EP.3
“ใช่เรื่องของฉันไหมล่ะ”
“ก็เรื่องของผมไง ไม่ใช่เรื่องของคุณ! ดังนั้นถ้าคุณจะคุยกับผม คุณก็ต้องรอจนกว่าผมจะตรวจคนไข้เสร็จ”
“ฉันจะคุยเดี๋ยวนี้ ฉันไม่รอ”
“ได้! ถ้าคุณอยากให้คนที่นี่เขารู้ว่าคุณท้องแล้วผมไม่รับ คุณก็เลยต้องมาร้องแรกแหกกระเชอให้ผมรับเป็นพ่อให้ได้ ก็ตามใจนะ”
“นี่... นี่นายหมายความว่าอะไร”
“อ้าว! ก็ที่คุณมาเนี่ย เพราะอยากให้ผมรับเป็นพ่อลูกในท้องคุณไม่ใช่เหรอ”
เสียงของคีรินทร์ที่เริ่มดังมากกว่าเสียงหล่อนทำเอาปานฤทัยหน้าเหวอ ใบหน้าสวยหันมองไปโดยรอบและก็เห็นว่าที่ด้านล่างนั้นมีชาวบ้านกำลังมองขึ้นมา
“นี่นายพูดบ้าอะไรของนาย ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
น้ำเสียงเข่นเครียดและเบาลงแทบจะเป็นกระซิบกระซาบ แม้ว่าหล่อนจะไม่รู้จักคนที่นี่และไม่อยากรู้จักสักนิด แต่หล่อนก็ไม่อยากให้ใครมองว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่มาวิ่งไล่จับผู้ชาย
“จะรอผมอยู่บนนี้หรือจะไปรอที่รถก็ตามสบายเลยนะ แต่ต้องรอจนกว่าผมจะตรวจคนไข้เสร็จ ผมถึงจะคุยธุระของคุณได้”
คีรินทร์ที่เดินเข้าไปในห้องตรวจโดยไม่สนใจหล่อนที่ยืนอึ้งทึ่งเสียวกับคำพูดของเขา ทำให้ปานฤทัยได้แต่กำมือกัดปากฮึดฮัดฟึดฟัดกับตัวเอง
“ข่มใจไว้หนูใจ ข่มใจไว้ ข่มใจไว้ งานใหญ่รออยู่”
ปานฤทัยพ่นลมออกจากปากพลางท่องยุบหนอพองหนอเพื่อระบายความร้อนในอารมณ์ออกจากร่าง หล่อนต้องยอมหมอบ้านนอกนี่ไปก่อน แต่จะยอมแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น แค่ 3 ชั่วโมง ทุกอย่างก็จะจบ และหล่อนก็มั่นใจว่าเขาต้องรับเงื่อนไขของหล่อนแน่ เพราะแฟร์ๆ ด้วยกันทั้งสองฝ่าย มีแต่คนได้ประโยชน์
“คอยดูเถอะ ฉันเชื่อว่าเงินของฉันมากพอที่จะซื้อได้ทุกอย่าง แม้แต่นาย หมอบ้านนอกเอ๊ย!”
คำพึมพำพร้อมรอยยิ้มเหยียดเมื่ออารมณ์คลายลง ดวงตาสวยจัดมองทิวทัศน์ที่เห็นจากระเบียงด้านบนของ รพ. ก็เหมือนๆ กันกับที่หล่อนเคยเห็นตามเว็บไซต์ท่องเที่ยว ภาพความเขียวขจีของป่าเขาและสังคมชนบทที่เพื่อนๆ ของหล่อนบางคนพิสมัยอยากมาท่องเที่ยวนัก ทั้งที่จะมีสักกี่คนหรือจะมีสักคนเดียวไหมที่พิสมัยชื่นชอบสถานที่แบบนี้จริง
ที่เห็นก็มีแต่ชอบแค่ปากว่าและอยากมาเช็กอินไว้โพสต์อวดคนในสังคมเดียวกันว่าเป็นพวกมีอุดมการณ์อันแรงกล้า เป็นพวกอินดี้ไม่ยึดติดกับความรวย แต่เนื้อแท้แล้วนั้น มีใครล่ะจะใช้แปรงสีฟันอันละ 10 บาท ใช้สบู่ ยาสระผม แบบตลาดพื้นๆ ที่คนหาเช้ากินค่ำเขาใช้กัน เอาแค่ครีมทาหน้า มีใครกล้าพูดว่าไม่ได้ใช้ของแบรนด์เนมบ้าง
และถ้ามีใครคิดค้านพูดเรื่องนี้ออกมา ก็จะมีอีพวกสร้างภาพออกมาพูดนิ่มๆ สไตล์ผู้ดีว่า ‘ก็ของแพงเพราะคุณภาพคุ้มค่า’
แต่หล่อนไม่พิสมัยชีวิตแบบนี้หรอกนะ หล่อนเป็นคนปากกับใจตรงกัน และไม่ชอบเลยการสร้างภาพ ในเมื่อหล่อนไม่ชอบอะไรแบบนี้ หล่อนก็ไม่คิดจะอยู่หรือพาตัวเองไปข้องแวะด้วย แค่ให้เช็กอินถ่ายภาพหล่อนก็ไม่ไหว ขออย่าได้มาเฉียดใกล้กันอีกเลยจะดีกว่า
วันนี้ที่มาก็เพราะเขากับหล่อนต้องผูกมัดกันด้วยสัญญารุ่นคุณตา สัญญาที่ใครจะคาดคิดว่าโลกยุคศิวิไลซ์ยังมีสิ่งนี้อยู่ สัญญาที่จะให้หลานสาวและหลานชายแต่งงานกัน ‘คลุมถุง’ ทั้งที่หล่อนเพิ่งจะ 5 ขวบ หล่อนไม่ยอมแน่
ปานฤทัยหันกลับมองเข้าไปยังห้องตรวจที่เจ้าของร่างสูงนั่งหันหลังให้หล่อน ดวงตากรุ่นด้วยความไม่พอใจแต่ริมฝีปากกลับยิ้มเยาะ เพราะหล่อนคาดหวังว่าการเจรจาจะสำเร็จ เงินหลักแสนบาทใครเล่าไม่อยากได้ เพราะลำพังค่าเช่าที่ดินที่นี่แต่ละปีเขาจะได้สักเท่าไรกันเชียว
เพราะที่รู้จากพ่อแม่ แม้นายหมอบ้านนอกจะมีที่ดินที่นานับร้อยไร่ แต่มูลค่ารวมกันทั้งหมดก็ยังไม่เท่ากับราคาซื้อขายคอนโดมิเนียมที่หล่อนเป็นเจ้าของสักแค่ครึ่งโครงการ ดังนั้นหล่อนเชื่อว่า ‘เงิน’ คือสิ่งที่แลกเปลี่ยนได้ทุกอย่างในโลกใบนี้ แต่ถ้านายนั่นมาแผนสูง อยากได้เงินหลักล้าน หล่อนก็อาจจะพิจารณาอีกที เพราะถ้าไม่เหลือกำลังหล่อนก็ยอมจ่าย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องข้องแวะกันอีก
ปานฤทัยขยี้ปลายจมูกอย่างหงุดหงิด รับรู้ว่ามีอะไรบางอย่างเขี่ยไปเขี่ยมา และเมื่อหล่อนหยุดขยี้ สิ่งนั้นก็กลับเข้ามาเขี่ยให้หล่อนหงุดหงิดจนทนไม่ไหว
“อึ๊ย!! อะไรเนี่ย!”
ร่างระหงลุกพรวด ใบหน้าสวยไม่พอใจจนคิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันทั้งที่ตายังหลับ ทว่าไอ้สิ่งที่เขี่ยอยู่บริเวณปลายจมูกก็ไม่ลดละ
“อึ๊ย!! อะไรกัน! อึ๊ยยยยย...”
ทันทีที่เปลือกตาเปิดขึ้น ดวงตาไม่พอใจอย่างที่สุดหันหาตัวต้นเหตุก่อนจะกลายเป็นแววฉงน เมื่อบรรยากาศรอบด้านคือสิ่งที่หล่อนไม่คุ้น โดยเฉพาะคนที่ยืนอยู่ด้านข้างรถและแยงอะไรบางอย่างเข้ามา ซึ่งหล่อนเห็นแล้วว่าเป็น ‘ดอกหญ้า’
สมองประมวลเหตุการณ์โดยเร็วพร้อมมองรอบด้านและก็เห็นว่าเส้นขอบฟ้าเป็นสีส้ม นั่นเท่ากับว่าใกล้จะค่ำแล้ว ปานฤทัยพลิกข้อมือดูนาฬิกา “หกโมงเย็น” พึมพำไม่อยากจะเชื่อ ทั้งที่ตอนหล่อนเข้ามานั่งในรถนั้นเป็นเวลาเกือบบ่ายโมง ความโมโหทำให้หล่อนเปิดประตูแล้วรีบก้าวพรวดลงมาต่อว่าเขาทันที