กระทั่งแน่ใจว่าตัวเองจะไม่ประสาทเสียกับพฤติกรรมกวนประสาทของไอ้เด็กสารเลวตรงหน้าแล้วจึงลงจากรถ จากนั้นก็เดินอ้อมไปเปิดประตู คว้าข้อมือเขา...ออกแรงแทบทั้งหมดเพื่อกระชากให้คนตัวสูงเหยียบร้อยแปดสิบลงมาจากรถ
ทว่าเกรย์กลับไม่ไหวติง และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคืออะไรรู้ไหม “...ไอ้เกรย์!”
ฉันจำเป็นต้องเรียกเกรย์อย่างหยาบคายในครั้งที่เขาเปลี่ยนมาคว้าข้อมือแล้วดึงเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีฉันก็ขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนตักหนาในลักษณะที่หันหน้าเข้าหากัน
ท่าทางล่อแหลมแบบนี้ แม้แต่โฮปที่เป็นแฟนฉันก็ยังไม่เคยทำ แล้วเด็กนิสัยเสียคนนี้เป็นใคร เป็นใครถึงกล้าดีขนาดนี้!
“เมื่อก่อนผมกอดพี่ พี่ไม่เคยว่า ผมซบพี่ หนุนตักพี่ พี่ไม่บ่นผมสักคำ” เกรย์ใช้ท่อนแขนแข็งแกร่งโอบรอบเอวฉัน นำพาฉันถลาเข้าไปแนบชิดกับเรือนกายส่วนหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม “ผมเคยหอมแก้มพี่ด้วยนะ ตอนพี่ไปส่งผมที่โรงเรียนไง จำได้ไหม?”
“ถ้ารู้ว่าโตมาแล้วจะทรพีขนาดนี้ คิดเหรอว่าฉันจะ...อื้อ” พูดไม่ทันจบประโยคดี เกรย์ก็รั้งท้ายทอยฉันเข้าไปใกล้เพื่อที่ริมฝีปากร้อนร้ายเคล้ากลิ่นเลือดจะประกบลงมาอย่างเอาแต่ใจ ทว่าดุเดือดกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
เพียะ!!
ทันทีที่เกรย์ผละออก ฉันก็ฟาดมือลงตรงจุดเดิมอีกครั้งด้วยความคับแค้นใจ “นายมัน...!”
แต่เกรย์ก็ยังทำตัวต่ำตมไม่เลิก เขาปิดถ้อยคำฉันด้วยริมฝีปากอีกครั้ง เป็นจูบที่ถือดี เป็นสัมผัสที่ราวกับต้องการประกาศให้โลกรู้ว่าเขาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น เหมือนเขาเลือกเส้นทางนี้แล้ว หยุดไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้
“ตอนนี้ผมมั่นใจแล้ว” ไม่นานเขาก็ผละออกแล้วกระซิบชิดริมฝีปากที่เห่อร้อนของฉัน “ต่อให้ผมเหลวแหลกแค่ไหน เฮงซวยยังไง พี่รู้สึกได้มากสุดแค่โกรธ แต่ไม่มีทางเกลียดผมลง”
“...”
“ถ้าพี่เกลียดผม วันนี้พี่จะไม่ขับรถมาหาถึงที่ พี่จะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แล้วก็จะไม่หวังดี ขอให้ผมเลิกมีเรื่องชกต่อยเหมือนเมื่อกี้ด้วย” รอยยิ้มของผู้ชายที่อายุน้อยกว่าฉันถึงหกปีฉายขึ้นอย่างสดใส แต่ท่ามกลางความสดใสเหล่านั้นกลับแฝงความลึกลับไว้หลายส่วน
“แผลที่ฉันฝากไว้บนหน้านายยังไม่พอสินะ” ฉันเค้นเสียงผ่านไรฟัน “หรือต้องให้ฉันเอามีดมาจ้วงแทง ทำให้นายลุกขึ้นมาปีกกล้าขาแข็งแบบนี้ไม่ได้ ถึงจะสำนึกได้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันต่ำตมและผิดยังไง”
“...”
“ก็ได้ ฉันยอมรับว่าเกลียดนายไม่ลง แต่ฉันขยะแขยงความคิดนาย สมเพชการกระทำของนาย คลื่นไส้กับสมองที่กลวงโบ๋ของนาย”
“...”
“พี่...” ฉันเปลี่ยนสรรพนามเพื่อตอกย้ำให้เขาเข้าใจถึงสถานะของเรา “พี่ผิดหวังในตัวนายมากจริง ๆ เกรย์”
“ผมรู้อยู่แล้วครับ” ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นที่รอยยิ้มบนใบหน้าเขาหายไป ก่อนทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติเหมือนการก่นด่าเมื่อครู่นี้ของฉันไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงอย่างที่ควรจะเป็น “จริง ๆ ไม่ต้องพูดผมก็พอจะมองออก แววตาพี่มันฟ้องหมดแล้ว”
“รู้แล้วทำไมยังไม่หยุด” ฉันถามกลับ
น่าตลกจริง ๆ ที่ฉันยังอยากฟังเหตุผลดี ๆ จากเขา
แม้แต่ตอนที่ทุกอย่างสายไปแล้ว เหตุผลเพียงสักข้อของเขา ฉันก็ยังอยากฟังมัน
เมื่อก่อนเกรย์ไม่ได้เป็นคนแบบนี้ ถึงจะเกเรและชอบทำอะไรแผลง ๆ ไปบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย แต่เขาเป็นคนที่นึกถึงคนอื่นก่อนเสมอ เขาไม่ชอบเห็นน้ำตาของฉัน ไม่ชอบเวลาโฮปทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะแบบนั้น...เขาจึงชอบทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ เพื่อให้เราสองคนหายเครียดอยู่เป็นประจำ
ทว่าในตอนนี้...ภาพเหล่านั้นกลับถูกทุบทำลายด้วยน้ำมือจากคนคนเดียวกัน
ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่ทุกอย่างเละเทะไม่เป็นท่าได้ขนาดนี้จะมาจากเด็กผู้ชายที่ชื่อเกรย์
“...” เขาเงียบไป
“อยู่ด้วยกันสามคนแบบพี่น้องมันยากมากเลยเหรอเกรย์ นายไม่เสียดายช่วงเวลาดี ๆ ที่เรามีให้กันเลยใช่ไหม?” แม้น้ำเสียงจะยังแข็งกระด้าง แต่ลึก ๆ แล้วความผิดหวังและความเสียใจฉาบหัวใจฉันไปมากกว่าครึ่งดวงแล้ว “นายบอกว่านายชอบฉัน รู้สึกกับฉันมากกว่าพี่สาว แต่สิ่งที่นายทำมันคือการแสดงความรักตรงไหน”
“...” นัยน์ตาสีสวยหม่นแสงลง จนในที่สุดก็กลายเป็นความดำมืด
เป็นอีกครั้งที่ฉันคาดเดาความรู้สึกของเขาไม่ได้
“หรือจริง ๆ แล้วสำหรับนาย ความรักกับการทำลายมันคือเรื่องเดียวกัน หือ?” ฉันอ่อนอกอ่อนใจจนไม่รู้จะสรรหาคำพูดแบบไหนมาใช้กับเขาแล้ว
“ไม่ใช่” เกรย์ปฏิเสธ “ไม่ใช่แบบนั้นครับ”
“แล้วอะไร?”
ก๊อก ๆ ๆ
ยังไม่ทันได้คำตอบที่ต้องการ กระจกรถก็ถูกเคาะรัว ๆ บ่งบอกว่าเจ้าของกำปั้นนั้นร้อนใจแค่ไหน เมื่อเคลื่อนสายตากลับไปมองยังต้นตอ หัวใจที่กลับมาเต้นเป็นปกติได้ไม่นานก็แทบหล่นไปกองที่ตาตุ่ม
ฮะ โฮป...!
เป็นเขาเองที่เคาะกระจกอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างนอกนั่น
จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่กระจกรถของฉันติดฟิล์มกรองแสงอย่างดี ทำให้เขามองไม่เห็นเราสองคน แต่แน่นอนว่าฉันคนนี้...รวมถึงเด็กสารเลวที่ฉันนั่งทับอยู่สามารถเห็นรายละเอียดบนใบหน้าของโฮปได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร
พึ่บ
เนื่องจากโฮปยืนอยู่ข้างกระจกฝั่งคนขับ ฉันจึงออกแรงผลักเกรย์แล้วข้ามไปนั่งในส่วนที่ควรจะนั่ง
เกรย์ที่ไม่รู้ว่าให้ความร่วมมือหรืออะไรก็ไม่ได้รั้งฉันไว้ เขาเพียงเหลือบมองโฮปด้วยสายตาคุกรุ่น ปากคว่ำไร้รอยยิ้ม
ฉันหอบหายใจ กำหมัดแน่น รีบใช้เวลาที่กระชั้นชิดนี้ครุ่นคิดหาเหตุผลรอก่อนที่โฮปจะยิงคำถาม จนแน่ใจว่าตัวเองตั้งสติได้แล้ว ไม่มีลับลมคมในใด ๆ ให้เคลือบแคลงแล้วจึงเปิดประตูออกไป
“ซอว์! โทรมาทำไมไม่พูดวะ แล้วปิดเครื่องหนีทำไม เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” เป็นไปดังคาด เมื่อฉันลงจากรถ โฮปก็โถมตัวเข้ามาหาทันทีพลางกวาดสายตาสำรวจสภาพฉันอย่างระแวดระวัง
แววตาเขาตื่นตระหนก
เหงื่อพร่างพราวเต็มหน้า
น้ำเสียงสั่นเทา
ทุกอย่างนั้น...บาดลึกมาถึงหัวใจฉัน
“...ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะโฮป พอคุยกับตำรวจเสร็จฉันก็ลากเกรย์มาตักเตือน หมอนั่นถูกฉันดุด่าจนหัวหดเลยละ” ฉันชิงบอกก่อนเพื่อไม่ให้เขาเกิดคำถามแปลก ๆ ขึ้นมา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่เกรย์เปิดประตูลงจากรถอย่างรู้จังหวะ ทำให้โฮปเงยหน้าขึ้นมอง
“รอยเล็บที่แก้มมันคือ?” โฮปมองหน้าเกรย์ด้วยสายตาดุดันเล็กน้อย
ทุกครั้งที่เกรย์สร้างปัญหา โฮปมักแสดงสีหน้าแบบนี้เสมอ แต่เขาแทบไม่เคยลงไม้ลงมือกับน้องตัวเองเลย
“ฉันทำเอง” ฉันสารภาพ เป็นผลให้เขาหันกลับมาอีกครั้ง “ขอโทษที่ต้องลงไม้ลงมือนะ แต่รอบนี้ฉันโมโหที่น้องนายสร้างปัญหาก็เลย...พลั้งตบไป”
“อืม ก็ต้องโดนบ้าง ฉันว่าเราสองคนสปอยล์มันเยอะเกินไปจริง ๆ” โฮปถอนหายใจ “คืนนี้มึงขนข้าวของกลับมาอยู่ที่คอนโด ฯ กูเหมือนเดิมนะ มาอยู่ใกล้ ๆ ตีนกูนี่ เวลาทำตัวเหี้ย ๆ กูจะได้สั่งสอนมึงได้” ก่อนจะเคลื่อนสายตากลับไปมองน้องชายอีกหนด้วยแววตาที่ยังคงเจือความขุ่นเคือง
“...ครับ” เกรย์ไม่เถียงสักคำ “งั้นผมไปก่อนนะ ไว้เจอกันครับ...” ว่าจบเขาก็เดินกลับไปที่รถของตัวเอง
ฉันเหลือบมองแผ่นหลังอันเดียวดายของเกรย์ ทว่ามองได้เพียงแป๊บเดียวเท่านั้นปลายคางก็ถูกบังคับให้หันกลับไปทางโฮป เขาจ้องมองฉัน พินิจพิเคราะห์ทั่วใบหน้า และสิ้นสุดที่ริมฝีปากฉัน...
“กลับคอนโด ฯ”
“...”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”