“เจ้าว่าอย่างไรนะฟางฉี…เจ้าประกาศต่อหน้าทุกคนในงานเลี้ยงสังสรรค์ว่าสกุลหลัว ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับสกุลเผิงอีกอย่างนั้นหรือ?”
สายตาสี่คู่จับจ้องมาที่เซียงฉิน ทั้งมารดา พี่ชายและพี่สาว ทุกคนล้วนคาดคั้นคำตอบจากนางเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงเมื่อวันก่อน
นอกจากพี่สาวอย่างหลัวฟางจูแล้ว นางยังมีพี่ชายคนโตอย่าง ‘หลัวฟางฉู่’ และพี่ชายคนรองอย่าง ‘หลัวฟางฉิน’
หลัวฟางฉู่เป็นแม่ทัพหนุ่มเจ้าสำราญ หูตาแพรวพราวนิสัยเจ้าชู้ ทุกครั้งที่ออกรบ มักจะมีหญิงงามติดมือกลับจวนมาเสมอ แต่กระนั้นก็ยังไม่คิดลงหลักปักฐานกับผู้ใด แม้แต่เผิงฟานเยว่ก็เป็นหนึ่งเหยื่อในนั้น
หลัวฟางฉิน…ขุนนางหนุ่มเลือดร้อนไฟแรง เพิ่งสอบติดจอหงวนได้หมาด ๆ เข้ารับราชการเป็นขุนนางในราชสำนัก เรื่องสตรีไม่ยุ่งเกี่ยว วัน ๆ เข้าออกแต่โรงเตี๊ยม ร่ำสุราแทนน้ำ เมามายหัวชนฝา
พี่ชายทั้งสองล้วนมีใบหน้ารูปงาม เรือนร่างสูงโปร่งแขนยาวขายาว จากที่นางเคยเห็นภาพร่างวาดของบิดาในห้องนอน ก็พบว่าเค้าโครงหน้าของสามหนุ่มพ่อลูกแทบไม่ต่างกันจริง ๆ บิดาตอนหนุ่มหล่อเหลาไร้ที่ติ ด้วยอุปนิสัยที่ว่าจิตใจมั่นคงและรักครอบครัวทำให้นางรู้สึกเลื่อมใสและเคารพบิดายิ่ง ครั้งหนึ่งมารดาเคยเล่าว่า ครั้งแรกที่เห็นพี่ใหญ่สวมชุดเกราะเดินมาหา นางปล่อยโฮออกมาทันที ส่วนพี่รอง ถึงแม้จะไม่เดินตามรอยผู้ใด แต่ก็เป็นคนซื่อตรงและรักคุณธรรม สิ่งนี้จะนำพาเขาประสบความสำเร็จในชีวิต…นางหวังเช่นนั้น
“ใช่! ข้าพูดออกไปเอง” เซียงฉินตอบกลับไปสั้น ๆ ใบหน้าโฉมสะคราญนิ่งเฉยเหลือประมาณ
ทุกคนต่างเอามือกุมขมับกันพร้อมเพรียง โดยเฉพาะฮูหยินหลัวที่ทรุดตัวเซซวน หลัวฟางจูโถมตัวเข้าไปประคองมารดาได้ทัน นางจึงนั่งพักบนเก้าอี้ตั่งนุ่ม มือหนึ่งจับพัดกลมโบกไปมาเบา ๆ ขณะรอฟังบุตรสาวพูดต่ออย่างใจจดจ่อ
“ฟางฉี ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้” หลัวฟางฉินกอดอกเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง
หลัวฟางฉู่เอ่ยเสริมขึ้นว่า “ใช่! น้องฉี…ข้าว่าเรื่องนี้เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว”
เซียงฉินกะพริบตามอง พี่รองไม่อยากให้น้องสาวมีปัญหา เรื่องนั้นพอเข้าใจได้ แต่สำหรับพี่ใหญ่แล้ว หากไม่ใช่เพราะข้ามีเรื่องกับเผิงฟานเยว่หญิงสาวในความลับ เขาก็คงไม่เดือดดาลถึงเพียงนี้
“ฟานเยว่ไม่สนใจท่านพี่หรอก นางสนใจแต่คุณชายจิ้งโน่น! ท่านพี่ก็แค่โดนมารยาหญิงของนางครอบงำเท่านั้น”
ครั้นพอเอ่ยถึงคุณชายจิ้ง นางก็อดทอดถอนใจขึ้นมาเสียมิได้
หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงสังสรรค์วันนั้น เซียงฉินก็ไม่รีรอถามถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทันที คุณชายจิ้งคือใคร อยู่แห่งหนใด เกี่ยวข้องกับนางหรือไม่ อย่างไร…จิงชิงตอบว่า คุณชายจิ้งเป็นคู่หมั้นหมายของนาง เป็นบุตรชายของอัครเสนาบดี ทั้งรูปหล่อและเก่งกาจติดอันดับต้น ๆ ของแคว้นต้าเว่ย หญิงสาวรุมแย่งกัน ถึงขั้นประชดประชันฆ่าตัวตาย สกุลหยวนบันไดไม่เคยแห้ง
วันหนึ่งนางเจอเขาที่ศาลต้าหลี่โดยบังเอิญ แล้วก็พบว่าคำกล่าวอ้างเหล่านั้นเป็นความจริง คุณชายจิ้งรูปโฉมงามหมดจด ทว่าทำหน้าเศร้าสร้อย ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาหรือกล่าวคำทักทาย นางรู้สึกผิดต่อเขา ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด รู้สึกเห็นใจและสงสารกับความมั่นคงในรักแต่ไม่สุขสมหวัง สิ่งที่ทำได้ยามนั้นคือเดินหนีออกมา ให้จิตใจทั้งเขาและนางกระทบกระเทือนน้อยที่สุด
“นะ น้องฉี…นี่เจ้าพูดอะไรออกมา ต่อหน้าท่านแม่…” ดวงตาของหลัวฟางฉู่ขยายเบิกกว้าง ทอประกายวูบ ไม่คาดคิดว่าน้องสาวจะเปิดโปงความลับนี้
“ก็ข้าพูดจริงนี่!” เซียงฉินยื่นปากเอ่ย มีสีหน้าหน่ายระอา
หลัวฟางฉู่ส่ายสายตาไปมาอย่างร้อนใจ เอ่ยตัดพ้อ “ละ แล้วจิ้งหยวนเหอไปเกี่ยวข้องอันใดกับนาง ข้ากลายเป็นคนโง่เขลาไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
หลัวฟางจูเห็นทีว่าเรื่องราวจะวุ่นวายไปกันใหญ่ จึงวกกลับเข้าไปเอ่ยเรื่องเดิม “น้องฉี…เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไรกันแน่ เดิมทีสกุลเผิงเหมือนกับญาติพี่น้อง เราผูกสัมพันธ์กันมานาน เจ้าประกาศไปเช่นนั้น ไตร่ตรองดีแล้วหรือ?”
เซียงฉินเอ่ยเล่าอย่างละเอียด “ที่ราชอุทยานต้องห้ามจินหมิง ข้าไม่ต่างอะไรจากตัวตลก ถูกหยามเกียรติและศักดิ์ศรี ลับหลังเผิงฟานเยว่ว่าร้าย ดูแคลนข้าต่อหน้าสกุลอื่น ยิ่งนางสนิทสนมกับสกุลหลัวมากเพียงใด ก็ยิ่งเป็นภัยกับสกุลหลัวมากเท่านั้น…พอฟังเช่นนี้แล้ว พวกท่านยังคิดว่าข้าทำสิ่งไม่ถูกควรอีกหรือไม่?”
ยามเมื่อความจริงส่วนที่สงสัยถูกเปิดเผย ทุกคนก็ไม่กล้าเอ่ยต่อว่าอันใดเซียงฉินอีก หากแต่รู้สึกเจ็บปวดใจแทน แม้แต่หลัวฟางฉินที่แอบมีสัมพันธ์ลับ ๆ กับเผิงฟานเยว่ยังพลอยรู้สึกโกรธแค้นไปด้วย
ฮูหยินกระเด้งตัว เหยียดกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินสาวเท้าเข้าไปหาและปลอบบุตรสาว “ฟางฉี…เจ้าทำถูกแล้ว ปกป้องตนเองกับสกุลหลัว เป็นเรื่องที่ถูกควรอย่างยิ่ง”
หลัวฟางจูผ่อนลมหายใจพลางส่ายศีรษะ “ไม่อยากเชื่อเลยว่า นางจะเป็นคนร้ายกาจเช่นนี้”
หลัวฟางฉินที่ทนฟังอยู่เนิ่นนาน กัดฟันแน่นจนคิ้วตากระตุก ไม่อาจข่มกั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยวเอาไว้ได้อีก
“ข้าจะเล่นงานสกุลเผิงเสียให้รู้แล้วรู้รอด!” ตวาดคำหนึ่ง หลัวฟางฉินก็เดินอาด ๆ ออกไป ทว่ามือหนึ่งของเซียงฉินคว้าตัวพี่ชายเอาไว้ก่อน เอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงตื่นลน
“พี่รองใจเย็นลงก่อน!”
หลัวฟางฉินสะบัดแขนออก พลันหันมาตอบด้วยแววตาดุดัน
“ข้าจะใจเย็นได้อย่างไร สกุลเผิงหยามเกียรติเจ้าถึงเพียงนี้!”
ฮูหยินหลัวค่อย ๆ เดินเข้าไปหาหลัวฟางฉินและยื่นมือเหี่ยวชราแตะที่ไหล่ของเขาพลางส่ายศีรษะเบา ๆ แม้ไม่มีคำห้ามปรามใดเอ่ยออกมา ทว่านัยน์ตาเจือไอน้ำของมารดาที่จ้องมองบุตรชายล้วนมีคำพูดหมดแล้ว หลัวฟางฉินพลันสงบลงทันใด
ครั้นพอเห็นว่าบุตรชายใจเย็นลง นางจึงหันไปหาเซียงฉินและเอ่ยด้วยแววตารักใคร่ “ฟางฉี…ต่อไปเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี จงอย่าไว้ใจใคร จนกว่าจะแน่ใจว่าผู้นั้นเป็นคนดีจริง ๆ”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่” เซียงฉินก้มหน้าหลุบตาตอบอย่างอ่อนน้อม
สามวันให้หลัง คนที่ไม่คาดคิดว่าจะกลับมา ในที่สุดก็ยอมลดศักดิ์ศรี กลับมาทำดีกับเซียงฉินราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หากแต่คนโดนกระทำเจ็บแล้วจำ ไม่หลงโง่งมเชื่อคนร้ายกาจเช่นนั้นอีก
“ฟางฉี วันนี้ข้าลงมือเข้าครัวทำขนมเองกับมือ มีผิงกั่วเชื่อม บ๊วยสด ชาดอกเบญจมาศขาว…ของชอบเจ้าทั้งสิ้น” ฟานเยว่คลี่ยิ้ม ทำหน้าตาใสซื่อ
นัยน์ตาของเซียงฉินทั้งว่างเปล่าและเย็นชา นางใช้มือคว่ำสำรับเทขนมทุกอย่างทิ้งลงพื้นอย่างของไร้ค่า
ฟานเยว่เริ่มรู้ตัวว่าเซียงฉินกำลังโกรธ จึงตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ “ฟางฉี แท้ที่จริงแล้วพวกนั้นบังคับขู่เข็ญข้า หากไม่ทำ สกุลเผิงจะต้องเดือดร้อน”
“จิงชิง! ไปตามบ่าวคนอื่นมาลากตัวเผิงฟานเยว่ออกไป” นางตะโกนร้องเรียกบ่าวใช้
ฟานเยว่เบิกตาโตตะลึงลาน รู้สึกเหมือนมีสายลมเหมันต์พัดร่างบางจนหนาวเหน็บเสียดกระดูก
“ที่ผ่านมา ไม่เคยสำคัญกับเจ้าเลยใช่หรือไม่ ข้ายอมลดตัวลงมาเกลือกกลั้วด้วยก็ดีเพียงใดแล้ว นี่คือสิ่งที่เจ้าตอบแทนข้าอย่างนั้นหรือ!!!”
เมื่อรู้ว่าพูดจาเสียดแทงไปแล้วเซียงฉินยังนิ่งเฉย นางก็ยิ่งอาละวาดหนัก ทั้งกรีดร้อง ทั้งโวยวาย
ทันใดนั้นเองบ่าวใช้สองสามนางที่รับคำสั่ง วิ่งกรูกันเข้ามายื้อยุดฉุดกระชาก
เซียงฉินเขม่นตามองคนตรงหน้าอย่างแข็งกร้าวเย็นชา ฟานเยว่หลังจากสะบัดตัวออกจากการจับกุมได้ ก็พลันกระทืบเท้าตึงตังเดินออกไปด้วยโทสะ ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีคำขอโทษใดหลุดออกมาจากปากนางแม้แต่คำเดียว!
ทุกอย่างสงบลง เซียงฉินถอนหายใจเฮือกยาว เอนกายพิงตั่งนุ่ม ปลายตามองเงาร่างของฟานเยว่ที่ค่อย ๆ เลือนหาย พลางครุ่นคิด
สหายอย่างเจ้า ตัดเป็นตัด มีไว้ก็รังแต่จะนำภัยมาให้ข้า