สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกสูงหลายชั้นเรียงรายติดๆกัน รถราแน่นท้องถนนทัั้งสี่เลนมันเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาฉันเท่าไหร่นัก ฉันมองออกไปด้านนอกในหัวก็กำลังคิดว่าต่อไปชีวิตของฉันจะเป็นยังไง ฉันเคยวาดฝันเอาไว้ว่าชีวิตนี้จะไม่ขออะไรมากขอแค่มีครอบครัวที่อบอุ่นแล้วพอเรียนจบฉันก็จะทำงานหาเงินเลี้ยงดูพ่อกับแม่เอง ถึงแม้ฉันจะเป็นแค่ลูกจ้างหรือพนักงานตำแหน่งเล็กๆ ของบริษัทไหนสักที่ก็ไม่เป็นไร
แต่แล้วความฝันที่วาดไว้ก็ต้องจบลงเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วฉันได้รู้ว่าพ่อกับแม่ตัดสินใจจะแยกทางกัน
“ข้าว…มัวนั่งเหม่ออะไรอยู่แม่เรียกตั้งหลายครั้งแล้วไม่ได้ยินหรอ”
เสียงของแม่ที่เรียกฉันอยู่ข้างๆ ทำให้ฉันหลุดออกมาจากความคิดเมื่อครู่
“ข้าวฟังเพลงอยู่เลยไม่ได้ยินเมื่อกี้แม่พูดว่าอะไรนะคะ”
ฉันอ้างไปอย่างนั้นทั้งที่ฉันไม่ได้เปิดเพลงอะไรฟังเลย
“ใกล้จะถึงบ้านคุณลุงแล้วนะจำที่แม่บอกได้ใช่ไหม”
ฉันหยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะมองออกไปด้านนอกรถอีกครั้ง ทำไมฉันจะจำไม่ได้ล่ะในเมื่อแม่เอาแต่ย้ำคิดย้ำทำเรื่องนี้กับฉันเป็นสิบๆรอบแล้วว่าให้ฉันอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
ไม่กี่นาทีต่อมารถที่แม่เหมาให้เพื่อนบ้านขับมาส่งก็มาจอดที่บ้านหลังหนึ่ง ด้านหน้าเป็นประตูรั้วสูงชันแต่ก็ไม่สูงเท่าหลังคาบ้านที่สูงใหญ่กว่า
“ลงมาได้แล้วข้าว”
ฉันรีบลงจากรถและพอเปิดประตูลงไปฉันก็มองเห็นเจ้าของบ้านออกมายืนรอต้อนรับเราสองแม่ลูกอยู่ก่อนแล้ว
“เป็นไงบ้างเดินทางเหนื่อยไหม”
“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ ข้าวไหว้คุณลุงสิงห์ซะสิ”
แม่หันมาตำหนิฉันที่ฉันไม่รู้จักรักษามารยาทกับผูู้ใหญ่
“สวัสดีค่ะ”
ฉันยกมือไหว้คุณลุงที่อายุคงจะสักห้าสิบปลายๆ แล้วคุณลุงคนนี้ก็คือสามีใหม่ของแม่ฉันเอง
หลังจากที่แม่หย่าขาดกับพ่อไม่ถึงเดือนแม่ก็พาคุณลุงมาแนะนำให้ฉันรู้จักแล้วหลังจากนั้นไม่กี่วันแม่ก็บอกว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ทันทีที่ฉันปิดเทอมแม่ก็รีบขนข้าวของมาอยู่ในฐานะภรรยาส่วนฉันก็มาในฐานะลูกติด
“เป็นไงนั่งรถเหนื่อยไหมหนูข้าว”
คราวนี้คุณลุงหันถามฉันด้วยท่าทางที่เป็นมิตร จริงๆ คุณลุงก็ดูเป็นคนใจดีนะแต่ถ้าจะให้ฉันสนิทใจด้วยก็คงจะเป็นไปได้ยาก คนแถวบ้านฉันใครๆ ก็พากันพูดว่าที่แม่เลิกกับพ่อเพราะคุณลุงคนนี้เป็นต้นเหตุ
“ไม่ค่ะ”
ฉันตอบแค่สั้นๆเพราะไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ สำหรับฉันคุณลุงยังคือคนแปลกหน้าและไม่มีทางจะมาแทนพี่พ่อฉันได้
“เข้าบ้านกันเถอะผมให้คนเตรียมข้าวปลาเอาไว้ให้แล้วเผื่อว่าคุณกับหนูข้าวจะหิว”
พูดแล้วคุณลุงก็พาฉันกับแม่เข้ามาในบ้านโดยมีคุณป้าคนหนึ่งมาช่วยถือกระเป๋า ส่วนเพื่อนบ้านที่แม่เหมารถมาหลังจากได้ค่าจ้างก็กลับไปทันที
บ้านของคุณลุงใหญ่โตกว่าที่มองจากด้านนอกหลายเท่า แม่บอกว่าคุณลุงทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แต่ฉันก็ไม่คิดว่าคุณลุงจะร่ำรวยขนาดนี้
“แล้วลูกชายคุณล่ะคะ”
แม่รู้ว่าคุณลุงมีลูกชายอยู่คนนึงแต่ไม่เห็นอยู่ในบ้านเลยถาม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเรียนอยู่ ม.6 แล้วส่วนฉันปีนี้พึ่งจะอยู่ ม.4 เนื่องจากแม่ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่ฉันก็เลยต้องย้ายโรงเรียนตามมาด้วย
“เจ้าลูกคนนี้ของผมไม่ค่อยจะอยู่บ้านอยู่ช่องหรอก ช่างเถอะเดี๋ยวเขากลับมาเมื่อไหร่ผมจะพามาทำความรู้จักคุณกับหนูข้าวเอง เดี๋ยวลุงพาไปดูห้องนอนนะ”
คุณลุงพาฉันกับแม่ขึ้นมาที่ชั้นสองของบ้าน ห้องแรกที่พาไปเป็นห้องของแม่ซึ่งก็คือห้องของคุณลุงส่วนห้องของฉันอยู่ถัดไปอีกห้อง
“เป็นไงถูกใจไหมลุงไม่รู้ว่าหนูชอบแบบไหนเลยเลือกสีหวานๆ เอาไว้ก่อน”
คุณลุงหันมายิ้มให้ฉันฉันก็พยักหน้ารับ เป็นห้องที่ตกแต่งด้วยโทนชมพูหวานแหววทั้งห้องและเน้นไปทางตัวการ์ตูนคิตตี้แล้วไหนจะข้าวของราคาแพงๆ พวกนี้อีกมันทำให้ฉันดูเป็นคุณหนูยังไงไม่รู้
“จริงๆ คุณให้ข้าวมันนอนห้องเล็กก็ได้นะคะ”
แม่ฉันหันไปพูดกับคุณลุงด้วยสีหน้าที่เกรงอกเกรงใจเพราะห้องที่คุณลุงให้ฉันอยู่ทั้งใหญ่ทั้งหรูหราต่างจากบ้านหลังเดิมของฉันราวฟ้ากับเหว
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อหนูข้าวเป็นลูกของคุณเพราะงั้นหนูข้าวก็เหมือนลูกของผมอีกคน”
คุณลุงมองหน้าแม่ฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก ฉันคิดเอาเองนะเพราะฉันเองก็ยังไม่เคยมีความรักมาก่อนแต่ฉันรับรู้ได้ว่าคุณลุงดูรักแม่ฉันมากแล้วแม่ฉันก็คงรักคุณลุงเหมือนกัน ถึงคนอื่นจะพากันพูดว่าที่แม่ฉันเลิกกับพ่อเพราะคุณลุงรวยก็เถอะ
“แต่มลว่า…..”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วผมบอกแล้วไงว่าต่อไปนี้ผมจะดูแลคุณกับหนูข้าวเอง”
พอได้ยินคุณลุงพูดแบบนี้แม่ฉันก็เลยไม่ได้พูดะไรต่อ หลังจากที่แนะนำข้าวของเครื่องใช้ในห้องให้ฉันเสร็จคุณลุงก็พาแม่ฉันออกไปซื้อของใช้ส่วนตัวแต่ฉันไม่อยากไปเลยขอรออยู่ที่นี่
ตอนนี้เป็นเวลามืดค่ำแล้วแต่แม่กับคุณลุงก็ยังไม่กลับมาสักที ก่อนหน้านี้แม่โทรมาบอกฉันว่าอาจจะกลับดึกหน่อยเพราะคุณลุงมีธุระสำคัญที่ต้องไปจัดการ
ฉันรอแม่เป็นนานสองนานอยากโทรไปถามว่าแม่จะกลับมาตอนไหนก็โทรไม่ได้เพราะฉันไม่มีมือถือติดต่อที่แม่โทรมาหาฉันเมื่อตอนบ่ายก็โทรเข้าเบอร์บ้านคุณลุง
เวลาสามทุ่มกว่าๆ เสียงท้องร้องจ๊อกฟ้องว่าฉันหิวข้าวตอนเช้าฉันกินข้าวไปแค่นิดเดียว ความจริงคุณป้าที่ฉันมารู้ทีหลังว่าเป็นแม่บ้านของที่นี่ขึ้นมาตามฉันลงไปกินข้าวแล้วแต่ฉันอยากรอกินพร้อมแม่
แต่ตอนนี้น่ะสิ หิวจนตาลายหมดแล้ว
ในบ้านหลังใหญ่โตเปิดไฟไว้แค่บางจุดฉันค่อยๆเดินลงมาจากบันได ถ้าจำไม่ผิดห้องครัวจะต้องเดินมาทางนี้สินะ ฉันค่อยๆ ย่องเพราะกลัวจะมีคนมาเห็นฉันไม่กล้าไปเรียกคุณป้าแม่บ้านแล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าจะไปตามหาที่ไหน
“มีอะไรให้กินบ้างนะ”
ฉันพึมพำในท้องรู้สึกปั่นป่วนเวลาที่หิวๆ แบบนี้ฉันขอแค่มาม่าสำเร็จรูปสักซองก็พอแล้วแต่มันอยู่ตรงไหนนะ ไม่รู้ทำไมคนรวยสมัยนี้ถึงชอบใช้พื้นที่เกินความจำเป็นก็แค่ห้องครัวจำเป็นต้องใหญ่ขนาดนี้เลยหรอ
“ว๊ายยย!!คุณเป็นใครคะหรือว่าเป็น ขโมยช่วยด้วยค่ะมีขโมยเข้าบ้าน”
ฉันตะโกนขึ้นเมื่อเห็นเงาของใครบางคนทำลับๆล่อๆอยู่ในครัว
“เงียบเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ไอ้ขโมยคนนั้นตวาดใส่ฉันแต่ก็ไม่ได้เสียงดังมาก คงกลัวถูกจับได้นั่นแหละ
“ช่วยด้วยค่ะช่ว….ย”
ฉันกำลังจะตะโกนให้คนมาช่วยแต่ก็ถูกขโมยคนนั้นก็เอามือมาอุดปาก ฉันดิ้นต่อสู้แต่แรงอันน้อยนิดของฉันก็สู้ไม่ได้ฉันเลยตัดสินใจกัดมือไปทีนึง
“โอ๊ยย!!เป็นหมาบ้ารึไงวะ”
ขโมยคนนั้นร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกฉันกัดเข้าที่มือ ฉันใช้จังหวะนี้จะวิ่งออกมาแต่ทว่าขโมยคนนั้นก็ไวกว่าฉัน
“จะหนีไปไหน”
เสียงขโมยดังอยู่ข้างหูฉันเพราะตอนนี้ฉันกำลังถูกหัวขโมยที่ไหนไม่รู้กอดเอาไว้จากด้านหลังแถมยังกอดฉันไว้ซะแน่น
“อื้อออ”
เหมือนรู้ว่าฉันจะแหกปากร้องไอ้โจรห้าร้อยเลยเอามือมาอุดปากฉันไว้อีก ฉันพยายามดิ้นอย่างสุดแรงเกิดแต่ก็สู้แรงไม่ไหว แม่จ๋าช่วยข้าวด้วย
“เงียบ!!”
ขโมยมันตวาดใส่ฉันฉันส่ายหน้าเป็นพัลวัน เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องเชื่อ
“บอกให้เงียบไงฉันไม่ใช่ขโมยเธอนั่นแหละยัยหัวขโมย”
ขโมยมันตวาดอยู่ข้างหูฉัน มืดๆ ค่ำๆ แอบเข้าบ้านคนอื่นถ้าไม่ใช่ขโมยจะเป็นอะไรแล้วยังจะมีหน้ามาขี้ตู่ฉันอีก
“อื้อออ”
ฉันส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอพร้อมกับพยายามดิ้น
พรึ่บบบ!!!
ระหว่างที่ฉันกับหัวขโมยกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่นั้นอยู่ๆ ไฟในบ้านก็สว่างพอเจ้าของบ้านปรากฏตัวไอ้หัวขโมยมันก็ปล่อยฉันทันที ฉันก็รีบวิ่งไปหาแม่
“เขาเป็นขโมยค่ะ”
ฉันชี้ไปทางผู้ชายตัวสูงที่ยืนทำหน้าทำตาเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไรและพอไฟในบ้านสว่างฉันถึงรู้ว่าหัวขมโมยคนนี้หน้าตาดีระดับนึง
“หนูข้าวคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะนี่ลูกชายลุงเอง พี่เสือไง”
คนถูกแนะนำตัวยิ้มออกมาแต่มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ฉันขนลุก หล่อซะเปล่าแต่ไม่มีความเป็นมิตรเอาซะเลย
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นทำไมอยู่ในสภาพนี้”
คุณลุงหันมาขอคำตอบจากฉันก่อนจะหันไปมองหน้าลูกชายตัวเองที่เห็นเราสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่มืดๆ
“ผมแค่เข้ามากินน้ำแต่ยัยนี่ไม่รู้เป็นใครอยู่ๆ ก็หาว่าผมเป็นขโมยแถมยังกัดมือผมอีกดุอย่างกับหมาเฝ้าบ้าน”
พี่เขากระแทกเสียง เอ่อ....ชื่อเสือสินะ
พี่เสือมองมาที่ฉันตาเขม่นสงสัยจะแค้นฝังหุ่นที่โดนฟันฉันขบลงไปจังๆ
“ก็พี่เขาอยู่มืดๆแถมยังทำตัวลับๆล่อๆ ข้าวก็เลยคิดว่าพี่เขาเป็นขโมยค่ะ”
ฉันก้มหน้าพูดอย่างไร้เดียงสา
"ขโมยกับผีสิเธอนั่นแหละที่ทำตัวลับๆ ล่อๆยู่ในบ้านคนอื่น"
พี่เสือสวนฉันทันควัน อยากจะเถียงก็เถียงไม่ได้เพราะฉันดันทำลับๆล่อๆอย่างที่พี่เขาพูดจริงๆ
“เอาล่ะไม่ต้องเถียงกันแล้วเป็นแค่เรื่องเข้าใจกันผิดก็ดีแล้ว”
คุณลุงเป็นคนพูด
“น้าต้องขอโทษแทนลูกสาวน้าด้วยนะ ว่าแต่มือเป็นอะไรมากไหม”
แม่ฉันถามพี่เสือด้วยความเป็นห่วงแต่แม่กลับถูกพี่เสือตอกกลับด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“อย่าเสียมารยาทกับคุณน้าสิเสือ นี่คุณมลคนที่ฉันพูดให้แกฟังไง”
“แล้วยังไงครับ”
หน้าของพี่เสือแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้รู้สึกยินดีที่ฉันกับแม่มาอยู่ร่วมชายคา ฉันได้ยินมาว่าภรรยาเก่าของคุณลุงเสียไปก่อนที่แม่ฉันจะหย่ากับพ่อแค่ไม่กี่วัน
“ช่างเถอะค่ะมลไม่ถือสาหรอก”
แม่ฉันคงเห็นเหมือนที่ฉันเห็นเลยรีบพูดขึ้นแล้วฉันก็เห็นพี่เสือยืนหัวเราะอยู่ในลำคอ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะ”
พี่เสือหันหลังไปด้วยสีหน้าที่เย็นชาสุดๆ
“เดี๋ยวก่อนสิ เสือ เสือ เจ้าลูกคนนี้นิ”
คุณลุงเอ่ยตามหลังพี่เสือไปด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ผมต้องขอโทษแทนลูกชายผมด้วยนะ แม่เขาเลี้ยงตามใจตั้งแต่เด็กเลยเสียคนไปหมดแล้ว”
คุณลุงอธิบายด้วยสีหน้าที่ดูซีเรียส ดูท่าพ่อลูกจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะมลไม่ถือสาหรอกอีกอย่างมลซะอีกที่ต้องขอโทษลูกชายคุณ”
สีหน้าของแม่บ่งบอกว่ารู้สึกผิด ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของผู้ใหญ่มากนักหรอกแม่บอกฉันแค่ว่าที่แม่ต้องหย่ากับพ่อไม่เกี่ยวกับคุณลุงแล้วแม่ก็ไม่ได้ทำให้ครอบครัวใครแตกแยก แต่มันจะเป็นไปได้จริงๆ หรอ การที่คนสองคนแยกทางกันมันต้องมีคนผิดหรือมีสาเหตุสิไม่แน่ว่าที่พี่เสือไม่ชอบขี้หน้าฉันกับแม่อาจเป็นเพราะคิดว่าแม่ฉันจะเข้ามาแทนที่แม่ของพี่เขาก็ได้นะ
------------------------------------------
ฝากติดตาม เป็นกำลังใจให้หนูข้าวของไรต์ด้วยนะคะ อัพจบไม่ทิ้งไว้กลางทะเลแน่นอนค่าาาา