วันถัดมา เซียงฉินออกมาตามนัด ทันทีที่รถม้าสกุลหลัวถึงที่หมายปลายทาง นางก็รีบถกชายกระโปรงสีชมพูอ่อน ก้มตัวลงมาจากห้องรถม้า กวาดสายตามองหาฟานเยว่ทันที
"ฟางฉี ข้าอยู่นี่!"
ฟานเยว่ยืนโบกไม้โบกมืออยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของถนน
เซียงฉินส่งยิ้มคืนกลับ จ้ำเท้าเข้าไปหานางด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ แต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้างามก็ค่อย ๆ เลือนหาย ความแปลกประหลาดเกาะกุมจิตใจอย่างยั้งไม่อยู่
ยามเมื่อทั้งสองยืนประจันหน้า ภาพคนในม่านตาก็กระจ่างชัด เซียงฉินรู้สึกเหมือนเจอฝาแฝดหรือพี่น้องที่พลัดพรากจากกันมานานนับพันปี
ฟานเยว่แต่งกายเหมือนกับนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า!
นางเกล้าผมเป็นมวยเรียบครึ่งศีรษะปักด้วยปิ่นเงินรูปดอกโบตั๋นแวววาว ผมครึ่งล่างทิ้งตัวสยายยาวถึงกลางหลัง ดวงหน้าพริ้มเพราผัดแป้งทาชาดบาง ๆ มองดูอ่อนหวานน่าทะนุถนอม เลื่อนสายตาลงมาจากคอระหง เห็นร่างแบบบางแขวนด้วยชุดกระโปรงสาบทับขวาสีพื้นเรียบชมพูอ่อน กระโปรงจีบรอบพลิ้วไหวดุจสายน้ำ ผ้าต่วนทอลายกลุ่มบุปผาที่มองเห็นจาง ๆ รองเท้าผ้าไหมสีขาวไข่มุกที่เหมือนว่าประหลาดแล้ว ถุงผ้าสีชมพูอ่อนปักลายภมรที่นางจับถือเหมือนเสียยิ่งกว่า…
หลังจากเพ่งสายตาอยู่เนิ่นนาน ก็สรุปได้ว่า ฟานเยว่แต่งกายเหมือนนางทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีส่วนไหนในร่างกายที่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
"ฟางฉี ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน เราไม่ได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นเช่นนี้กันนานแล้ว" ฟานเยว่แย้มยิ้มพูดคุยอย่างสนิทสนมเป็นปกติ ไม่ได้รู้สึกกระอักกะอ่วนใจอันใดที่แต่งกายออกมาได้คล้ายคลึงกันปานนี้
หากแต่เซียงฉิน…ไม่!
"ฟางฉี เจ้าเป็นอะไรไป" ฟานเยว่เลื่อนมือเล็กเขย่าแขนของเซียงฉินเบา ๆ จ้องมองด้วยแววตาห่วงใย
"ฮะ? " โพล่งออกมาได้คำหนึ่ง เซียงฉินก็ดึงสติกลับมาได้ รีบเอ่ยแย้งทันใด "ปะ เปล่า…ข้าไม่ได้เป็นอะไร"
"แน่ใจหรือ? " ฟานเยว่หรี่ตา กดเสียงต่ำถาม
เซียงฉินพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ นัยน์ตาสีดำกวาดมองรอบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมายิ้มและเอ่ยกับฟานเยว่ "รอช้าอยู่ไย ไปร้านเสื้อผ้าเจ้าประจำของเรากันเถิด"
"อื้ม" ถึงแม้จะไม่ปักใจเชื่อง่าย ๆ แต่ฟานเยว่ก็พยักหน้ารับคำพลางคลี่ยิ้มจาง ๆ …จางมากเสียจนมองไม่เห็นเป็นรอยยิ้ม
ร้านเสื้อผ้าเจ้าประจำที่ฟานเยว่กล่าวถึงมีนามว่า 'หรงซิ่ว' ตั้งอยู่ช่วงกลางของตลาดตะวันออก หน้าร้านมีรถม้าจอดอยู่ราว ๆ สองสามคัน แต่ละคันล้วนหรูหราสูงใหญ่กว่ารถม้าธรรมดาทั่วไปถึงสามส่วน เซียงฉินคาดเดาจากสายตา ลูกค้าของร้านนี้คงมิใช่ชาวบ้านธรรมดา จะต้องเป็นแม่นาง สตรีชนชั้นสูง ภรรยาหรือทายาทขุนนางที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตเป็นแน่
ครั้นพอก้าวขาเข้าไปในร้านก็พลันเข้าใจ ด้านในโอ่โถงกว้างขวาง ตกแต่งอย่างเรียบง่ายตามแบบฉบับวัฒนธรรมเจียงนาน ทั่วทั้งร้านล้วนก่อประกอบด้วยไม้สักราคาสูง หน้าต่างประตูฉลุลายดอกโม่หลัน ผ้าแพรพรรณในร้านจึงดูมีราคาสูงตามไปด้วย กลิ่นไม้หอมกฤษณาที่โชยกลิ่นขึ้นมาจากเครื่องพ่นกำยาน ชวนให้รู้สึกถึงความหรูหราและมีระดับ เสน่ห์ลึกลับบางอย่างดึงดูดให้คนหลงใหล ยอมควักเงินมหาศาลออกจากกระเป๋าโดยง่าย
เซียงฉินเดินสำรวจรอบหนึ่ง พบว่าในร้านมีเสื้อผ้าอาภรณ์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อตัวสั้นกับกระโปรง เสื้อคลุมผ่าหน้า เสื้อชั้นกลาง ชุดคลุมยาวหรือว่าชุดกระโปรง รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในร้านเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในยุคปัจจุบันอย่างไรอย่างนั้น
ฟานเยว่พุ่งกายไปยังหุ่นไม้ด้านหน้าสุด มองชุดกระโปรงสีสันสดใสที่กำลังเป็นกระแสนิยมอย่างมากในช่วงฤดูร้อนนี้ พลางกวักมือเรียกเซียงฉินด้วยท่าทางตื่นเต้น "ฟางฉี เจ้าว่า…ชุดนี้เหมาะกับข้าหรือไม่? "
เซียงฉินตวัดสายตามองระหว่างชุดกระโปรงสีฟ้ากับร่างแบบบางของฟานเยว่
ผ้าต่วนเงางาม ลวดลายเป็นเอกลักษณ์ เนื้อผ้าไม่บางไม่หนาจนเกินไปเหมาะสมกับสภาพอากาศ ตัดเย็บด้วยฝีเข็มละเอียดประณีตไม่มีเส้นด้ายโผล่ออกมาสักเส้น เอื้อมมือไปสัมผัสกับชายเสื้อ เพียงจับลูบเบา ๆ ก็รู้ว่า ราคาค่างวดจะต้องไม่ธรรมดา นับว่านางตาแหลมไม่น้อย
ขณะกำลังยืนพิจารณาว่าชุดนี้เหมาะสมกับฟานเยว่ดีหรือไม่ เถ้าแก่ที่เป็นหญิงชราก็เดินยิ้มเข้ามาหา กล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร "ร้านเสื้อผ้าหรงซิ่วยินดีต้อนรับคุณหนูทั้งสอง"
ถึงแม้เถ้าแก่จะเลยวัยแรกแย้มมาไกลแล้ว แต่การแต่งกายของนางก็เรียกได้ว่ากระชากวัย ชุดกระโปรงปักลายตารางนาข้าว ตัดเย็บแบบพิเศษโดยการนำเศษผ้าหลาย ๆ ชิ้นแตกต่างกันมาปะติดเป็นแนวยาว ด้วยสีสันหลากหลายและลวดลายแปลกตาโดดเด่นออกมา เซียงฉินละสายตาจากนางไม่ได้จริง ๆ
"คุณหนูช่างตาหลักแหลม ชุดกระโปรงนี้ขายดีมาก ผลิตออกมาเท่าไรก็ไม่พอ นี่ก็เหลือน้อยมากแล้ว…"
ครั้นพอได้ยินคำว่า 'เหลือน้อยมากแล้ว' ฟานเยว่ก็มีสีหน้าแตกตื่นเล็กน้อย รีบถาม "เถ้าแก่ ชุดนี้ราคาเท่าใดหรือ? "
เถ้าแก่หญิงชราก้มหน้าเอ่ยอย่างนอบน้อม "ชุดกระโปรงนี้ราคาเพียงห้าร้อยตำลึงเท่านั้น"
"หะ ห้าร้อยตำลึงหรือ…"
หลังจากรู้ราคา ใบหน้าของฟานเยว่ก็พลันเปลี่ยนเป็นสีซีดขาวราวกระดาษ นิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ
เซียงฉินสะกิดที่แขนนางเบา ๆ ยิ้มละไมกล่าว "ข้าว่าชุดกระโปรงนี่ก็เข้ากับเจ้าดี ไฉนไม่ลองซื้อสักชุดเล่า"
ฟานเยว่อ้ำอึ้งอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยตัดบทกับสนทนา "ขอบคุณเถ้าแก่ ข้ากับสหายขอลองเดินดูให้ทั่วเสียก่อน"
เถ้าแก่โค้งกายรับ ก่อนจะหมุนกายเดินออกไป เซียงฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย "ทั้งที่เจ้าดูอยากได้ชุดนั้นมากแท้ ๆ เหตุใดถึงไม่ซื้อเล่า หากหมดขึ้นมา มานั่งเสียดายทีหลัง ข้าไม่รู้ด้วยนะ…"
ฟานเยว่หลุบตาโค้งลงเศร้าสร้อย "เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้มีเงินมากมาย"
เพียงประโยคเดียว เซียงฉินก็รับรู้ถึงปัญหา ไม่ลังเลหยิบยื่นน้ำใจ "โธ่…เรื่องแค่นี้เอง ชุดนี้ข้าซื้อให้เจ้าก็ได้"
ดวงตาของฟานเยว่ทอประกาย เอ่ยถามด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ "จริงหรือ…เจ้าจะซื้อให้ข้าจริงหรือ? "
เซียงฉินส่งเสียงอื้มพลางยิ้ม จากนั้นจึงหันไปเรียกเถ้าแก่ให้ออกใบเสร็จลงนามของนาง
ระหว่างรอจ่ายเงิน สายตากระจ่างคมกริบของเซียงฉินก็พลันเหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเยื้องย่างเข้ามา ฟานเยว่ที่พูดพร่ำไม่หยุดเมื่อครู่ กลายเป็นคนเบื้อใบ้ สงบเสงี่ยมในทันที
พวกนางเป็นบุตรสาวของขุนนางฐานะมั่งคั่ง คนตรงกลางโดดเด่นมาแต่ไกล ชุดกระโปรงสีฟ้าผ้าโปร่ง ตัดเย็บจากวัสดุเนื้อดี ลักษณะเหมือนกับชุดในหุ่นที่ฟานเยว่สนใจไม่มีผิดเพี้ยน นางมีนามว่า 'ไป่ซูหลิง' บุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีขั้นสาม คนทางซ้ายและขวาที่ยืนขนาบข้าง เป็นบุตรของขุนนางในวังหลวงขั้นห้าและหกตามลำดับ พวกนางคือ 'กัวเจียงเซิน' และ 'หยางหลี่หวน' ชุดสีขาวสะอาดตายามเมื่อประกบกับสีฟ้าตรงกลางดูหมดสง่าราศี คนชุดฟ้าเปล่งประกายโดดเด้งออกมา หากจะบอกว่าพวกนางเป็นบ่าวรับใช้ของไป่ซูหลิงก็ไม่เถียง
"หลัวฟางฉี เผิงฟานเยว่…พวกเจ้าก็มาเลือกดูเสื้อผ้าเหมือนกันหรือ? " ซูหลิงคลี่ยิ้มเอ่ย หากแต่ดวงตาแข็งทื่อ ไม่ยิ้มตาม
หลี่หวนเอ่ยแทรกขึ้นมา "ก็แค่คนตกอับสองคน ซูหลิง…เจ้าอย่าไปพูดคุยกับพวกนางให้เสียเวลาเลย"
เจียงเซินเอ่ยเสริม "ใช่ ๆ ๆ ซูหลิงเจ้าไม่ควรลดตัวลงมาแปดเปื้อน"
เซียงฉินได้ยินอย่างนั้น รู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า สองมือข้างกายกำแน่น เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด
ตกอับหรือ?
ฮึ! ชาติตระกูลของพวกเจ้าเทียบกับสกุลหลัวของข้าไม่ได้แม้แต่น้อย!!!
ก่อนกาล บรรพบุรุษของบิดาดำรงตำแหน่งสูงส่งในราชสำนัก มีอำนาจและเงินทอง…เป็นขุนนางขั้นหนึ่ง เป็นแม่ทัพยิ่งใหญ่ ช่วยปฐมกษัตริย์สร้างชาติ ความดีอันใหญ่หลวงสร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล จนเป็นที่นับหน้าถือตาจวบจนถึงทุกวันนี้ ส่วนมารดาถึงแม้จะเป็นหม้ายภายหลัง แต่ก็เติบใหญ่มาจากตระกูลผู้รากมากดี ทรัพย์สินเงินทองที่ส่งต่อมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น ชาตินี้ใช้อย่างไรก็ไม่หมด…
ตระกูลพวกนางเพิ่งจะร่ำรวยขึ้นมาได้ไม่นาน สกุลไป่ที่ได้ดีล้วนมาจากการประจบสอพลอทั้งสิ้น คนในวังย่อมรู้ ใต้เท้าไป่ไร้ประโยชน์ ทำงานกินเบี้ยหวัดไปวัน ๆ พอบิดามียศตำแหน่ง ซูหลิงก็ทะนงตัว คิดว่าตัวเองสูงส่งดั่งหงส์ แท้ที่จริงเป็นแค่ห่านที่ลืมตัว พอเห็นว่าฟางฉีคนเก่าอ่อนแอกว่า ก็เข้ามาข่มขวัญ คิดว่าจะดูถูกใครก็ได้อย่างนั้นหรือ!
"คนที่ตกอับคือพวกเจ้า หาใช่ข้า"
สิ้นเสียงเอ่ย ดวงตาหลายคู่ก็พลันเบิกโพลง แม้แต่ฟานเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นยังยืนตะลึงลาน ตั้งแต่คบหาเป็นสหายมายาวนาน นางเพิ่งเคยเห็นฟางฉีโต้ตอบกลับก็ยามนี้
"นี่เจ้า! กล้าดีอย่างไรมาพูดจาเหยียดหยามสหายซูหลิงของข้า" เจียงเซินออกหน้ารับแทน
หลี่หวนรีบสำทับ "ใช่ ๆ ปล่อยไว้ไม่ได้ อย่างนี้ต้องถูกสั่งสอนเสียให้รู้แล้วรู้รอด"
พูดจบนางก็พลันเหวี่ยงแขนไปด้านหลังจนเอวบิดเบี้ยว ทำท่าทางคล้ายจะสะบัดมือตบหน้าเซียงฉิน ทว่าซูหลิงคว้าแขนนางเอาไว้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง
"หลัวฟางฉี ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าดูปากเก่งขึ้นตั้งเยอะ"
เซียงฉินทำท่าทางล้อเลียนสีหน้าของซูหลิง ขยับริมฝีปากช้า ๆ เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ "ไป่ซูหลิง…ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าก็ยังปากสุนัขไม่เปลี่ยนไปเลย"
วาจาของนางทำให้โทสะในใจของซูหลิงพุ่งพรวดขึ้นมาจนใบหน้าแดงก่ำ เพราะเล่นงิ้วใส่หน้ากากจอมปลอมอยู่เป็นประจำ ยามกะทันหันจึงไม่รู้ว่าควรแสดงท่าทีเช่นไร ได้แต่ยืนหอบหายใจหนักหน่วงอยู่อย่างนั้น
เว้นเพียงแต่หลี่หวนลูกหาบ ที่ฟังเช่นนั้นแล้วก็อดทนไม่ไหว พุ่งตัวเข้าใส่เซียงฉิน หวังจะสั่งสอนให้หลาบจำกันไปข้าง
แต่แล้วก็ต้องคิดผิด ฟางฉีคนใหม่กระโจนใส่อีกฝ่ายไม่ยั้ง กระชากคอจิกหัวกันไปมา ราวกับว่าศึกอิสตรีครั้งนี้ตายเป็นตาย แววตาแข็งกร้าวที่จับจ้องอีกฝ่ายไม่มีความเกรงกลัวปรากฏฉายเลยแม้แต่น้อย
"หลี่หวน พอได้แล้ว" เจียงเซินวิ่งเข้าไปห้ามปราม จังหวะที่นางกำลังคว้าตัวหลี่หวนรั้งเอาไว้ ฝ่ามือของเซียงฉินก็พลันฟาดไปโดนใบหน้าของหลี่หวนเต็มแรง ฝากฝังรอยแดงก่ำของนิ้วมือทั้งห้าไว้เป็นที่ระลึก!
กรี๊ดดดดด ด!!!
เซียงฉินกระตุกมุมปากยิ้ม ฟานเยว่เห็นท่าทีไม่ดีจึงรีบผลุนผลันเข้ามาลากแขนเซียงฉินออกไปจากร้านขายเสื้อผ้า
"น่าเจ็บใจนัก!" หลี่หวนสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเจียงเซิน
ซูหลิงเขม่นตาร้อนแรงมองตามสองเงาร่าง รู้สึกโกรธแค้นในใจจนแทบกระอักเลือด
"ฟางฉี เจ้าไม่น่าไปพูดจาเช่นนั้นกับไป่ซูหลิงเลย"
ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องรถม้า ฟานเยว่โพล่งเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
เซียงฉินขึงตาโต เอ่ยสวนกลับทันใด "เหตุใดข้าจะพูดไม่ได้ นางมาหาเรื่องข้าก่อน"
"แต่เจ้าก็ไม่ควร…สร้างปัญหา"
เซียงฉินสะอึกอึ้งไป ข้างหูมีแต่เสียงหึ่ง ๆ หัวสมองกลายเป็นสีขาวโพลน ไม่คาดคิดว่าถ้อยคำเหล่านี้จะหลุดออกมาจากปากของสหายโดยง่าย
ฟานเยว่เมื่อรู้ว่าตนเองพูดแรงเกินไปจึงรีบเอ่ยแก้ต่าง "ฟางฉี…ข้าขอโทษ ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าต้องเดือดร้อน"
เซียงฉินเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ตอบกระไรกลับ
ยามนี้บรรยากาศภายในห้องรถม้าคุกรุ่น เซียงฉินรู้สึกอึดอัด กระอักกระอ่วน และขุ่นเคืองใจกับวาจาที่คลุมเครือเหล่านั้นไม่น้อย
ครู่สั้น ๆ หลังจากเงียบงัน ฟานเยว่ก็พลันเอ่ยต่อด้วยดวงตาเปล่งประกาย "พอเจอหน้านาง…ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้"
"เรื่องอันใดหรือ? " เซียงฉินถามกลับ
ฟานเยว่อธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง "งานสังสรรค์ในวังถูกเลื่อนเข้ามาก่อนกำหนด เหตุเพราะองค์หญิงจำเป็นต้องเดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีต่างแคว้น"
"มีงานสังสรรค์ประเภทนั้นด้วยหรือ? " เซียงฉินมุ่นคิ้วบางถาม
"ฟางฉี เจ้าลืมไปแล้วหรือ ในทุกปีวันที่สองเดือนสิบ องค์หญิงเป่ยเล่อจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในวังหลวง เราทั้งสองเป็นทายาทขุนนางโดยตรง จึงถูกเชื้อเชิญให้เข้าไปร่วมงานทุกปี"
พอฟังนางอธิบาย ข้อสงสัยในใจของเซียงฉินก็พลันกระจ่างแจ้ง
ฟานเยว่กุมมือเซียงฉิน สองตาทอประกายระยับขณะเอ่ย "สองวันให้หลัง ข้าจะนำรถม้ามารับเจ้า หลังจากนั้นเราค่อยไปที่วังหลวงพร้อมกัน"
ถ้อยคำแกมบังคับของนางไม่ต้องการคำตอบอันใดอีก ข้อสรุปแทรกซึมอยู่ในวาจาเหล่านั้นหมดแล้ว
รถม้าแล่นไปตามทาง เสียงเอะอะค่อย ๆ เลือนหายไป เซียงฉินหลับตาลงช้า ๆ พลางครุ่นคิด การอยู่กับฝูงคนหมู่มากคงรู้สึกประหม่า สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว หากไปพร้อมกันกับนางคงจะดีกว่าไม่น้อย…