ช่วงเวลาบ่ายคล้อยของวัน หญิงสาวรูปร่างเพรียว บุคลิกคล่องแคล่วในชุดดูทะมัดทะแมงอย่างเสื้อเชิ้ตลายสก็อตช์สีฟ้าอ่อน กางเกงยีนสีดำ สวมรองเท้าบูต ผมยาวสลวยสีน้ำตาลประกายถูกถักเป็นเปียเดี่ยวง่ายๆ บนศีรษะมีหมวกสานปีกกว้าง เดินเคียงคู่มากับชายหนุ่มหล่อใบหน้าคมคาย รูปร่างสูงโปร่ง สง่างามและดูสุขุมนุ่มลึก สวมชุดเสื้อโปโลแบรนด์ดัง กางเกงสแล็กขาสั้นความยาวเท่ากับหัวเข่าพอดี รองเท้าหนังสีดำมันเงาวาบ
สนฉัตรเดินพลางหันหน้ามาหาน้องสาว “พรุ่งนี้ให้คนงานเริ่มเตรียมแปลงลงต้นกล้าเบญจมาศได้เลยนะรัญ”
หิรัญญิการ์พยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันหน้าหาพี่ชาย “จริงสิพี่สน งานแต่งของครูฟ้ารุ่งกับครูแดนบอกมาหรือยังว่าต้องการดอกไม้ชนิดไหน รัญจะได้ดูเตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบน้องสาว “ยังนะ แต่เห็นว่าอยากได้เป็นธีมสีขาวม่วง ยังไงพี่ฝากรัญช่วยดูตรงนี้ให้หน่อยแล้วกัน ขาดเหลือยังไงจะได้วางแผนกันทัน”
หน้าสวยออกไปทางหวานละมุนไร้เครื่องสำอางแต่งแต้ม ประดับด้วยริมฝีปากกระจับฉีกยิ้มแฉ่งแข่งกันแสงจ้าของดวงอาทิตย์ จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้า ดวงตากลมโตคู่สวย นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายระยับ ยกมือซ้ายขึ้นมาจรดปลายนิ้วชี้ตรงหางคิ้วข้างขวาเหมือนท่าตะเบ๊ะอย่างกวนๆ ทะเล้นๆ
“รับทราบค่ะบอส”
ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆ ยกหลังมือขึ้นเขกหน้าผากเนียนของน้องสาวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเดินขึ้นบันไดบ้านไม้ทรงไทยโบราณยกพื้นสูงหลังใหญ่ของผู้เป็นย่า ปล่อยให้น้องสาวได้แต่ยืนเอามือลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ
สนฉัตร เป็นเจ้าของร้าน ‘Love Stories Wedding Studio’ ธุรกิจห้องเสื้อและเวดดิงสตูดิโอชื่อดังของจังหวัด ให้บริการโดยทีมงานมืออาชีพแบบครบจบในร้านนี้เพียงร้านเดียว อีกทั้งเขายังเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของเจ้าของฟาร์มดอกไม้นานาชนิด ชื่อว่า ‘สวนยายลีลาวดี’ ดอกไม้ส่วนใหญ่ของทางร้านจะมาจากฟาร์มแห่งนี้ นอกเสียจากลูกค้าจะสั่งให้ใช้ดอกไม้นำเข้าจากต่างประเทศ
ในส่วนของฟาร์มดอกไม้แห่งนี้จะมี หิรัญญิการ์ เป็นผู้บริหารและคอยดูแลเสียมากกว่า เนื่องด้วยเธอเรียนจบทางด้านพฤกษศาสตร์มาโดยตรง อีกทั้งยังคลุกคลีกับฟาร์มดอกไม้ของยายลีลาวดีมาตั้งแต่เด็ก สนฉัตรจึงไว้วางใจให้เธอรับหน้าที่ตรงนี้ทันทีหลังเรียบจบกลับมาอยู่ที่บ้าน
หญิงสาวตามพี่ชายขึ้นมาบนบ้าน พอเท้าเล็กก้าวพ้นธรณีประตู แล้วต้องเบะปากคว่ำ เบือนหน้าหนีภาพสองย่าหลานกำลังกอดกันกลมอยู่โถงกลางบ้าน
“แหวะ! เหม็นความรัก”
เสียงหวานใสเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านสองย่าหลานไปยังห้องนอนของตัวเอง แสร้งหลิ่วตามองด้วยความอิจฉาตาร้อน แล้วสะบัดหน้าหนี เดินคอตั้ง หลังตรงหายเข้าไปในห้อง
นางลีลาวดีมองหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของตน หลุดหัวเราะน้อยๆ หันกลับมาเอ่ยกับหลานชาย
“ดูเอาเถอะตาสน น้องสาวเราน่ะมันเซี้ยวขนาดไหน นี่ถ้าย่ารู้ว่าโตมาแล้วจะแก่นแก้วขนาดนี้ ย่าไม่ปล่อยให้แม่เราเอาไปเลี้ยงหรอก ย่าจะเอามาอบรมสั่งสอนเอง” พูดพลางส่ายหน้าเอือมๆ อดไม่ได้ที่จะค่อนขอดลูกสะใภ้แบบไม่จริงจังนัก
สนฉัตรได้แต่หัวเราะ ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยกับผู้เป็นย่า เขาหันไปจ้องมองตามแผ่นหลังบอบบาง ผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง มารดาของเขาเฝ้าอบรมสั่งสอน เลี้ยงดูราวกับลูกแท้ๆ มาเองกับมือตั้งแต่เล็กๆ เนื่องจากมารดาและบิดาของเธอหย่าร้างกัน
มารดาของหิรัญญิการ์มีศักดิ์เป็นอา หลังจากหย่าร้างกับสามีเก่าก็ได้พบรักใหม่กับหนุ่มชาวต่างชาติ ในเวลาต่อมาได้แต่งงานใหม่ และย้ายไปอยู่ต่างประเทศตามสามีชาวต่างชาติ
ส่วนหิรัญญิการ์นั้น ย่าและมารดาของเขาได้ขอร้องเอาไว้ว่าให้อยู่ที่นี่ พวกท่านจะเลี้ยงดูเอง เพราะท่านรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากจนไม่อยากให้จากไปไหนไกล
“ให้ซนเป็นลิงทะโมนแบบนี้ก็ดีแล้วครับ หนุ่มๆ บ้านไหนจะได้ไม่กล้ามาจีบ” เขาว่าอย่างหยอกเย้าแกมคิดจริง
นางลีลาวดีมองค้อนหลานชายเชิงตำหนิกลายๆ “เราก็เป็นซะแบบนี้ แล้วเมื่อไรย่าจะมีโอกาสได้เห็นหน้าหลานเขยเหมือนลูกหลานบ้านอื่นเขาเสียที”
“ย่ารอหลานเขยจากยัยรสดีกว่านะครับ”
แพทย์หญิงรสสุคนธ์ กุมารแพทย์ พี่สาวร่วมท้องของสนฉัตร เกิดห่างจากกันเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น
นางลีลาวดีได้ยินดังนั้นก็ตีเข้าที่ท่อนแขนแกร่งของหลานชายทันทีอย่างนึกหมั่นไส้
‘เพียะ!’
ส่วนคนโดนตี ยกมือลูบแขนตัวเองเบาๆ พลางทำหน้าราวกับว่าเจ็บปวดมากเสียเต็มประดา
“ดูพูดเข้าเถอะ ประเดี๋ยวพี่สาวเรามาได้ยินเข้าแล้วจะน้อยใจที่เราเอาแต่หวงน้องสาว แต่ไม่เห็นหวงเขาบ้างเลย”
สนฉัตรไม่ได้เอ่ยตอบอะไร เพียงแค่ไหวไหล่น้อยๆ หัวเราะชอบใจ หันมาล้วงหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลออกมาวางในมือเหี่ยวย่นของนางลีลาวดี
นางลีลาวดีก้มมองถุงกระดาษหนักๆ ในมืออย่างเข้าใจ เงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ ให้หลานชาย ก่อนจะพูดต่อว่า “ตาสนเอาไปเก็บใส่บัญชีของน้องเถอะลูก ย่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายอะไร”
คำตอบของผู้เป็นย่าไม่ได้ผิดแผกไปจากที่คิด เขาจึงเก็บถุงเงินสดที่ได้จากการขายดอกไม้ในฟาร์มใส่กระเป๋าไว้ตามเดิม
จากนั้นเขาอยู่คุยกับย่าอีกสักพักก็ขอลากลับไปดูร้านที่อยู่ในตัวเมืองจังหวัดต่อ
หิรัญญิการ์หลังจากเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้วก็กลับออกมาจากห้อง ผมสลวยถูกปล่อยยาวเหยียดตรงถึงกลางหลัง ปอยผมหน้าม้าน้อยๆ ข้างหน้าคลอเคลียใบหน้าเรียวสวยรูปไข่ขับผิวขาวกระจ่างใสแบบสาวเหนือได้เป็นอย่างดี
หญิงสาวเดินมาที่โถงหน้าบ้าน เห็นแต่เพียงผู้เป็นยายกำลังนั่งถักนิตติงอยู่คนเดียว คาดว่าสนฉัตรน่าจะกลับออกไปนานแล้ว จึงเดินมาล้มตัวลงนอนบนตักผู้เป็นยาย ดวงตากลมโตแสนหนักอึ้งค่อยๆ ปิดลง
ยายลีลาวดีหลุบสายตาลงมองหลานสาวแล้วยิ้มออกมาบางๆ แล้วกลับมาให้ความสนใจกับกิจกรรมในมือต่อ ปล่อยให้หลานสาวได้นอนพักผ่อน
หญิงสาวงีบหลับไปได้ครึ่งชั่วโมงก็ต้องตื่นขึ้นมาทำงานบ้าน ทำกับข้าวเตรียมไว้ตอนเย็นเหมือนทุกๆ วัน ก่อนที่จะเดินไปยังบ้านของลุง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเธอเพียงแค่ร้อยเมตร
พอเดินเข้ามาในบ้านพลางกวาดสายตาไปหาเจ้าของบ้าน ก่อนที่มุมปากกระจับสวยยกยิ้ม ย่องเบาๆ บนปลายเท้าเข้าไปในห้องครัว แล้วยื่นหน้าเข้าไปกดจมูกลงบนแก้มนุ่มๆ
‘ฟอด!’
“ว้าย ตาเถร!”
หญิงวัยกลางคนรูปร่างสมส่วนสะดุ้งเฮือก มือข้างที่ถือตะหลิวเกือบลอยหลุดมือ พอตั้งสติได้ก็ยกมือข้างที่ว่างมาลูบหน้าอกตัวเองป้อยๆ ตวัดสายตาดุๆ ใส่ตัวต้นเหตุ
หิรัญญิการ์หัวเราะชอบอกชอบใจที่สามารถแกล้งผู้เป็นป้าได้ แล้วต้องรีบสอดแขนทั้งสองข้างเข้าไปกอดรอบเอวป้าไว้หลวมๆ เมื่อถูกสายตาพิฆาตส่งมาให้
“โอ๊ย!” เสียงหวานร้องออกมาเสียงหลง เมื่อถูกป้าตีเข้าที่หลังมือไม่เบาจนเกิดเสียงดัง ‘เพียะ!’ รีบชักมือกลับแทบไม่ทัน ได้แต่ทำเป็นส่งสายตาอ้อนๆ ให้ผู้เป็นป้าแทน
“รัญ! เดี๋ยวเถอะไอ้หลานคนนี้ เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง เกิดคนแก่หัวใจวายขึ้นมาจะทำอย่างไร” หยกมณีว่าหลานสาวเข้าให้ ก่อนหันหน้ากลับมาผัดผักในกระทะต่อ
หิรัญญิการ์ไม่ได้ดูสะทกสะท้านและสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย หมุนตัวหันหลัง ใช้สะโพกด้านหลังพิงกับขอบเคาน์เตอร์ครัว หันใบหน้าเรียวสวยระคนน่ารักมาทางป้าหยกมณีของเธอ
“ลุงผู้ใหญ่ยังไม่กลับบ้านอีกหรือจ๊ะ”
“เย็นย่ำป่านนี้แล้วยังไม่เห็นหัวเลย สงสัยคงตั้งวงก๊งเหล้ากันอยู่ที่บ้านกำนันหนุ่ยเหมือนเดิมนั่นแหละ” หยกมณีบ่นสามียกใหญ่ที่หายตัวตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาสามี ปากก็บ่น มือก็ตักแบ่งผัดผักใส่กล่องข้าวลายน่ารักกับจานไปด้วย
หิรัญญิการ์หลุดหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับคู่รักขิงก็ราข่าก็แรง เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ หยิบจานผัดผักจากมือของหยกมณีมาวางลงบนโต๊ะอาหารแล้วนำฝาชีมาครอบไว้ ก่อนจะหยิบกล่องข้าวที่ยังว่างอยู่มาตักข้าวสวยร้อนๆ หุงใหม่ๆ ใส่กล่องอย่างชำนาญ
หยกมณีจัดแจงเก็บกล่องข้าวที่ได้ตระเตรียมไว้จนครบใส่กระเป๋าถุงผ้าพร้อมกับเช็กดูความเรียบร้อยอีกครั้ง จนแน่ใจแล้วจึงยื่นให้หลานสาว
“รีบเอาข้าวไปส่งพี่รสที่โรงพยาบาลแล้วก็รีบกลับมาล่ะ อย่ามัวไปเถลไถลที่ไหน เดี๋ยวค่ำๆ ฝนมันจะตกลงมาแล้วจะขับรถกลับบ้านลำบาก” ผู้เป็นป้าเอ่ยกำชับหลานสาวด้วยความเป็นห่วง
หิรัญญิการ์ยิ้มแบบไม่เห็นฟันจนตาหยี เอื้อมมือไปรับถุงเสบียงอาหารเย็นของพี่สาวมาถือไว้เองแล้วหมุนตัวเดินออกจากบ้านไม้กึ่งปูนสองชั้น ที่ชั้นบนเป็นไม้ชั้นล่างเป็นปูน ปูทับด้วยกระเบื้องลายสวย
ปกติแล้วหากวันไหนที่รสสุคนธ์มีเข้าเวรดึก ไม่ได้กลับบ้าน ป้าของเธอจะทำกับข้าวแล้วให้เธอไปส่งให้พี่สาวที่โรงพยาบาลทุกครั้ง เป็นแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่พี่สาวย้ายกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน