“เช็กความพร้อมด้วยนะ เก้าโมงทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย แล้ว...น้องดาวล่ะ” พลอยทับทิมถือโน๊ตจดบันทึกรายการของรีสอร์ต มายืนคุมงานอยู่ด้านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เพื่อสำรวจและสั่งการพนักงาน ก่อนจะพาลูกค้าออกทริปไปดำน้ำดูปะการังตามเกาะแก่งต่างๆ
“คุณดาวลงเรือไปแล้ว ยกอาหารมื้อกลางวันไปเตรียมให้ลูกค้า
เธอหันมองเรือที่จอดอยู่ ก็เห็นว่ามีลำหนึ่งแล่นออกไปจากท่าพอดี หญิงสาวผลุบตาต่ำด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยปากถามลูกน้องอีกครั้ง
“น้องดาวรู้หรือยังว่าวันนี้เราเปลี่ยนเรือ เพราะว่าลำเดิมคุณข่านจะใช้งาน เรือยอชต์คุณข่านเสีย ยังซ่อมไม่เสร็จ”
“แย่แล้ว!!” พนักงานคนนั้นมองหน้าพลอยทับทิม แล้วรีบลุกไปเกาะระเบียงไม้ มองตะลึงลำเรือที่ลอยลำออกจากฝั่ง คนอื่นๆ ก็วางมือจากงานแล้วสมทบตามมาดูด้วย
“ยังไม่มีใครแจ้งคุณดาวเลยครับ เพราะคุณข่านเองก็เพิ่งบอกเมื่อเช้านี้ มัวแต่ยุ่งเรื่องเตรียมของ คุณดาวลงมาจากห้อง ก็เข้าครัวยกอาหารขึ้นเรือไปเลยครับ” พนักงานอีกคนรายงานพลอยทับทิม
ในขณะที่สายตาทุกคู่ยังคงต้องมองไปยังฝืนน้ำสีเขียวอมฟ้า ที่เรือเจ้าปัญหากำลังแล่นเข้าสู่กลุ่มหมอกควันหนาทึบ
“วิทยุไปบอกคุณข่านเร็วเข้า คุณข่านคงยังไม่รู้ว่าน้องดาวติดเรือไปด้วย” พลอยทับทิมออกคำสั่งน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ตายจริง...คุณข่านไปล่องเรือทีหนึ่งอย่างน้อยก็อาทิตย์หนึ่ง หรือไม่ก็เป็นเดือนๆ ถ้าไม่รีบติดต่อไปมีหวังคุณดาวซวยแน่ๆ ค่ะ” ป้านัน แม่บ้านของโรงแรมก็เข้ามาสมทบ ลุ้นระทึกกับเขาด้วย
ในขณะที่พนักงานชายรีบตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แล้วประสานงานไปยังห้องควบคุม
“แยกย้ายกันไปทำงานกันก่อน อย่าให้เสียงาน” เจ้าของรีสอร์ตสาวหันมองรอบๆ แล้วบอกกับลูกน้อง เพราะทุกคนออกันมายืนล้อมรอฟังบทสรุปจนละทิ้งหน้าที่ของตัวเองกันหมด เมื่อเจ้านายออกคำสั่ง ต่างก็แยกย้ายกันไปตามระเบียบ
“โชค...ต่อสายโทรศัพท์ถึงคุณข่านให้ฉันหน่อย เผื่อจะยังมีสัญญาณ” เจ้าหล่อนเอามือกุมขมับแล้วใช้นิ้วนวดคลึงเบาๆ ถอนหายใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น
“โทรฯ ไม่ติดเลยครับคุณทับทิม”
“อืมๆ เดี๋ยวรอนายภาสวิทยุหาก็แล้วกัน ว่าจะยังไง”
“ข่านไปไหน...เมื่อกี้ฉันยังเห็นเดินอยู่แถวนี้นี่” เสียงแหลมปรี๊ดเอ่ยถามมาแต่ไกล ทุกคนที่กำลังวุ่นวายหันมองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะพลอยทับทิมที่หลับตาลง แล้วเลียริมฝีปากด้วยความเอือมระอา
“ป้านัน ไปบอกให้ไข่มุกกับต้นอ้อจัดการดูแลลูกค้าในทริปนี้แทนดาวไปก่อนนะ ฉันปวดหัวมาก จะไปนอนพักเสียหน่อย” พลอยทับทิมยื่นสมุดโน้ตในมือให้ป้านันรับเอาไป แล้วหันหลังให้ทันที
“เดี๋ยว! ถามไม่ได้ยินหรือไงทับทิม ข่านไปไหน เขาบอกจะไปล่องเรือ...กับฉัน” ประโยคหลังน้ำเสียงไม่ใคร่จะมั่นคงนัก แววตามองเหวี่ยงจิกมองพลอยทับทิมที่หันกลับมาด้วยความเกรี้ยวกราด
“คุณข่านออกเรือไปแล้ว”
“ไม่จริง ก็คุณข่านบอกว่า...”
“ไม่เชื่อแล้วจะมาถามทำไม น่ารำคาญ คิดดูให้ดีว่าเขาอยากพาเธอไปด้วยจริงๆ ไหม หรือใช้ความมั่นหน้าคิดเองเออเองอยู่คนเดียว” “อีทับทิม!” หญิงสาวในชุดสายเดี่ยวกระโปรงยาว เป็นผ้ามัดย้อมสีฟ้าสลับขาวยกมือชี้หน้าทับทิม ดวงตาจ้องเขม็ง
“อินณดา! เก็บมือของสวยๆ ของเธอไว้ทาเล็บดีกว่าไหม ถ้ายังกระตุกมักง่ายไม่เลือกที่ล่ะก็ ระวังจะไม่ได้นั่งเรือกลับฝั่ง”
“ทำไม...แกจะทำอะไรได้ หือ...ขนาดฉันแย่งข่านมาจากแก ที่เฝ้ารักเขาข้างเดียวมาเป็นสิบปี แกยังไม่มีปัญญาทำอะไรเลย” แม้ปากจะโต้ตอบปาวๆ กระนั้นอินณดาก็ยังหดมือกลับ แต่ก็ยังแบะปากใส่ จิกตามองไม่เลิกรา
“ก็จับยัดใส่โลงลอยไปยังไงล่ะ ออ...ข่านน่ะ เขาก็เหมือนผู้ชายทั่วไปนั่นแหละ กินทิ้งกินขว้าง แต่เขาก็รู้นะว่าอะไรควรกินแล้วโยนให้หมามันแทะต่อ อะไรควรเก็บไว้กินตลอดชีวิต” พลอยทับทิมตอกกลับจนบรรดาพนักงานโรงแรมที่ง่วนอยู่กับการเตรียมของลงเรือก้มหน้าหัวเราะกันคิกคัก
“อี!!”
“ยังไม่หยุดอีกนะอีผีหอยแครง อยากตามข่านก็ว่ายน้ำตามไปโน่น อย่ามาเต้นเร่าๆ ปล่อยกลิ่นแถวนี้! ถ้าที่บ้านเธอไม่เคยสอนเรื่องมารยาท ก็เจียดเงินที่ซื้อถุงยางมาให้ผู้ชายไปซื้อหนังสือคุณสมบัติผู้หญิงดีๆ ต้มกินซะบ้าง” แล้วพลอยทับทิมก็หันหลัง เร่งฝีเท้าจากไป ปล่อยให้อินณดายืนกำมือแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธจัด
โดยมีพนักงานก้มหน้าก้มตากลั้นหัวเราะกันอยู่เป็นกลุ่มๆ
“งานทำไม่มีกันเหรออีพวกขี้ข้า นายพวกแกจ้างให้มามองหน้าฉันหรือไง!” แล้วเธอก็กระทืบเท้าจากไปอีกคน อุตส่าห์วางแผนไว้ดิบดีแท้ๆ ขนาดออกแรงลอบเข้าไปในเรือเพื่อจัดการกับวิทยุสื่อสารเพื่อให้เธอกับเขาได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองตลอดทริป สุดท้ายก็เสียเปล่า
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นพร้อมๆ การเคลื่อนไหวโคลงเคลง ทำให้หญิงสาวรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ทุกอย่างยังไม่เรียบร้อย และลูกค้าทุกคนก็ยังไม่ได้ลงเรือมาสักคน ประตูสโตร์ถูกปิดล็อกจากด้านนอกโดยฝีมือใครก็ไม่รู้ ดาวพรายดิ้นรนหาทางออก แต่ดูเหมือนจะอับจนหนทางเสียแล้ว
“ช่วยด้วย! ใครอยู่ข้างนอก ช่วยเปิดประตูที!!” เธอทั้งทุบ ถีบ ตะโกน ทว่า...ดูเหมือนทุกอย่างจะว่างเปล่า เรือแล่นเร็วเกินไป ทำให้แรงลมกลบเสียงขอความช่วยเหลือของเธอหมดสิ้น
“มันเกิดอะไรขึ้น หรือพี่ภาสกับพี่โชคลองเรือ มันก็ไม่น่าใช่นะ...จะมาลองเรืออะไรเอาตอนนี้ จวนจะได้เวลาแล้วแท้ๆ” เธอทรุดกายนั่งลงพื้น แหงนศีรษะพิงฝาผนังด้วยความอ่อนใจ
เปล่าประโยชน์ที่จะดิ้นรน เธอคงต้องรอให้ใครก็ตามที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้ามา จึงจะได้รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเรือถึงออกจากท่าก่อนเวลา ทั้งๆ ที่ของที่ต้องใช้ในทริปตลอดทั้งวัน สำหรับลูกค้า และพนักงานก็ยังนำลงมาไม่หมด
เธอไม่แน่ใจว่าบนเรือในตอนนี้จะมีคนอยู่กี่คน ที่รู้ๆ มันไม่ได้เป็นไปตามแพลนของทางรีสอร์ตแน่นอน
เรือลำนี้เป็นเรือนำเที่ยวธรรมดา แต่ดัดแปลงให้เหมาะกับการใช้งาน บรรจุผู้โดยสารได้ไม่เกินสามสิบคน ด้านบนส่วนหลังเป็นห้องโดยสาร เปิดโล่ง มีเก้าอี้ตัวยาววางเรียงสองฝั่ง ล้อมรอบด้วยราวระเบียง
ด้านล่างส่วนหน้าเป็นลานโล่งๆ ไว้ยืนชมวิว และด้านหลังเป็นห้องโถงสำหรับผู้โดยสารที่อยากพักผ่อนสบายๆ ในห้องแอร์ มีทีวี และเครื่องอำนวยความสะดวกบริการ มีห้องสโตร์เล็กๆ สำหรับเก็บอุปกรณ์และอาหารเครื่องดื่ม
ส่วนห้องควบคุมของเรืออยู่ด้านหน้าของชั้นบน รอบๆ ห้องควบคุมมีทางเดินวน และบันไดลงสู่ชั้นล่าง ในห้องนี้สามารถมองเห็นลานชั้นล่าง และทิวทัศน์รอบๆ ตัวเรือชัดเจน มีเตียงนอน และชุดโซฟาสำหรับพักผ่อน รวมถึงเครื่องอำนวยความสะดวกเช่น ตู้เย็น กระติกน้ำร้อน เป็นต้น
“วิทยุเป็นอะไรวะ...” ชายหนุ่มเช็กวิทยุสื่อสาร ซึ่งมีสัญญาณการติดต่อแต่กลับไม่สามารถจับสัญญาณได้ชัดเจน หน้าจอแสดงผมก็กะพริบผิดปกติ เขาวางมือจากเครื่องที่เรียกกันว่า มดดำ ความถี่ 27 MHz. แล้วหยิบไมค์มือถือจากอีกสองเครื่องขึ้นมา ปรากฏว่าลักษณะอาการเป็นแบบเดียวกัน
ปกติในเรือจะมีวิทยุสามเครื่อง สำรองไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งมดดำ มดขาว และ HF เป็นไปไม่ได้ว่าทั้งสามเครื่องจะมีปัญหาทีเดียวพร้อมๆ กัน
“ใครมันเล่นตลกอะไร” เตศวรขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความฉงน ใครกันที่จงใจทำให้เขาตัดขาดจากโลกภายนอก ตัวเขาเองไม่ได้เช็กความพร้อม ก็ด้วยหน้าที่นี้มีคนดูแลเรือจัดการอยู่แล้ว หากมีอะไรผิดพลาด เหตุใดพวกนั้นถึงไม่บอกเขา
แต่ไม่ใช่ปัญหา...ขอให้เครื่องเรือดี น้ำมันพร้อม มีเข็มทิศและ GPS เขาก็สามารถเดินเรือได้อย่างสบาย ด้วยชำนาญน่านน้ำในแถบอ่าวไทยจนเรียกได้ว่า หลับตาขับ เรือลำนี้ก็ยังไม่ออกนอกเส้นทาง
ชายหนุ่มเป่าปากไม่สบอารมณ์ แต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนใจ ยังคงเดินหน้านำพาเรือออกสู่โลกกว้างแห่งอ่าวไทย...
มื้อเช้าของชายหนุ่มมีเพียงกาแฟและฮอทดอกราดซอสมะเขือเทศง่ายๆ ที่แม่บ้านทำติดตัวมาให้ ส่วนมื้อกลางวันก็เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาไม่ได้รีบร้อนในทริปผจญภัยนี้ เพียงแค่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการสิงอยู่ในเกาะ และเขาก็ไม่ใช่คนประเทศชอบโลกแห่งความศรีวิไลเสียด้วย
ครั้นจะให้ไปเดินห้าง นั่งร้านหรู ห้อมล้อมไปด้วยแสงสีเสียงมันก็ไม่ใช่แนวทางสักเท่าไหร่
เขารักธรรมชาติ ชอบความเป็นสันโดษ และหลงใหลในการผจญภัยทางทะเลเป็นที่สุด ด้วยภาระงานอันหนักอึ้ง แม้จะมีอาซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของพ่อที่เสียไปคอยเป็นเบื้องหน้าคอยจัดการให้ แต่เขาก็ยังต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ดี
การล่องเรือและใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางท้องทะเลแบบนี้ ถือเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุดสำหรับเขา
สภาพอากาศในช่วงนี้ก็ช่างเอื้ออำนวย บรรดาชาวต่างชาติจากอีกซีกโลกถึงได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาท่องเที่ยวอย่างหนาตา ยิ่งหน้าไฮซีซั่นด้วยแล้ว บรรดาชายหาด เกาะแก่งดังๆ ในไทยต่างเป็นที่นิยม ซึ่งเกาะหมอก หากเป็นเกาะที่เปิดต้อนรับผู้คนจากภายนอกเข้ามาโดยไม่มีข้อจำกัด เขาก็เชื่อว่าป่านนี้คงไม่มีพื้นที่ให้ยืนกันแล้ว
ช่วงบ่าย เขาจอดเรือลอยอยู่ใกล้ๆ เกาะกระ ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่เกาะรัง เป็นจุดที่น้ำตื้น และน้ำทะเลใสมากจนมองเห็นวัฏจักรใต้น้ำทะเลสีเขียวมรกตได้ชัดเจน
หมู่เกาะรังตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างเช่นเดียวกับเกาะหมอก มีขนาดเล็ก ไม่มีที่ราบพอสำหรับคนพักอาศัย และยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกหลายเกาะด้วยกัน รวมถึงเกาะกระที่เขาจอดพักเรืออยู่นี้
โดยปกติจะมีเรือนำเที่ยวของบริษัททัวร์และโรงแรมมาแวะเวียนกันพานักท่องเที่ยวมาดำน้ำ ชมความงามของธรรมชาติใต้ท้องทะเล ที่มีความลึกไม่มากนัก
ทั้งนี้ ตรงจุดสำคัญจะมีเจ้าหน้าที่ของทางอุทยานคอยดูแล เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิด และการรุกล้ำเขตหวงห้าม
ชายหนุ่มดับเครื่องเรือ แล้วเดินลงไปยังลานด้านล่าง ยืนเกาะราวระเบียงสูบบุหรี่อยู่ชั่วครู่ ก็จำได้ว่าในสโตร์มีของสดสำหรับทำปิ้งย่างอยู่ ซึ่งคนดูแลเรือนำมาแช่ไว้ให้ในตู้แช่ตั้งแต่เช้ามืด
ดินเนอร์มื้อนี้เขาจะย่างบาบีคิวรับประทาน หลังจากนั้นค่อยนอนมองดูดาว แล้วจิบเครื่องดื่มไปพลาง
เมื่อนึกได้ดังนั้นก็รีบตรงไปที่สโตร์ทันที เมื่อเช้าประตูมันเปิดอ้าอยู่ คงเป็นคนงานที่เอาของสดมาเก็บแล้วลืมปิด
ชายหนุ่มเอื้อมมือเปิดห้องสโตร์ แต่แล้ว...เขาก็ต้องตาค้าง อุทานไม่เป็นศัพท์...
“เฮ้ย!!”
“คุณข่าน!” ร่างเล็กลุกยืนรวดเร็ว ตกใจไม่แพ้ชายหนุ่มที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา
“เธอมาอยู่นี่ได้ไง...ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แล้วทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ หายไปไหนกันหมด” เธอถามกลับ เท้าถอยหลังครูด สีหน้าและแววตาเคร่งขรึมของเขา บ่งบอกถึงความไม่พอใจรุนแรง เดิมที...เขาก็อคติกับเธอตั้งแต่แรกพบอยู่แล้ว
“เธอใช่ไหมที่ทำลายวิทยุสื่อสารเรือ...คิดจะทำบ้าอะไร”
“วิทยุ...ฉันไม่รู้เรื่องนะ ฉันลงเรือมา เพราะวันนี้มีทริปพาลูกค้าไปดำน้ำ มันเป็นหน้าที่ที่ฉันต้องคอยตามดูแล”
“แต่ไม่ใช่เรือลำนี้!”
“ปกติก็ใช้ลำนี้ทุกครั้งนี่คะ”
“ยังจะเถียงอีก...ไม่มีใครบอกเธอหรือไง”
“ไม่...ไม่มี...” ดาวพรายหลุบตาต่ำ ไม่คิดว่าจะมีการเปลี่ยนเรือกะทันหัน ก็เมื่อวานประชุมกันแล้วเป็นดิบดี
“ทีนี้รู้แล้วก็ออกไปซะ!” เขาขยับ แล้วชี้มือไปด้านนอก หญิงสาวมองตามแล้วอ้าปากค้าง
“คุณจะบ้าเหรอ จะไปที่ไหน ยังไง นี่มันกลางทะเลอ่าวไทยนะ”
“ไม่ใช่ธุระของฉันนี่...ใครขอให้เธอมาด้วย ใครอยากอยู่บนเรือลำนี้กับเธอ” ชายหนุ่มกล่าวหน้าตาเฉย และจริงจัง
“คุณกลับไปส่งฉันได้ไหม หรือไม่ก็...ไปแวะที่ไหนสักแห่ง แล้วติดต่อคนที่เกาะให้มารับ” ดาวพรายเสนอทางออก มองเขาด้วยแววตาตระหนกปนเว้าวอน
“ไม่...” เสียงห้าวทุมเน้นย้ำชัดเจน แล้วก้าวเท้าเข้าไปกระชากร่างเล็กออกจากสโตร์
“ว้าย! คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ” ดาวพรายถลาไปตามแรงลากจูง ล้มลุกคลุกคลานแต่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กระทั่งเขาผลักให้ยืนติดระเบียง
“ไปซะ ดาวพราย...ฉันรู้ว่าเธอมาที่เกาะหมอกเพราะอะไร”
“...” เด็กสาวเบิกตาตะลึง แล้วก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วพึมพำกับตัวเอง “ร้ายกาจเหมือนที่พ่อบอกไว้จริงๆ”
“ฉันบอกให้ไปให้พ้น!”
“ฉัน...” ยังไม่ทันได้ปริปาก เตศวรก็เข้าถึงตัวเธอเสียแล้ว ดาวพรายกรีดร้องเสียงหลง ในขณะที่ร่างของเธอถูกจับโยนลงน้ำทะเลสีสวยเบื้องล่าง
“เกาะหมอกไม่ต้อนรับเธอ ดาวพราว จำไว้ด้วย ถ้าไม่อยากเจ็บตัวกว่านี้”
“ช่วย! ช่วยด้วย!” หญิงสาวพยายามพุ่งตัวควานหาอากาศหายใจ ทั้งมือทั้งเท้าตะกายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด เตศวรกลับยืนแสยะยิ้มเกาะระเบียงมองไม่ยี่หระ
“ว่ายน้ำขึ้นฝั่งไปซะ มีเรือนำเที่ยวผ่านมาก็ไปกับเขา” แต่วันนี้ดาวพรายคงไม่มีโอกาสนั้น เพราะหากเลยบ่ายแก่ๆ เรือก็คงกลับเข้าฝั่งหมดแล้ว เพื่อนำนักท่องเที่ยวกลับที่พักให้ทันก่อนพลบค่ำ จะมีก็คงแต่เรือประมง ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะผ่านมาเห็นหรือไม่
“ช่วย!!” เป็นเสียงสุดท้ายที่หญิงสาวเปล่งออกมาสุดกำลัง ก่อนที่เธอจะค่อยๆ จมลงไป มือยังตะกาย ดวงตาเหลือกลาน ฟองอากาศลอยพุ่งออกจากปากและจมูกของเธอ จากนั้นทุกอย่างก็เข้าสู่ความสงบ
เพราะน้ำทะเลใสแววเหมือนกระจก ดังนั้นเตศวรจึงยังเห็นร่างของดาวพรายที่กำลังดิ่งลึกลงไปทุกที ทำให้เขาเอะใจบางอย่าง...
“อย่าบอกนะว่าว่ายน้ำไม่เป็น!”
เท่าทันความคิด...ชายหนุ่มเหวี่ยงตัวกระโดดข้ามรั้วระเบียงที่เพิ่งโยนดาวพรายลงไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ตามเธอไป น้ำทะเลแตกกระจายเมื่อร่างใหญ่กระทบผืนนที ไม่รอช้า...เขาดำน้ำแหวกว่ายเข้าหาหญิงสาวที่หมดสติ ลอยเคว้งดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง
เตศวรคว่าเธอเอาไว้ได้ก็รีบพาขึ้นจากน้ำไปบนเรือ
“ดาว...ดาวพราย! ดาวพราย” ชายหนุ่มตบแก้มขาวซีดเบาๆ แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงไม่รอช้ารีบทำการปฐมพยาบาล โดยการผายปอด สลับกับปั้มหัวใจ
ร่างนิ่งสงบของดาวพรายกระตุกไปตามแรงกดเป็นจังหวะ เตศวรสบถไม่เป็นศัพท์กับเรื่องร้ายที่คาดไม่ถึง เขาเหนื่อยหอบไปกับการออกแรงยื้อชีวิตของดาวพรายจากเงื้อมมือมัจจุราช...
แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่า...ตัวเขาเองหรือเปล่าที่เป็นจอมนรกผู้พรากวิญญาณเธอไปจากอ้อมกอดโลกมนุษย์
“อื้อ!!” ดาวพรายเริ่มได้สติ เธอสำลักน้ำแล้วพลิกตัวไอแรงๆ หลายครั้ง
“ดาว...ไม่ตายแล้วนี่” เขาทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ใช้มือค้ำพลางหายใจหอบจนในคอแหบแห้ง มองดูร่างเล็กที่เริ่มทุเลาและนอนหายใจระทวยเหมือนจะสิ้นลม
“เธอมาทำงานบนเรือได้ยังไง...ว่ายน้ำก็ไม่เป็น!” พูดจบเขาก็ลุกเดินจากไป
ดาวพรายน้ำตาริน ใจของเธอยังเต้นระทึก เสียวปลาบไปถึงปลายเท้าปลายมือ เมื่อนึกถึงวินาทีแห่งความกลัวเกินขีดจำกัดกำลังกัดกร่อนจิตวิญญาณให้เกือบหลุดปลิวสาบสูญ
เธอเหมือนตายไปแล้ว...
และบางทีก็คิดว่า...ตายเสียได้คงดีกว่าอยู่ โลกนี้มันไม่ได้เหมาะกับเธอเลย
“มึงมันเกิดมาเป็นภาระ เป็นตัวซวย ไสหัวไปตายซะทีอีเด็กเวร!” เสียงของพ่อดังก้องสะท้อนใจ คำนั้นคุ้นเคยและคุ้นหูเสมอ
หากถามว่าสิ่งที่เตศวรทำเธอเจ็บไหม ก็คงเป็นความเจ็บชนิดหนึ่ง แต่มันไม่ถึงสักครึ่งกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญจากคนในครอบครัว จึงชินชา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่กลัวกับความโหดร้ายจากเขา