ครึ่งชั่วโมงต่อมา ที่คอนโด ฯ
“อือ...โฮป...”
ฉันพยายามเค้นเสียงที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเพื่อปรามการกระทำอันเอาแต่ใจของโฮป ซึ่งเกิดขึ้นเกือบห้านาทีแล้วนับตั้งแต่กลับมาถึงคอนโด ฯ
เขาไม่แม้แต่จะถามอะไรเพิ่มเติม ไม่รอให้ฉันได้อธิบายในสิ่งที่ยังค้างคาอยู่
มาถึงก็ผลักกันลงบนโซฟา เอาแต่จูบฉันเหมือนกับความคุกรุ่นบางอย่างยังติดค้างอยู่ในใจ ซึ่งทางเดียวที่เขาจะระบายมันทิ้งไปได้คือการสัมผัสฉันแบบนี้
“...ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้น” โฮปพูดขึ้นหลังจากผละริมฝีปากออกไป จากระยะห่างอันน้อยนิด ทำให้ฉันมองเห็นสีหน้าและแววตาของแฟนตัวเองได้อย่างชัดเจน
สัมผัสได้แม้กระทั่งลมหายใจที่กำลังกระชั้นกระโชกของเขา...
“นายหงุดหงิดเรื่องที่ฉันรับสายแล้วไม่พูดใช่ไหม โมโหที่ฉันปิดเครื่องหนีด้วยใช่ไหม...” ฉันไม่ได้ซื่อบื้อจนมองไม่ออกว่าที่มาของอารมณ์เชี่ยวกราดนี่มีสาเหตุมาจากอะไร เพราะงั้นจึงถามออกไปอย่างไม่ลังเล แน่นอนว่าขณะตั้งคำถาม...สองตายังคงจดจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเขาไปด้วย
“ใช่” โฮปยอมรับ น้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่าหงุดหงิดแค่ไหน “พูดให้ฉันวางใจสักคำก็ไม่ได้เหรอ จำเป็นแค่ไหนที่ต้องเงียบใส่แล้วปล่อยให้ฉันร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแบบนี้”
พื้นฐานโฮปมีนิสัยร่าเริง ขี้เล่น โกรธยาก ดังนั้นไม่บ่อยนักที่เขาจะแสดงด้านนี้ออกมาให้เห็น
น้อยครั้งจริง ๆ ที่แววตาเป็นประกายของเขาจะดำมืดและดุดันจนน่ากลัวขนาดนี้
แสดงว่าตอนอยู่หน้าโรงพัก เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพื่อรอเวลามาเคลียร์กับฉันที่นี่สินะ
ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ คอนโด ฯ แห่งนี้มักเป็นที่ที่เราสองคนใช้พูดคุยกันเสมอหลังเจอปัญหา ถึงแม้บางครั้งมันจะไปไกลเกินกว่าการพูดคุยก็ตาม
“ขอโทษ” ฉันพูดพลางยื่นมือทั้งสองข้างไปกอบกุมใบหน้าเขาไว้ “ฉันผิดจริง ๆ ที่ทำให้นายเป็นห่วง ไม่มีข้อแก้ตัวหรอก”
“...”
“ดีกันได้ไหม?”
“...”
“...นะคะ”
“...คราวหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ” ครั้นพอฉันปรับเปลี่ยนโทนเสียงมาเป็นนุ่มนวลและออดอ้อน โฮปที่เมื่อครู่นี้เดือดพล่านจนแทบระเบิดก็ถึงกับชะงัก ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอย่างยอมจำนน กับฉันน่ะ...เขาใจอ่อนให้กันเสมอ “ถ้าโฮปหัวใจวายตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบครับ หืม...”
ถามอย่างเดียวไม่พอ โฮปยังโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วกดริมฝีปากลงมาหนัก ๆ หนึ่งที จากนั้นก็เคลื่อนไปยังซอกคอ สาละวนอยู่เกือบนาทีจึงลากต่ำลงมาถึงเนินอก และ...
กระดุมเสื้อสองเม็ดบนถูกแกะออกอย่างรวดเร็วด้วยริมฝีปากของเขา
ลมหายใจฉันสะดุดทันที...
“โฮป...” สัญชาตญาณสั่งให้ฉันยกมือขึ้นยันไหล่หนา
โฮปชะงักแล้วเปลี่ยนมามองหน้าฉันตรง ๆ อย่างมีคำถาม “เราคบกันมาห้าปีแล้วนะซอว์”
“...”
“ขอ...สักครั้งไม่ได้เหรอ”
“คือ...”
แกรก...
ขณะที่เขากำลังวอนขอฉันด้วยน้ำเสียงละลายหัวใจ ประตูห้องซึ่งปิดสนิทและลงกลอนอย่างดีก็ถูกบุคคลที่สามเปิดเข้ามาราวกับรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว ทำให้ฉันและโฮปหันกลับไปมองอย่างพร้อมเพรียง
“...!” แล้วให้ตาย คนคนนั้นเป็นเกรย์เอง...
เด็กคนนั้นชะงักเท้า สายตามองมายังเราสองคนบนโซฟาในห้องรับแขกด้วยสีหน้าที่ค่อนไปทางเฉยชา ราวกับว่าชาชินจนแทบไม่รู้สึกอะไร
แต่ฉันรู้ว่าสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็นมันแตกต่างกัน
ฉันตกใจนิดหน่อย เพราะรู้ดีว่าสภาพของเราสองคนในตอนนี้ไม่ได้น่าดูเท่าไหร่ แต่โฮปไม่แสดงอาการใด ๆ เลย ยังคงคร่อมทับฉันในท่วงท่าล่อแหลม เขาทำเพียงยื่นมือมากระชับเสื้อฉันให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น
“โฮป ลุกขึ้นก่อน” ฉันกระซิบบอกร่างสูง
ถึงเกรย์จะชอบทำสีหน้าชาชินเวลาเราสองคนสวีตกัน แต่สำหรับฉัน…การถูกผู้ชายคร่อมแบบนี้มันก็น่าอาย ฉันไม่ได้หน้าด้านเหมือนโฮปนะ
“ไม่ต้องเกรงใจครับ พอดีผมเอาของมาเก็บเฉย ๆ พี่...ทำกันต่อเลย” เกรย์ยิ้ม
“โอเค งั้นไปต่อใน ‘ห้องของเรา’ กันเถอะ...” โฮปจัดการช้อนร่างฉันขึ้น ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว
แล้วก็นะ ไม่รู้ว่าหูแว่วไปเองหรือเปล่า แต่ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเหมือนฉันจะได้ยินเสียงหัวเราะหึของโฮป เป็นเสียงที่แค่นมาจากลำคอ แต่เบาบางจนแทบจะกลืนไปกับอากาศ
พอเงยหน้าขึ้นมองก็ไม่เห็นว่าโฮปกำลังหัวเราะหรืออะไร ฉันจึงหันกลับไปยังจุดที่เด็กคนนั้น...เคยยืน
จังหวะที่มองผ่านไหล่โฮปไปด้านหลัง ฉันได้แต่หวังว่าเกรย์จะไม่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว หวังว่าเขาจะไม่ใช้ภาพของเรามากรีดหัวใจตัวเองเล่น แต่เปล่าเลย
เสี้ยววินาทีก่อนประตูห้องนอนจะปิดลง ภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นยังคงเป็นเขา
เกรย์ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง
ยืนมองฉันกับโฮป...ด้วยสองตาอันแดงก่ำ
คืนเดียวกัน
Grey Describe.
เวลา 20:05 นาฬิกา
“ทำไมมึงหน้าเละแบบนั้นอะไอ้เกรย์ ไปกัดกับหมาที่ไหนมาวะ” เสียงของไอ้วิน หนึ่งใน Demon Top 10ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว ทำให้ผมซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับเกมในโทรศัพท์ต้องยักไหล่แบบส่ง ๆ เพราะไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันให้ปวดหัว “...มึงจะทำงานทั้งที่หน้าเป็นแผลแบบนั้นเหรอ”
แต่ถึงอย่างนั้นท่าทีเพิกเฉยของผมก็ไม่สามารถหยุดความอยากรู้อยากเห็นของมันได้
ดังนั้น...ผมจึงกดหยุดเกมแล้วเงยหน้าขึ้นมองมัน “แล้วทำไมจะทำงานทั้งที่หน้าเป็นแผลไม่ได้?”
“มึงเป็นดีมอนอันดับหนึ่งนะ ลืมไปแล้วหรือไง” ไอ้วินให้คำตอบแบบเรียบง่ายและเข้าใจได้ “นอกจากความสามารถรอบด้านแล้ว มึงยังต้องใช้หน้าตาทำมาหากินด้วย แขกบางคนชอบความเนี้ยบ เจอแผลบนหน้ามึงเข้าไปจะตกใจแค่ไหน”
สิ่งที่ไอ้วินพูดนั้นถูกทุกอย่าง แม้ว่าปัจจัยหลักของ Demon จะเป็นการเอนเตอร์เทน แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็สำคัญ สภาพแบบนี้ลูกค้าบางคนคงไม่โอเค อาจถึงขั้นขอเงินคืนได้
แต่...แล้วไง
จะให้หน้าผมสะอาดเกลี้ยงเกลาปราศจากบาดแผลไปตลอดมันก็ไม่ใช่หรือเปล่า
อีกอย่าง...ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ผมเลือกเองไม่ค่อยแคร์กับเรื่องขี้ประติ๋วนี่นักหรอก เขาแค่อยากเจอผม ใช้เวลากับผม ได้ใกล้ชิดผม เงินมากมายที่จ่ายมาก็เพื่อการนี้ทั้งนั้น
อาจฟังดูน่าหมั่นไส้ไปหน่อย แต่ที่ผมไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนหนึ่งคงมาจากอันดับและความนิยม จะเรียกว่าเป็นตัวทำเงินของร้านก็ไม่ผิดอะไร นอกจากพี่จุนเจ้าของคลับแล้ว ไม่ค่อยมีใครมายุ่มย่ามกับชีวิตผมนัก
ไม่สิ จริง ๆ แล้วก็มีอีกสองคนนะ
พี่โฮปกับพี่ซอว์ไง สองคนนั้น...เหอะ!