บทที่ 9 อารามร้าง

1379 คำ
สองวันให้หลัง รถม้าจากจวนสกุลเผิงมาจอดรอหน้าประตูใหญ่จวนสกุลหลัวตามคำกล่าวอ้างของเผิงฟานเยว่ เซียงฉินกวาดสายตามองรอบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวขาเหยียบแท่นไม้ขึ้นห้องรถม้า อาชาสีน้ำตาลเข้มสาวเท้ารัวเร็ว ห้อตะบึงไปยังจุดหมายปลายทาง บริเวณเขตบ้านเรือนที่มีหินกรวดและดินทรายประปราย รถม้าแล่นไปอย่างราบรื่น ทว่าพอผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ ๆ รถม้าที่สงบนิ่งมายาวนานก็พลันวูบไหว ร่างบางในชุดกระโปรงสีชมพูกลีบกุหลาบโอนเอนไปมากระแทกกับผนังห้องรถม้า แม้แต่ถ้วยและกาน้ำชาที่ตั้งวางบนโต๊ะไม้เตี้ยยังล้มระเนระนาดเสียสมดุล ความแปลกประหลาดเกาะกุมจิตใจ เซียงฉินเลิกม่านหน้าต่าง สอดตามองออกไปในฉับพลันนั้น แล้วก็เป็นอย่างที่คาดคิด วิวทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางยามนี้เป็นป่าทึบ มีต้นไม้สูงเรียงรายเต็มไปหมด ความคิดหวาดหวั่นนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในใจ สัญชาตญาณอันแรงกล้า บอกว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่! เซียงฉินพยายามไล่เรียงเหตุการณ์อย่างละเอียด จิงชิงเคยเล่าว่า จวนสกุลเผิงที่ยามนี้มิได้ร่ำรวยมากนัก เป็นเพราะว่าเคยตกอับไร้ทรัพย์สิน นายใหญ่เผิงถูกกล่าวหาว่าเป็นบุคคลอันตราย ประพฤติการณ์ฉ้อฉล กระทำการทุจริตร่วมมือกับเสนาบดีริบเบี้ยหลวงในกรมคลัง ตอนนั้นกฎหมายบ้านเมืองเข้มงวด นายใหญ่เผิงถูกประหารที่ลานประลอง ภายหลังสกุลเผิงได้รับความบริสุทธิ์คืนกลับ ฮ่องเต้รู้สึกผิดจึงประทานบ้านเรือนและทรัพย์สินบางส่วนคืนให้ แน่แล้วว่าจวนสกุลเผิงตั้งอยู่ในเขตชุมชน หาได้อยู่ในป่ารกครึ้มเช่นนี้ หรือว่า…นี่จะเป็นโจรที่ล่อลวงเรามาฆ่า? ดวงตาคู่งามของเซียงฉินเบิกโพลง อดหนาวเหน็บกับการคาดการณ์ของตนเองมิได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ยามนี้คงมีเพียงตัวข้าที่พึ่งพาได้ เซียงฉินใช้มือตีหน้าตัวเองสองสามที พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงให้สงบนิ่ง พลางสอดส่ายสายตามองรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ห้องรถม้าของจวนสกุลเผิงมีขนาดกว้างขวาง ด้านในมีโต๊ะกับตั่งอย่างละตัว บนพื้นปูด้วยเสื่อสาน มือเล็กของเซียงฉินกำขอบโต๊ะไม้เตี้ยแน่น ยามนี้อาวุธที่ใกล้ตัวที่สุดไม่มีสิ่งอื่นใดเหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว เพลารถม้าค่อย ๆ ชะลอตัวและจอดในที่สุด เซียงฉินอยู่ในท่าชันเข่า แผ่นหลังพิงขอบหน้าต่าง สองมือดึงโต๊ะไม้เข้ามาประชิดตัว ถึงแม้ท่าทางจะไม่ค่อยสำรวมและน่ามองเท่าไรนัก แต่ผู้ใดจะสนเล่า ยามนี้แค่เอาชีวิตรอดออกไปให้ได้ก็พอแล้ว “ถึงแล้วขอรับ” คนขับรถม้าตะโกนเข้ามา เซียงฉินนิ่งงันไร้สุ้มเสียงครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ใช้มือหนึ่งเลิกม่านลูกปัดผินหน้ามองออกไป ข้างนอกไม่มีป่าแล้ว หากแต่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยคุ้นตา “คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ?” เสียงตะโกนเข้มทุ้มถามลอยเข้ามาอีกเป็นระลอกที่สอง เซียงฉินสะดุ้งเฮือกไปชั่วอึดใจ เอ่ยตอบเสียงอึกอักกลับไปว่า “ขะ ข้าไม่เป็นไร” ครั้นพอเห็นว่าชายคนขับรถม้าไม่มีท่าทีมุ่งร้าย นางจึงค่อย ๆ หย่อนปลายเท้าเหยียบแท่นไม้ ก้าวขาลงมาจากห้องรถม้า “คุณหนูเผิงสั่งให้ข้าน้อยมาส่งนายหญิงที่นี่ขอรับ” ชายคนขับรถม้าหลุบตามองต่ำ เอ่ยด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม เซียงฉินสังเกตเห็นว่า ชายขับรถม้าที่สวมชุดบ่าวชายธรรมดา สีหน้าและแววตาดูไม่เหมือนโจรเลยแม้แต่น้อย ลักษณะท่าทางดูอ่อนน้อมไม่น่าเกรงขาม จนถึงป่านนี้เขาก็ยังก้มหน้างุด ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตานางเสียด้วยซ้ำ “แล้วเผิงฟานเยว่เล่าอยู่ที่ใด อยู่ในอารามข้าง ๆ นี้นะหรือ?” นางมองและถามเขาด้วยความเคลือบแคลงสงสัย “ขอรับ” เขาตอบเพียงสั้น ๆ โค้งกายคำนับจนต่ำ ก่อนจะหมุนกายเดินกลับออกไป เสียงสะบัดแส้ฟาดหลังม้าดังก้อง ตามมาด้วยเสียงร้องลากยาวของเดรัจฉาน ไม่ทันได้เอ่ยยั้ง รถม้าก็ควบทะยานออกไปแล้ว เซียงฉินอับจนหนทาง จึงตัดสินใจเข้าไปรอสหายในอาราม ทันทีที่เท้าสัมผัสกับอีกฟากฝั่งหนึ่งของพื้นอาราม ความเวิ้งว้างว่างเปล่าก็พลันปรากฏเข้าสู่สายตา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ร้าง ตามเสาและกำแพงผุกร่อน มีหยากไย่แขวนตัวระโยงระยาง บนพื้นเกลื่อนกลาดด้วยเศษใบไม้ดอกไม้แห้งกรอบ ยามสายลมอ่อนพัดมาวูบหนึ่งก็ปลิวขึ้น มองไกล ๆ ดูเหมือนผีเสื้อใบไม้ ชั่วขณะหนึ่งก็ร่วงตกลงมาอย่างหมดแรง เซียงฉินเดินช้า ๆ ดวงตาพิจารณาทั่วทุกมุมของอารามแห่งนี้อย่างละเอียด จากร่องรอยของสถาปัตยกรรมและเทวรูปต่าง ๆ ที่นี่คงเป็นอารามเก่าที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน น่าเศร้าใจ ยามนี้แม้แต่หลวงจีนหรือแม่ชีสักคนก็ยังไม่มี สถานศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้คนดูแลจึงรกร้าง รอวันเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา เสียงอีกาที่หลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ส่งเสียงร้องดังเป็นระลอก บรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความเงียบสงัดและอึมครึม คล้ายเมฆหมอกมืดครึ้มปกคลุมทั้งที่มีแสงสว่างกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า ความรู้สึกของนางเป็นเช่นนั้น… นางรู้สึกหนาว เพียงเพราะต้องสายลมเอื่อยเฉื่อย เป็นความหนาวเย็นเสียดกระดูกอย่างหาสาเหตุมิได้ ความเย็นนั้นลอยอ้อยอิ่งรอบตัว สองมือพลันจับลูบแขนทั้งสองข้าง ขนอ่อนพร้อมใจกันตั้งชันอย่างยั้งไม่อยู่ อะไรกันความรู้สึกเช่นนี้…น่ากลัวเกินไปแล้ว ลูกตาดำของเซียงฉินกลอกไปมากวาดมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว พยายามข่มใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ข้ากำลังคิดมากไปเอง อีกประเดี๋ยวฟานเยว่ก็คงจะมา แต่กระนั้นก็ไม่เข้าใจอยู่ดี นางนัดพบข้าในสถานที่เช่นนี้ แท้ที่จริงมีจุดประสงค์อันใดกันแน่… ขณะสติสัมปชัญญะกำลังหลุดลอยไปไกล ประตูใหญ่หน้าอารามก็มีเสียงโครมครามดังขึ้น! ยามนั้นเองนางหันขวับมอง หางตาชำเลืองเห็นเงาร่างสีดำกำลังดึงประตูปิดและลงกลอนอย่างรวดเร็ว นางรีบวิ่งไปที่หน้าประตู จึงได้รู้ว่า… ยามนี้ได้ถูกกักขังเข้าแล้ว! “เจ้าเป็นใคร? เปิดเดี๋ยวนี้นะ! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!!!!” เซียงฉินใช้กำปั้นมือทุบไปที่ประตู ร้องตะโกนเสียงดัง ทว่าอีกฟากฝั่งไร้สุ้มเสียง นางร้องขอความช่วยเหลือจนเสียงแหบแห้ง เมื่อรู้ว่าไม่เป็นผล จึงสอดส่ายสายตามองหาหนทางใหม่ แล้วก็พบกับท่อนไม้บาง ๆ วางอยู่ นางคว้ามาและใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีทุบไปที่กลอนประตูหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ประตูก็ไม่มีท่าทีที่จะพังลงแม้แต่น้อย นางเขวี้ยงไม้ทิ้ง เปลี่ยนจากทุบตีประตู เป็นปีนป่ายกำแพงหนีออกไปแทน บันไดไม้เก่า ๆ ที่สูงเพียงสี่ขั้นถูกพาดอย่างมั่นคงตรงข้างกำแพง เซียงฉินเหยียบไปถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วจึงเขย่งปลายเท้า สองมือกวัดแกว่งไปมา พยายามจับคว้าขอบกำแพงด้านบนสุดให้จนได้ ทว่ากำแพงที่รายล้อมรอบอารามนั้นสูงเกินไป แม้ร่างจะเล็กบางก็ยังทรงตัวไม่อยู่ ร่วงหล่นกระแทกพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น นางรู้สึกว่าตนเองกำลังอับจนหนทางแล้ว จู่ ๆ ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงทรุดลงกับพื้นด้วยความสลดทดท้อ น้ำอุ่นร้อนเอ่อคลอขอบตาอย่างยั้งไม่อยู่ สวรรค์! รถชนตายว่าอนาถแล้ว ยังจะให้ข้าต้องมาอดตายอยู่ในวัดร้างน่ากลัว ๆ อย่างนี้อีกหรือ? กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว… ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม