากการมาสืบคดีออกมาไม่น้อย
หลิวหงเหินได้แต่เกาศรีษะแกรกกราก แสร้งเบียงเบนสายตาไปมองรูปเขียนบนผนัง ด้วยไม่อยากมองดอกรักเบ่งบานนานเกินไป
“ หากอยู่ในสายตาของท่าน ตัวโง่งมตัวนี้ย่อมนับว่ามีวาสนาไม่น้อย ”
เมื่อจูเง็กจือสังเกตุเห็นสหายแสร้งเบือนหน้าไปทางอื่น ซ้ำยังกระแอมไอเบาๆ ย่อมสำเหนียงในใจโดยพลัน มันได้แต่ยิ้มแก้เก้อเขิน ก่อนจะชักสีหน้าจริงจังกล่าวถึงคดีความที่ตั้งใจมา
“ เสียดาสที่ตัวโง่งมด้อยความสามารถ กลับมีภาระในทับทิมที่นำมา เกรงว่าต้องขอความอนุเคราะห์จากแม่นางเพิ่มเติม ”
“ มีคำสั่งใดเชิญคุณชายสี่บอกกล่าว "
“ ไม่ทราบว่ามีทับทิมชนิดนี้อยู่ภายในเรือหรือไม่ ”
“ มีเพียงหนึ่งเดียว ประดับอยู่บนดาบศักดิ์สิทธิ์ ที่จ้าวแคว้นซามาร์คาร์ส่งมอบเป็นบรรณาการณ์ต่อองค์ฮ่องเต้ " นางกล่าวพลางหยิบทับทิมขึ้นลูบคลำในอุ้งมือ
“ ข้าพเจ้าสามารถเยี่ยมชมดาบศักด์สิทธิ์หรือไม่ ”
“ มีอันใดที่องครักษ์สี่ไม่อาจเยี่ยมชม เชิญท่านตามมา ” นางลุกยืนพร้อมกับเชื้อเชิญจูเง็กจือเดินตามสู่ห้องด้านใน
พอนางเลื่อนเปิดประตูลายกระต่ายในดงดอกทานตะวันให้เคลื่อนออก เผยให้เห็นทางเดินเล็กแคบทอดยาวสู่ด้านในรือ
“ ข้าพเจ้าชื่อ อมิตาร์ ซาร์เดล … หากเราต้องร่วมไปในทางสายลับ สมควรล่วงรู้ชื่อแซ่กันใช่หรือไม่ ”
“ สมควรอย่างยิ่ง จูเง็กจืออาษาปกป้องท่านในหนทางลับเอง " มันกล่าวนอบน้อมก่อนจะเดินตามนางสู่ภายใน
ปล่อยทิ้งให้หลิวหงเหินเคว้งคว้างอยู่กับรูปเขียนอันวิจิตรตระการ
“ ความรักมักชักนำผู้คนให้หลงลืมสหายเสมอมา จะมีเพียงพวกเจ้ากระมั้งที่มั่นคงไม่เคยเปลี่ยนแปลง ” หลิวหงเหินรำพึงรำพันกับรูปเขียน พรางลากสายตามองภาพแล้วภาพเล่าอย่างชื่นชมปะปนประหลาดใจ
ด้วยเหตุที่ในเหล่ารูปเขียนหลากหลายมีวิธีการร่างเส้นลงสีไม่เหมือนภาพเขียนอย่างชาวฮั่นที่ใช้เพียงภู่กันตวัดวาด บางภาพมาจากอินเดีย บางภาพมาจากโรมัน บางภาพมาจากอียิปต์
แม้จะแตกต่างที่มา แต่ทุกภาพล้วนสร้างสรรค์เป็นรูปเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ ทั้งไดอาน่าแห่งโรมัน โสฬสของอินเดีย อามาทาสจากเปอร์เซีย คอนชูแห่งอียิปต์ ทุกองค์ล้วนเป็นเทพแห่งจันทรา ที่หลิวหงเหินเคยได้ยินมาจากการล่องเรือพบกับคนหลายชาติหลายภาษา ที่มาพร้อมเรื่องเล่าแปลกประหลาดเข้าหู
แต่บางอย่างในภาพเหล่านั้น ทำให้หลิวหงเหินฉุกคิดถึงถ้อยคำแม่นางอมิตาร์
….' ทับทิมนี้มีอาถรรพ์แปลกประหลาด สามัญชนไม่อาจครอบครอง…..จึงต้องจัดสร้างประดับไว้ในอาวุธมีคม เพื่อนำทวายแด่เทพแห่งดวงจัทร์ "….
สายตาหลิวหงเหินมองปราดไปที่โต๊ะซึ่งเคยมีทับทิมวางอยู่ หันมองภาพเขียนบูชาเทพพระจันทร์ มองห้องเก็บสมบัติหลังปรตูลับ นึกถึงดาบศักดิ์สิทธิที่เป็นบรรณาการ
….นางหยิบทับทิมอาถรรพ์ไปหาดาบศักดิ์สิทธิ !….
…ผิดท่าแล้ว !…
เพียงวูบคิดได้ ประตูไม้ปิดห้องลับพลันพังครื้น…
รูปเงาสีเหลืองอ่อนได้โบยบินออกจากช่องประตูแตก ล่อนร่ายไปในห้องโถง โดยมีเงาสีขาวที่ชักกระบี่คู่คมวาววับตามติด
โดยแม่นางชุดเหลืองมีดาบโค้งเปอร์เซียกวัดแกว่งอยู่ในอุ้งมือ ไม่ทันที่จูเง็กจือจะไล่ตามทัน อมิตาร์พลันพลิกกายปล่อยดาบโค้งล่อนเป็นวงดั่งกงจักรหมุนวนในอากาศ
ดาบกงจักรแฝงเร้นลมปรานอันกล้าแกร่ง พุ่งพลังแหลมคมเคลือบคลุมรังษีดาบ หมุนบินเฉียงๆผ่านอกจูเง็กจือไปแค่คืบ รังษีดาบยังหมุนต่อเนื่องล่อนลงตัดโคมไฟหกต้นขาดสะบั่น จนเปลวไฟตกลงยังพื้นพรมเกิดเป็นไฟลามลุกโพรง ถึงกระนั้นกงจักรดาบยังโฉบฉิ่วเฉียดหลิวหงเหินไปครึ่งเชียะ ก่อนจะบินวนกลับคืนสู่อุ้งมือนาง
แม่นางอาภรณ์เหลืองเคลื่อนไหวกายอันแช่มช้อย ตั้งกระบวนท่าขว้างดาบโค้งวาววับเหนือหน้าอก
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของนางวาวโรจณ์ สอดรับกับเงาสะท้อนจากดาบที่ส่องต้องแสงเดือนเปล่งประกาย บนตัวดาบยังมีมีทับทิมอาถรรพ์เรืองรองสีส้มอมแดงเจิดจ้า
นางเปล่งประกายโชคิช่วง งามสง่า ประหนึ่งเทวีจันทราลงมาโปรด…..