Honey Talk
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดีขึ้นมาหน่อยเพราะไม่มียัยสองแม่ลูกนั่นนั่งร่วมโต๊ะ ด้วยความหิวฉันจึงเติมข้าวปถึงสองรอบเรียกเสียงหัวเราะจากพ่อของวิคเตอร์ นานมาแล้วที่เราไม่ค่อยได้เจอกันเพราะท่านต้องเดินทางไปเจรจาธุรกิจอยู่บ่อยๆ
"ช่วงนี้ลุงไม่เจอพ่อหนูเลย"
"งานที่กระทรวงคงยุ่งเพราะขนาดหนูก็ยังไม่ค่อยได้เจอพ่อเลยค่ะ"
ช่วงนี้พ่อฉันงานยุ่งมากแถมไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน จะโทรหาแต่ละทีก็ติดต่อยากเย็นเพราะท่านไม่ค่อยว่างจึงฝากโทรศัพท์ไว้กับคุณอิทธิเลขาผู้ชายซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทที่ท่านไว้ใจมาก
"แล้วหนูอยู่บ้านคนเดียวเหรอ"
"ช่วงนี้ก็อยู่คนเดียวค่ะ"
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะตั้งแต่เด็กฉันก็อยู่คนเดียวจนชินแล้วเพราะพ่อฉันไม่ค่อยอยู่บ้านพอๆกับพ่อวิคเตอร์นั่นแหละ
"ให้วิคเตอร์ไปอยู่เป็นเพื่อนดีมั๊ย"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
ฉันปฏิเสธโดยไม่คิดด้วยซ้ำ ถึงแม้ฉันจะระวังตัวมากขึ้นและงดดื่มแอลกอฮอล์ไปแล้ว แต่ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองมันค่อนข้างเสี่ยงเกินไป อีกอย่างฉันไม่ต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเราสองคนเป็นครั้งที่สองเพราะครั้งเดียวฉันก็แทบจะมองหน้าเขาไม่ติดแล้ว
และต่อให้เรายังคุยกันเหมือนเดิม ไปไหนมาไหนด้วยกันแบบวันเก่า แต่ฉันก็ไม่รู้สึกสนิทใจแถมยังอึดอัดเวลาที่ถูกสายตาคมกริบของเขามองมาทุกครั้งอีกด้วย
"เย็นนี้พ่อต้องไปอังกฤษนะ"
วิคเตอร์พยักหน้าเบาๆคล้ายไม่ได้ใส่ใจ ฉันแอบเห็นพ่อของเขาถอนหายใจก่อนที่ท่านจะรวบช้อนและลุกเดินออกไปเมื่อแม่บ้านยกกระเป๋าลงมาจากชั้นสอง ไม่ว่าจะเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนวิคเตอร์ก็ยังคงเย็นชาใส่พ่อเขาเสมอ แต่เขาจะทำอะไรหรือคิดอะไรฉันก็พร้อมที่จะเข้าใจในเหตุผลของเขาเสมอ
คล้อยหลังประมุขใหญ่ของบ้าน สองแม่ลูกกาฝากก็รีบลงมาข้างล่างทันที ยัยเด็กกานต์ตรงเข้ามานั่งข้างวิคเตอร์ที่กำลังกินข้าวเงียบๆไม่สนใจใคร ส่วนยัยคนแม่ก็หย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามฉัน
"พี่วิคเตอร์วันนี้กานต์ขอติดรถไปมหาลัยด้วยนะคะ"
ฉันเบะปากเมื่อเห็นยัยเด็กแก่แดดกำลังออดอ้อนวิคเตอร์เสียงใส ส่วนยัยคนแม่แทนที่จะปรามลูกสักหน่อย นี่อะไร...ปล่อยให้ลูกเกาะแข้งเกาะขาผู้ชายเป็นปลิงอยู่ได้
"ยังไงก็อยู่มหาลัยเดียวกัน ให้น้องติดรถไปด้วยคงไม่เป็นไรใช่มั๊ย"
วิคเตอร์พยักหน้าเบาๆก่อนจะลุกและเดินออกไปโดยมียัยเด็กกานต์เดินตามติดไม่ยอมห่าง ฉันถอนหายใจยาวก่อนจะลุกขึ้นเพื่อตามออกไป
"หนูฮันนี่คบอยู่กับวิคเตอร์รึป่าว"
คิดว่าฉันดูไม่ออกรึไงว่ายัยยนี่ตั้งใจยัดเยียดลูกสาวให้ลูกเลี้ยงของตัวเอง และดูท่าทางคงไม่ได้ชอบหน้าฉันสักเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจพ่อของฉันล่ะก็ ยัยแม่มดนี่คงไล่ตะเพิดฉันออกจากบ้านไปแล้ว
"ไม่คบก็เหมือนคบนั่นแหละค่ะ เพราะยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี"
"ถ้าหนูไม่อยากแต่งน้าจะช่วยพูดกับพ่อของวิคเตอร์ให้"
"ไม่จำเป็นหรอกค่ะเพราะฉันจะแต่งงานกับวิคเตอร์"
ฉันพูดไปงั้นแหละ แค่อยากเห็นคนแถวนี้อกแตกตาย คงหวังเกี่ยวดองกันเองในครอบครัวเผื่อสมบัติจะได้ไม่ไปตกอยู่ที่คนอื่นสินะ คอยดูเถอะ ฉันจะขัดขวางทุกอย่างที่ยัยนี่คิดจะทำเลย
"คนไม่ได้รักกันแต่งงานกันไปก็ทุกข์ซะเปล่าๆ"
"แล้วรู้ได้ยังไงล่ะคะว่าเราไม่ได้รักกัน"
คนถูกถามหน้าเสียชะงักนิ่งไปสักพักก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติเหมือนเดิม ฉันรู้ว่าเธอกำลังพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้หลุดเกรี้ยวกราดต่อหน้าฉันอยู่ แต่เชื่อเถอะคล้อยหลังเมื่อไหร่ยัยนี่อาจจะทำลายข้าวของไม่ก็อาละวาดฟาดงวงฟาดงาเหมือนที่ชอบทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย
"ฉันขอตัวก่อนนะคะ พอดีเสียเวลามามากพอแล้ว"
เจอหน้ายัยนี่ทีไรฉันอารมณ์เสียและหงุดหงิดทุกทีจนต้องแอบจิกกัดให้พอแสบๆคันๆบ้างเป็นบางครั้ง ยัยแม่เลี้ยงฝืนยิ้มแต่แววตาสั่นไหวท่าทางโกรธเคืองไม่น้อย แต่แล้วไงล่ะ อย่างยัยนี่ไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก อย่างมากก็แค่ด่าลับหลังเท่านั้น
ฉันจำใจมานั่งที่เบาะหลังเพราะถูกยัยเด็กกานต์แย่งที่ประจำไปเป็นที่เรียบร้อย ถึงแม้ไม่พอใจจนอยากจะวีนแตกแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่ทำและเลือกที่จะถอยเพราะขี้เกียจทะเลาะกับเด็กแก่แดดที่นั่งชูคอร่วมรถ
"วิคเตอร์ แม่เลี้ยงนายถามเรื่องงานแต่งเราด้วยแหละ"
ฉันชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า ยัยเด็กกานต์ตวัดสายตามองฉันอย่างไม่พอใจ แต่แล้วไง ใครสนกันล่ะยะ
"แล้วว่าไง"
วิคเตอร์ถามขึ้น เราสบตากันผ่านกระจกและเป็นฉันที่เป็นฝ่ายหลบตาก่อน
"ฉันก็บอกไปว่าเราจะแต่งงานกัน"
"เมื่อไหร่"
"ทันทีที่เรียนจบ"
เขารู้ว่าฉันตั้งใจจะแกล้งยัยน้องสาวนอกไส้ที่จ้องจะงาบพี่ชายตัวเองจึงกระโดดเข้ามาร่วมเล่นเกมส์ที่ฉันสร้างขึ้น เราพูดเรื่องงานแต่งตลอดทางที่ไปมหาลัยและคอยเหลือบมองยัยเด็กกานต์ที่นั่งหน้างอน้ำตาคลอ
...แต่ขอโทษนะ ฉันไม่รู้สึกสงสารยัยนี่เลยสักนิด
ฉันอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองเหมือนตัวร้ายในละครที่ชอบรังแกคนเหมือนกัน แต่ยังไงก็ไม่ได้ร้ายแบบไร้เหตุผลมากมายอะไร เพราะฉันเลือกร้ายกับคนที่คิดไม่ดีกับฉันและคิดไม่ดีกับคนรอบตัวที่ฉันรักเท่านั้น...