สองสัปดาห์หลังจากนั้น...ดาวพรายก็ไม่ได้พบเห็นเจ้าของเกาะหนุ่มอีกเลย พลอยทับทิมเป็นคนสอนงานให้เธอด้วยตัวเอง ซึ่งก็ไม่ได้เกินความสามารถ เนื่องจากตอนสมัยเรียน เธอก็ฝึกงานด้านนี้มาแล้ว แต่ก็ต้องปรับตัว ปรับวิธีการทำงานเป็นการใหญ่เหมือนกัน เพราะ ณ จุดนี้เธอได้ทำงานจริงๆ แล้วอย่างเต็มตัว ในตำแหน่งพนักงานบริการทั่วไป
เนื่องจากเป็นรีสอร์ตไม่ใหญ่นัก ลูกค้าก็มีจำกัด ดังนั้นพนักงานจึงไม่ได้มีมากมาย บริหารงานเป็นระบบครอบครัว ทุกคนต้องรู้งาน หรือรู้ว่าต้องแก้ปัญหาอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
ทั้งนี้ดาวพรายได้มีโอกาสออกภาคสนามด้วย เป็นการพาลูกค้าล่องเรือไปชมทัศนียภาพภายนอก ตามเกาะต่างๆ และดำน้ำดูปะการัง ซึ่งเป็นทริปเสริมที่ทางรีสอร์ตมีไว้บริการนักท่องเที่ยว ยามว่างก็มีกิจกรรมนันทนาการกับชาวบ้านบ้าง พนักงานบ้าง
เธอสนิทกับผู้คนบนเกาะมากขึ้น จึงได้รู้เกาะแห่งนี้มีบ้านอยู่ไม่ถึงร้อยหลังคาเรือนด้วยซ้ำ และบ้านเรือนเหล่านั้นก็ปลูกอยู่บนพื้นที่ของข่าน หรือเตศวร ธรรมพิทักษ์ พวกเขาไม่ได้มีสิทธิ์ขาดโดยชอบธรรมแต่อย่างใด
ในสมัยก่อน เกาะหมอกถือได้ว่าเป็นเกาะร้าง ด้วยทัศนียภาพที่เป็นหมอกควันหนาทึบบดบัง โดยรอบ มีแต่ชาวเรือที่รู้จัก แต่ก็หวาดกลัวว่าจะมีอาถรรพ์ จึงไม่มีใครกล้ารุกล้ำเข้ามาเหมือนเกาะอื่นๆ
แต่เมื่อปู่ทวดของเตศวรซึ่งเป็นเจ้าของบ่อพลอยในจังหวัดจันทบุรีมาพบเข้า ก็เกิดถูกใจ และเข้ามาถือกรรมสิทธิ์สร้างบ้านพักตากอากาศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เพราะเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วที่ดินสามารถจับจองกันได้โดยอิสระ และหลังจากนั้นรุ่นต่อๆ มาแจ้งกับทางการให้เข้ามาสำรวจ เพื่อดำเนินการเรื่องเอกสารให้ถูกต้องตามกระบวนการ
จากบ้านพักชั่วคราว ก็กลายเป็นบ้านที่อยู่อาศัยถาวร เมื่อตกทอดรุ่นสู่รุ่น และได้มีการพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวในสังคมชั้นสูงทั้งในและต่างประเทศ
กาลก่อน...ได้เกิดพายุถล่มเกาะขนาดเล็กแห่งหนึ่งในหมู่เกาะช้าง ผู้คนบนเกาะนั้นไร้ที่อยู่อาศัย ไร้ที่พักพิง พ่อปู่ทวดของเตศวรจึงอนุญาตให้ชาวบ้านย้ายเข้ามาอยู่ในเกาะหมอกได้ แต่ไม่แบ่งขาย จะให้เช่า หรือยกให้เป็นกรณีไป
ชาวบ้านสามารถปลูกบ้านอยู่จนชั่วลูกชั่วหลาน แต่เมื่อใดครอบครัวของเขาต้องการที่ดินคืน จะต้องคืนกลับให้ทันที โดยจะมีการจ่ายค่าชดเชยให้ตามความเหมาะสม
พวกชาวบ้านหาเลี้ยงชีพด้วยการทำประมง ปลูกผัก นอกจากนี้ยังมีงานที่บ้านเจ้าของเกาะให้ผลัดเปลี่ยนกันทำ ลูกใครหลานใครได้เรียนหนังสือ พอจะมีความรู้ก็ได้เข้าทำงานที่รีสอร์ตในตำแหน่งต่างๆ ถือได้ว่าเป็นเกาะที่รายล้อมไปด้วยความเป็นกันเอง และอบอุ่น...
“ทำไมเราไม่พานักท่องเที่ยวไปฝั่งโน้นของเกาะบ้างคะป้านัน ไม่มีที่ให้เที่ยวเหรอคะ เห็นออกเรือทุกทีก็ไปแต่เกาะหวาย เกาะขาม เกาะหมอก ฝั่งนั้น” ดาวพรายหยิบบาบีคิวหมูเข้าปากไปพลาง ถามป้าแม่บ้านของโรงแรมไปพลาง ในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับปาร์ตี้เล็กๆ ของพนักงาน
“คุณดาว...อย่าพูดเชียวค่ะ ไม่ดี” ป้านันขยิบตา สีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาทันที
“อ้าว...ทำไมคะป้า” เธอชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ให้พอได้แก้เครียดแก้เบื่อฆ่าเวลา
“ปกติเราเดินเรือเส้นทางเดียวนั้นมาแต่โบราณแล้วค่ะ ไม่มีใครไปทางทิศใต้นั้นหรอก มันมีแต่หินโสโครก คลื่นก็แรง ประเดี๋ยวเรือก็อัปปางเอาค่ะ”
“อ๋อค่ะ...” เธอพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังสังเกตได้ถึงความผิดปกของป้านัน ท่าทีเลิ่กลั่กมองซ้ายมองขวากระตุ้นความอยากรู้ได้เป็นอย่างดี แต่เธอก็ฉลาดพอจะไม่ซักไซ้ไล่เลียง เพราะมั่นใจว่าป้านันไม่ยอมปริปากง่ายๆ เป็นแน่
แต่ไม่เป็นไร...เพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“คุณดาวรีบขึ้นไปนอนเถอะ พรุ่งนี้มีทริปออกเรือแต่เช้า เดี๋ยวจะตื่นไม่ไหวเอานะคะ ป้าก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน” ป้านันรีบตัดบท แล้วลุกขึ้นยืนปัดเศษทรายออกจากกระโปรงหยาบๆ ยังคงยิ้มแย้มกับดาวพรายพลางเชื้อเชิญ
“ก็ว่าจะขึ้นไปนอนเหมือนกันค่ะป้านัน แต่เดี๋ยวขอไปเดินเล่นชายหาดสักหน่อย คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงสวยเชียว ดวงก็เต็มท้องฟ้าเลย” เธอกอดเข่า เงยหน้าสนทนากับป้านัน
สาวใหญ่แม่บ้านของโรงแรมพยักหน้า แล้วก็เดินจากไป ท่ามกลางเพื่อนพนักงานอีกหกเจ็ดคนที่ยังคงปิ้งย่างอาหารทะเล ดื่มกินเคล้าเสียงเพลงเบาๆ รื่นเริงกันตามประสา
ดาวพรายลุกตามบ้าง เธอดึงผ้าคลุมไหล่ห่อตัวแน่นกว่าเดิม แม้คืนนี้ลมทะเลจะไม่ได้พัดแรงนัก แต่อากาศในยามค่ำคืนก็ยังเย็นยะเยือกจับใจ เธอเดินออกจากซุ้มไม้ที่นั่งสังสรรค์กันอยู่ หวังไปเดินดูดาวเคล้าเสียงคลื่นให้สบายใจก่อนเข้านอน
“คุณดาว จะไปไหนครับนั่น...”
“อ๋อ...ดาวจะไปเดินเล่นที่ชายหาดค่ะพี่โชค สักแป๊บก็จะขึ้นไปนอนแล้วค่ะ” เธอหยุดก้าวเดิน แล้วหันไปตอบคนถาม
“ให้ใครไปเป็นเพื่อนดีกว่าไหมครับ กลางคืนแบบนี้คุณดาวไม่กลัวเหรอ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ดาวไม่ได้ไปไกลจนข้ามเกาะเสียหน่อย ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวนี่คะ”
“กลางคืนสัตว์มีพิษมันเยอะครับที่นี่ ลิงก็มี...คุณดาวอย่าเดินเลยโขดหินใหญ่ตรงนั้นไปนะครับ ยิ่งดึกๆ แบบนี้ เดี๋ยวจะมีอันตรายเอาได้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความเป็นห่วง
ดาวพรายก็รับปากรับคำเป็นอย่างดี เธอไม่เคยได้มีโอกาสมาเดินเล่น เพราะตั้งแต่มาถึงที่นี่ ก็มีวันแรกนั่นแหละที่ได้พัก หลังจากนั้นเธอต้องปรับตัวและเรียนรู้งานทุกอย่างให้เร็วที่สุด คืนนี้จึงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกที่ได้สำรวจหาดมายา หาดสีขาวเหมือนดาวประดับบนผืนดินแห่งเกาะหมอก
เสียงคลื่นสาดกระทบผืนทรายเป็นช่วงๆ แสงพระจันทร์นวลส่องกระทบผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ราวกำลังบอกกล่าวเล่าขานสู่กันฟัง นอกจากน้ำทะเลสวย เป็นเกาะลับแลแสนมหัศจรรย์แล้ว ท้องฟ้าในยามค่ำคืนก็งดงามพริบพราว ดั่งกับเป็นเกาะที่เทวเทพเสกสรรปั้นขึ้นมา ปรุงแต่งด้วยธรรมชาติอันวิจิตรพิสดารไร้ที่ติ
“สถานที่สวยๆ แบบนี้ ไม่น่ามีเจ้าของใจทมิฬหินชาติเลย น่าเสียดายจริงๆ” เธอกัดฟันกล่าวเสียงเบากว่าเสียงลม คงได้ยินแต่ตนเองเพียงผู้เดียว ความรู้สึกอันปลอดโปร่งปลิวหาย ความลุ่มหลงในทิวทัศน์ยามราตรีดับสูญในพริบตานั้น เมื่อเธอสำนึกได้ว่า...
ดินแดนลับแลแห่งนี้...อันตรายเสียยิ่งกว่าในนรกโลกันตร์เสียอีก
“นั่นใครน่ะ...” เงาดำไหววูบทำให้สติของหญิงสาวชะงัก เสียงเตือนของพนักงานชายเมื่อสักครู่ดังก้องอยู่ในหัวเตือนย้ำ เธอมองตรงโขดหินใหญ่ซึ่งทอดยาวลงไปถึงในทะเลแล้วเดินถอยหลังสองสามเก้าอย่างระแวดระวัง
ดาวพรายขมวดคิ้วครุ่นคิด มั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดไปเองแน่นอน เมื่อสักครู่มีเงาดำยืนแอบอยู่ในน้ำ ด้านหลังหินก้อนใหญ่นั้น และแม้ไม่ใช่คนเชื่อเรื่องลี้ลับไร้เหตุผลประกอบ แต่ก็คำนึงถึงความไม่ปลอดภัย จึงตัดสินใจหันหลังแล้วเดินเร็วกลับไปยังซุ้ม ที่พนักงานคนอื่นๆ ยังนั่งดื่มกินกันอยู่
ร่างเล็กเดินจ้ำอ้าวไปสุดสายตา ความมืดสลัวพรางร่างเธอให้ค่อยๆ รางเลือนทีละน้อย เงาดำจึงเคลื่อนไหวมายืนอยู่จุดเดิม มือกำแน่นพาดพิงก้อนหินโสโครก แล้วมองนิ่งไปตามการเคลื่อนไหวของดาวพราย
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ เตือนแล้วไม่ฟัง ก็อย่าว่าไม่เตือนละกัน”
หญิงสาวไม่ได้ปริปากเล่าให้ใครฟังเรื่องในคืนนั้น เธอนั่งทำสติอยู่กับเหล่าพนักงานที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ครู่หนึ่งแล้วจึงขอตัวขึ้นไปนอน ทิ้งปริศนาที่ได้ประสบพบเจอ ให้จมอยู่กับความเคลือบแคลงในใจอย่างนั้น...