กว่าจะจัดการธุระนอกบ้านเสร็จ ญาดาก็กลับมาถึงบ้านเกือบสิบเจ็ดนาฬิกา เดินหอบหิ้วข้าวของที่แวะซื้อจากห้างสรรพสินค้าเข้ามาในห้องครัว มีทั้งของใช้ในครัวเรือนและวัตถุดิบในการทำขนม เนื่องจากพรุ่งนี้มีออเดอร์จากโรงแรมให้ทำของว่างที่ใช้รับรองแขกที่มาสัมมนาจำนวนห้าสิบกล่อง ดังนั้นจึงต้องซื้อวัตถุดิบมาเตรียมไว้
แต่เชื่อหรือไม่ ว่าสามีของเธอไม่เคยสนใจเลยด้วยซ้ำว่าหลังจากที่เขาก้าวขาออกจากบ้านไป เธอทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ไม่เคยถามไถ่ว่าวันนี้ทำอะไร ไปไหนมา แต่จะว่าไป สามีเธอจะเอาเวลาที่ไหนมาถาม เพราะกว่าเขาจะกลับมาถึงบ้านก็ห้าทุ่มกว่าแทบทุกวัน ทั้งที่เธอเคยขอร้องเขาในช่วงแรกที่แต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
"พี่ธามคะ พี่ธามช่วยกลับไม่เกินสี่ทุ่มช้าสุดไม่เกินห้าทุ่มได้ไหมคะ หญ้าไม่ชินกับการอยู่คนเดียว หญ้ากลัว"
นี่คือสิ่งที่เธอร้องขอ การแต่งงานออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน ต้องออกจากอ้อมอกของบิดามารดาที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต มาอยู่กับสามีในบ้านที่มีกันแค่สองคน ทำให้ช่วงเวลากลางคืนเธอรู้สึกวังเวง เงียบเหงา มองไปทางไหนก็ไม่เห็นใครจนแอบกลัว
พานคิดไปต่างๆ นานาแทบนอนไม่หลับทุกคืน เปิดไฟในห้องนอนและนอนเล่นรอบนเตียงจนกว่าจะได้ยินเสียงรถยนต์ของวิธานขับเข้ามานั่นแหละ เธอถึงจะอุ่นใจรีบปิดไฟและแกล้งทำเป็นหลับไปแทบทุกวัน
"พี่มีงานต้องทำ กว่าจะเคลียร์เสร็จก็ดึกดื่น คงทำตามที่เราขอไม่ได้ เราแต่งงานกันก็จริง แต่พี่แต่งเมียไม่ใช่แต่งแม่ อย่ามาบังคับหรือจำกัดการใช้ชีวิตของพี่ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็หย่าสิ"
นี่คือสิ่งที่สามีเธอลั่นวาจาเชือดเฉือนน้ำใจออกมา บาดลึกฝังแน่นในหัวใจน้ำตาแทบร่วง เขาจะให้เธอหย่าทั้งที่เพิ่งแต่งงานยังไม่ถึงอาทิตย์อย่างนั้นเหรอ สิ่งที่เธอทำได้ในวันนั้นคือยืนมองท้ายรถของวิธานแล่นไกลออกไปจนลับสายตา
จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้สามีของเธอยังคงความเสมอต้นเสมอปลายไม่มีขาดตกบกพร่อง หากไม่ถึงห้าทุ่มเขาไม่มีวันกลับมาเหยียบบ้านหลังนี้แน่ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของเธอและสามีค่อนข้างห่างเหิน ราวกับเป็นผู้ร่วมอาศัยที่นอนเตียงเดียวกันเท่านั้น
และการทำอาหารเย็นก็คืออีกหนึ่งอย่างที่ญาดาเหมือนดั่งเป็นคนโรคจิต รู้ทั้งรู้ว่าทำไปก็ต้องนั่งทานคนเดียว ทว่าเธอก็ยังดันทุรังทำเผื่อเขา ด้วยความหวังล้มๆ แล้งๆ อย่างคนโง่เขลา ว่าวันนี้เขาอาจจะกลับบ้านเร็วเพื่อมาทานอาหารเย็นกับเธอ แต่ก็นั่นแหละ...
ไม่มีสักครั้งที่เขาจะกลับมา
เมื่อจัดการอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยญาดาก็วางมือ และกลับขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำเรียกความสดชื่นให้ตัวเอง มือบางลูบไล้ฟองสบู่ไปทั่วร่าง ทว่าเมื่อมาถึงหน้าท้องก็ต้องหยุดชะงักค้างอยู่ตรงนี้ ก้มมองมือตัวเองที่วางอยู่หน้าท้อง เเละภาวนาในใจ ให้ลูกมาเกิดกับเธอเสียที บางทีหากเธอท้องวิธานอาจจะหันมาสนใจเธอบ้าง หรือหากเขายังเมินเฉยกับเธอดังเดิม เธอจะได้มีเพื่อนไม่ต้องอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้
มาเกิดกับหม่าม้าไวๆ นะคะคนเก่ง ม้าอยากมีเพื่อน
ส่วนคนที่กลับบ้านตรงเวลาตอนนี้กำลังนั่งมองผู้คนมากมายโยกย้ายสะโพกอยู่ที่สถานบันเทิงของเพื่อนรัก และดูเหมือนสถานที่แห่งนี้จะเป็นร้านโปรดร้านประจำของชายหนุ่มตั้งแต่แต่งงานมาก็ว่าได้
"ไม่สี่ทุ่มครึ่ง ไม่ย้ายตูดออกจากร้านกูจริงๆ นะมึง" ปุณณ์เพื่อนสนิทที่รู้ทุกสิ่งอย่างในชีวิต อยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิตวิธานเอ่ยพร้อมกับวางแก้ววิสกี้ที่ตนถือติดมือวางให้เพื่อน
"มึงก็ไม่เบื่อบ้างเลยหรือไง พูดประโยคนี้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ มึงควรจะชิน" วิสกี้รสเลิศถูกยกขึ้นดื่ม
ปุณณ์ก็คันปากยุบยิบ อย่าหาว่าเสือกเลยนะ หรือจะว่าเสือกก็ได้ แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ แม้จะเอ่ยประโยคเดิมซ้ำไม่รู้กี่ครั้ง แต่ตนก็ยังอยากพูดอีกสักครั้ง
"กูถามมึงอีกครั้งนะไอ้ธาม มึงไม่สงสารกอหญ้าบางหรือไง มึงก็รู้ว่ากอหญ้ารู้สึกยังไงกับมึง มึงไม่คิดจะเปิดใจให้น้องเหรอวะ อย่างน้อยๆ น้องก็คือเมียมึงนะ เมียที่ถูกต้องทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยอะ" ลมหายใจอุ่นพ่นออกมาจากคนถูกถาม นั่งควงแก้ววิสกี้ในมือเล่นไปพลางอย่างใช้ความคิด
"เมียที่มึงก็รู้ว่ากูต้องแต่งงานด้วยเพราะอะไร ความรักที่กอหญ้ามีให้กูจากความเห็นแก่ตัวงั้นเหรอ รักที่ร้ายกาจกล้าทำร้ายผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งให้เขาเลิกกับกู เพื่ออยากได้กูไปเป็นผัวอะเหรอ ผู้หญิงแบบนี้เหรอที่กูควรสงสารเห็นใจ"
คำตอบเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน จนปุณณ์เริ่มจนใจ ไม่รู้จะหว่านล้อมยังไงให้วิธานยอมเปิดใจให้ญาดาบ้าง เพราะจากที่ตนรู้จักญาดามา หญิงสาวไม่ได้มีนิสัยร้ายกาจ ออกจะเป็นคนหัวอ่อนเสียด้วยซ้ำ ไม่น่าจะคิดแผนร้ายกับแฟนเก่าของวิธานจนทำให้แฟนวิธานเลิกราหนีไปอยู่ต่างประเทศได้ เว้นเสียจากต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรสักอย่าง
แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ ที่ทำให้ผู้หญิงหัวอ่อนคนหนึ่ง ใจกล้าเดินเข้าไปบอกแฟนวิธานว่ากำลังจะแต่งงานกับวิธาน และที่สำคัญตัวเองกับวิธานก็เกินเลยกันแล้วให้แฟนเก่าของวิธานถอยออกไปซะ
"กูถามมึงจริงๆ จากใจเลยนะไอ้ธาม ห้ามโกหกทั้งกูและตัวเอง"
"เออ จะถามอะไรก็ว่ามาเรื่องมากอยู่นั่น" กระดกวิสกี้ในมือขึ้นดื่มอีกครั้ง
"มึงไม่รู้สึกอะไรกับกอหญ้าเลยเหรอ สักนิดก็ไม่เลยเหรอ" แก้ววิสกี้ถูกวางลงบนโต๊ะกระจกเสียงดัง พร้อมกับสีหน้าของวิธานที่เริ่มหงุดหงิดเพื่อนขึ้นมาบ้างแล้ว
"มึงนี่น่าจะประสาทแดกแล้วมั้ง เมื่อกี้กูเพิ่งพูดไปว่าไม่ได้รู้สึกอะไร"
"เออ กูมันประสาทแดก แต่ต่อไปกูว่าคนที่ประสาทแดกคงเป็นมึง...ปลาบอกว่าต้นเดือนหน้าโบว์จะกลับมาเที่ยวมองไทย เห็นว่ามีปัญหากับแฟน ก็เลยจะมาเที่ยว" วิธานนั่งเงียบไป แววตาวูบไหว เมื่อได้ยินชื่อของคนที่ตัวเองรู้สึกดีด้วยมาตลอด คนที่ตนอยากขอโทษมากที่สุด คนที่ตนทำร้ายความรู้สึกเธอ และเป็นคนที่ตนไม่เคยลืมเลยตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา
หัวใจแกร่งที่มันเหมือนจะตายด้านก็เต้นแรงขึ้นมา แววตาที่เรียบนิ่งก็เหมือนจะมีประกายแห่งความหวังจนปุณณ์ใจไม่ดี และแอบหวั่นใจเหลือเกิน กลัวว่าถ่านไฟเก่าจะคุขึ้นมา และถ้าเป็นอย่างนั้นภรรยาที่ถูกละเลยล่ะจะทำเช่นไร