วันที่สองเดือนสิบมาเยือน นอกวังหลวงผู้คนดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ทว่าในเขตพระราชฐานอุทยานหลวงต้องห้ามจินหมิงคึกคักกว่าปกติ
กลุ่มคนที่ยืนพูดคุยหัวเราะคิกคักใต้ต้นไม้ใหญ่ล้วนเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์สวมชุดหลากสี ประโคมเครื่องประดับแพรวพราว พวกนางถูกเชื้อเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เป็นประจำทุกปี แม้จะเป็นความปรารถนาดีขององค์หญิงเป่ยเล่อ กระนั้นมากคนก็ยิ่งมากความคิด บางคนมาเพื่อสานสัมพันธไมตรี บางคนมาเพื่อโอ้อวดฐานะ ลงทุนตัดชุดรอนานนับปี เพื่อวันนี้วันเดียวเท่านั้น ด้วยความคิดที่ว่าต้องงดงามที่สุด ต้องโดดเด่นและเฉิดฉาย ประโคมเครื่องประดับแพงที่สุดเท่าที่จะหามาได้
ทันทีที่เกี้ยวไม้ขององค์หญิงเคลื่อนมาถึง ทุกคนก็พลันพร้อมเพรียงกันก้มคำนับแสดงความเคารพด้วยท่วงท่านอบน้อม
ดอกไม้ในอุทยานบานสะพรั่งงดงามและสดใส ทว่าเมื่อองค์หญิงปรากฏกาย ผ้าไหมเลื่อมลายทั้งชุดที่นางสวมใส่ ก็ทำเอาดอกไม้เหล่านั้นซีดหม่นในทันที
องค์หญิงสวมชุดกระโปรงรัดอกสีชมพูปักลายดอกโบตั๋นด้วยไหมชั้นสูงสีทองทั่วทั้งชุด กระโปรงผ้าต่วนสีเข้มกว่าจับจีบยาวสยายพลิ้วไหวราวหมู่เมฆ บนบ่ามีผ้าไหมโปร่งบางสีขาวนวลคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง ขับเน้นเส้นสายให้นางดูอรชรอ้อนแอ้นคล้ายดั่งกิ่งหลิวบอบบางกลางสายลม ยามเยื้องย่าง ท่วงท่างามแฉล้มแช่มช้อยแทบสะกดวิญญาณ
แท้ที่จริงเครื่องแต่งกายขององค์หญิงหาได้แตกต่างจากวันธรรมดา ทว่าความเจิดจรัสที่พุ่งออกมา ต่างทำให้ทุกคนเบือนหน้าพากันมองตาม กะพริบตาไม่ได้เลยทีเดียว
ท่ามกลางโต๊ะอาหารตัวยาวที่คลุมด้วยผ้าไหมสีทองเหลืองอร่าม สำรับอาหารบนโต๊ะจัดวางละลานตา ส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลที่องค์หญิงพระราชทานมาให้ จานหลักคือปูสดใหม่กว่าสามสิบตัวที่ส่งจากเมืองยวี่ถงเข้ามาในเมืองนครหลวง ตัวใหญ่เนื้อแน่นชุ่มละมุนลิ้น ถูกอบจนกลายเป็นสีแดงอมทอง จัดวางกลางจานกระเบื้องขาว งดงามน่าทานอย่างยิ่ง
ตามธรรมเนียมแล้ว องค์หญิงจะต้องกล่าวเปิดงาน ตามด้วยตักชิมอาหาร ทุกคนในงานจึงจะเริ่มรับประทานอาหารของตนเองได้ ทว่าองค์หญิงเป่ยเล่อไม่ถือตัว สง่างามและเข้าถึงง่าย นางทักทายกับทุกคนอย่างเป็นมิตรไม่กี่ประโยค จากนั้นก็นั่งลงและร่วมโต๊ะอาหารทานไปพร้อม ๆ กัน
"ฟานเยว่ หวังว่าวันนี้ข้าจะไม่เห็นนาง"
บทสนทนาเล็ก ๆ เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร คนที่เจียงเซินกล่าวอ้างคือใคร ฟานเยว่ย่อมรู้ดี
หลี่หวนหันไปยิ้มกระหยิ่มกล่าวกับซูหลิง เยาะเย้ยอย่างสุขสำราญ "ป่านนี้นางคงสติกระเจิดกระเจิงไปแล้วกระมัง ซูหลิง…เจ้าวางใจได้เลย"
ซูหลิงยิ้มน้อย ๆ อยากจะหัวร่อออกมาเหลือเกิน ทว่าพยายามสงวนกิริยาและท่าทีไว้
เจียงเซินเอ่ยถามต่อด้วยท่าทางสนอกสนใจ "ฟานเยว่ เจ้าส่งนางไปขังในอารามร้างจริง ๆ หรือ…ใจกล้ายิ่งนัก"
ฟานเยว่ผงกศีรษะเบา ๆ ตอบสั้น ๆ ว่า "ใช่" ทว่าไม่ยอมเอ่ยรายละเอียดลึกลงไปอีก แต่นั่นก็ทำให้พวกนางพอใจมากแล้ว รู้สึกว่ารสชาติอาหารในจานอร่อยขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
"ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งอยากถาม" สายตาของเจียงเซินจ้องมองไปทางฟานเยว่ ประกายในดวงตาเปี่ยมด้วยความคาดหวัง
"อะไรหรือ? "
"ข้าได้ยินมาว่า หลัวฟางฉีปฏิเสธรักคุณชายจิ้ง เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือไม่?”
ฟานเยว่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยามเมื่อถูกสายตาบีบคั้นนานเข้า ในที่สุดก็ยอมเอ่ยคำพูดออกมา "เป็นเรื่องจริง…"
คำตอบของนางสร้างความฮือฮาไม่น้อย แม้แต่บุตรสาวราชครูหย่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พลันได้ยินอย่างไม่ตั้งใจ ยังหูผึ่งรีบเขยิบกายเข้ามาฟัง เจียงเซินถามซักไซ้ต่อด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น "เรื่องเป็นมาอย่างไร? ฟานเยว่…เล่ามาซิ!"
"นะ นางเคยบอกว่า คุณชายจิ้งพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่ข้าคิดว่ามิใช่ ด้วยบุคลิกเรียบง่ายของคุณชาย นางจึงรู้สึกเบื่อหน่าย”">
“แค่นั้นเองหรอกหรือ?” เจียงเซินกระตุกยิ้มหยัน แค่นเสียงในลำคอ“เฮอะ! นางคิดว่านางเป็นใครกัน เป็นเทพธิดาสูงส่งลงมาเกิดอย่างนั้นหรือ ทะนงตัวมากเกินไปกระมัง”
หลี่หวนรีบเสริม “นั่นสิ! คนยโสโอหังเช่นนั้น ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีบุรุษผู้ใดแต่งงานด้วย”
ชาตินี้ทั้งชาติ…ก็คงไม่มีบุรุษผู้ใดแต่งงานด้วยอย่างนั้นหรือ?
วาจาเสียดสีดูแคลนแปรเปลี่ยนเป็นลูกธนูนับหมื่นกระหน่ำแทงหัวใจ ด้านหลังพุ่มไม้หนึ่งไม่ไกลจากนั้น เซียงฉินที่ยืนแอบฟังอยู่เนิ่นนานรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่ง เนื้อตัวพลันสั่นเทา สองมือกำชายเสื้อคลุมแน่นจนเกิดเป็นรอยยับยู่
"คุณชายจิ้งควรเป็นคู่หมั้นของเจ้า มากกว่าที่จะเป็นคู่หมั้นของหลัวฟางฉี" ซูหลิงเอ่ยพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
ฟานเยว่ที่ไม่คาดคิดว่าจะถูกกล่าวถึงในวงสนทนา ตื่นตระหนกจนใบหน้าซีดขาวราวเต้าหู้
"อะ เอ่อ…คือ ข้า…ไม่คิดเช่นนั้น"
“อะไรกัน เจ้าจะบอกว่าสายตาของซูหลิงไม่แหลมคมอย่างนั้นหรือ?” หลี่หวนเขม่นตาถาม
ฟานเยว่โบ้ยมือพัลวัน เอ่ยปฏิเสธเสียงติดขัด “ปะ เปล่า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
“เช่นนั้น…ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าก็มีใจให้คุณชายจิ้ง ข้าเห็นเจ้าอยู่กับคุณชายที่หอสุรา นั่งปลอบใจชายช้ำรักตั้งแต่เย็นย่ำยันรุ่งสาง ความรักก็เช่นนี้ ทุกครั้งที่เห็นสหายกับคนรักอยู่ด้วยกันคงจะเจ็บปวดไม่น้อย ยามนี้ได้โอกาสแล้ว ช้าอยู่ไยเล่า ประเดี๋ยวสหายเจ้าเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เจ้าว่า…คนที่แสนดีจะไปสู้คนในใจได้อย่างนั้นหรือ…” วาจาของเจียงเซินล้วนทิ่มแทงหัวใจอันเปราะบางของฟานเยว่ จงใจบดขยี้จนแหลกสลาย สีหน้าของนางยามนี้จึงย่ำแย่อย่างยิ่ง
“เรื่องที่เจ้าทำความดีความชอบ ลงโทษนางในอารามร้าง ข้าจะบอกกับท่านพ่อทาบทามคุณชายจิ้งให้ ส่วนเจ้าก็มาเป็นสหายกับพวกข้า” ซูหลิงแค่นยิ้มเย็นอย่างผู้ที่เหนือกว่า
ฟานเยว่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แต่แล้วก็ก้มหน้าเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ “ข้า…อยากเป็นสหายกับพวกท่าน”
ใบหน้าของเซียงฉินด้านชาคล้ายดั่งมีมือข้างหนึ่งยื่นมาตบหน้าอย่างแรง ยามเมื่อรู้ว่าถูกหักหลังหัวใจพลันเจ็บร้าวเกินพรรณนา มิตรภาพระหว่างนางกับเผิงฟานเยว่ยามนี้ขาดสะบั้น ไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว!
"เรากลับกันดีหรือไม่เจ้าคะคุณหนู? " จิงชิงเอ่ยกระซิบกระซาบที่ข้างหูผู้เป็นนาย
เซียงฉินส่ายศีรษะเบา ๆ สูดลมหายใจลึกสองสามที ก่อนจะเดินย่างเท้าตรงเข้าไปในงานเลี้ยงสังสรรค์
“ขออภัยที่ข้ามาสาย”
การปรากฏกายของนางสร้างความแตกตื่นให้คนกลุ่มหนึ่ง ทว่าเซียงฉินไม่แยแส หลังจากย่อคำนับแสดงความเคารพองค์หญิงแล้ว นางก็พลันเยื้องย่างเข้าไปหาฟานเยว่และนั่งลงเคียงข้าง ยิ้มพูดคุยอย่างสนิทสนม “มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่หน้าสำนักศึกษา ข้าก็เลยมาช้า”
“ยะ อย่างนั้นหรือ…” ฟานเยว่หลบเลี่ยงสายตา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่ายอย่างตรง ๆ
“ข้าตกใจมาก กลัวว่าจะมีคนบาดเจ็บจึงได้ลงไปดู เห็นคนเล่าว่า หญิงสาวที่วิ่งตัดหน้ารถม้าเพิ่งหนีออกมาจากคุกหลวง เจ้าหน้าที่ทางการวิ่งจับนางกันให้วุ่น สภาพของนางน่าเวทนา ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าขาดวิ่น อยู่ในคุกคงทรมาณน่าดู ไม่เช่นนั้นคงจะไม่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกมาเช่นนี้ แต่ก็สาสมแล้ว ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตอบสนอง ไม่ควรได้รับการยกเว้นทั้งสิ้น!” เซียงฉินถลึงตาโตเป็นไข่ห่าน เล่าด้วยสีหน้าจริงจัง
ฟานเยว่เก้อกระดากถาม “ละ แล้วหญิงสาวผู้นั้นทำอะไรถึงได้เข้าคุกเล่า?”
“กักขัง! หน่วงเหนี่ยว! เหตุเพราะความอิจฉาริษยา” เซียงฉินกระชากเสียงดัง สบถคำด่าทอด้วยท่าทางเดือดดาลยิ่ง “ชั่ว! ชั่วได้ใจจริง ๆ หากเจ้ารู้จักผู้ใดนิสัยเลวบัดซบเช่นนี้จงบอกข้า ข้าจะส่งขังคุกเรียงตัว เอาให้เป็นบ้ากันไปข้าง!!!!”
หัวใจของคนฟังพลันกระตุกวูบ ล้วนนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก บรรยากาศปกคลุมด้วยความกระอักกระอ่วนในฉับพลันนั้น
เช่นกันกับบุตรสาวราชครูหย่งที่รีบแปรทัพ หันมาหยิบปูขนให้เซียงฉินและแย้มยิ้ม “วันนี้องค์หญิงประทานปูยวี่ถงมาให้ รสชาติหวานนัก เจ้าลองชิมดูสิ…”
ฟานเยว่พยายามหาเรื่องชวนคุย แต่แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นชุดที่นางสวมใส่ ไม่รีรอเอ่ยเยินยอ "ฟางฉี วันนี้ชุดของเจ้างดงามสะดุดตาข้ายิ่งนัก"
"ใช่ ๆ ข้าก็คิดเช่นนั้น"
"ใช่ ๆ ๆ …"
เมื่อมีคนหนึ่งเปิดประเด็นเรื่องชุดหรูหรากรุยกรายของเซียงฉิน คนอื่น ๆ ต่างก็พากันปั้นหน้าคล้อยตาม ทำเหมือนกับว่าคำติฉินทร์นินทาเมื่อครู่ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซูหลิงเห็นเช่นนั้นยิ่งรู้สึกไม่พอใจ หากแต่ทำอะไรมิได้ นอกจากมองค้อนควักด้วยดวงตาแดงก่ำ
“งั้นหรือ? เจ้าอยากได้หรือไม่ ชุดนี้ข้ายกให้เจ้าก็ได้นะ อย่างไรเสียเจ้าก็อยากได้ของของข้าทุกอย่างอยู่แล้วนี่…” เซียงฉินโค้งตา ยกมุมปากยิ้ม
ฟานเยว่ตะลึงงันไปหลายอึดใจ ทั้งอับอายทั้งเสียหน้า ท่ามกลางคนหมู่มาก นางทำได้เพียงก้มหน้างุด เก็บความขุ่นเคืองสุดแสนเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
ซูหลิงเบ้ปาก เอ่ยประชดประชัน “ฟางฉี เจ้าช่างจิตใจดียิ่ง สมแล้วที่เป็นสกุลสองพี่น้อง อีกไม่นาน ข้าคงจะได้เห็นสกุลเผิงกับสกุลหลัวเกี่ยวดองกัน"
ฮึ! เกี่ยวดองกันอย่างนั้นหรือ?
เซียงฉินผุดลุกจากที่นั่งทันใด ยืนเด่นตระหง่านเพียงลำพัง ท่ามกลางความแตกตื่น สายตาทุกคู่ที่จ้องมองมาล้วนเปี่ยมไปด้วยความงุนงงและเคลือบแคลงสงสัย ไม่ทันที่องค์หญิงจะเอ่ยปากถาม เซียงฉินก็พลันประกาศลั่น
“แต่นี้ต่อไป…สกุลหลัว ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเผิงฟานเยว่และคนอื่นใดในสกุลเผิงอีก!"