‘ตึก ตึก ตึก ตึก’
หัวใจที่เต้นแรง มันบีบเลือดฉันสูบฉีดหนักขึ้น ตอนนี้ฉันร้อนผ่าวไปทั้งตัว ริมฝีปากอุ่น ๆ ที่ประกบจูบครั้งแล้วครั้งเล่า มันกำลังทำฉันหายใจติดขัด และทำตัวไม่ถูก
จูบแรก... ทำไมมันอึดอัดแบบนี้ ฉันไม่ไหวแล้ว!ฉันหลับตาปี๋ และรวบรวมแรงทั้งหมดที่มี ดันอกเขาออกไป
ก่อนที่จะเผลอ....
‘เพี้ยะ’
ไม่... ไม่! ไม่ใช่แบบนี้ ฉันเผลอตบหน้าไคล์ไปเต็มแรง ฉันไม่ได้อยากตบเขา ฉันแค่ตกใจ! และตอนนี้ไคล์ก็ใช้นิ้วแตะเบา ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฉัน เขาดูช็อคเหมือนกัน แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ...
รอยยิ้มที่ฉันเห็นมาทั้งวัน มันไม่มีอีกแล้ว
“โอเค นี่คือคำตอบใช่ไหม”
คำตอบอะไรวะ! ฉันพยายามเดินไปหาไคล์ แต่ไคล์กลับยกมือขึ้น สั่งให้ฉันหยุด
“ไคล์ ฉันไม่ได้ตั้ง...” ฉันทิ้งกระเป๋าลงพื้น และพยายามอธิบาย แต่เขาไม่ฟัง เขาค่อย ๆ ถอยหลังไปทีละก้าว ทีละก้าว... จนเริ่มไกลจากฉัน
“บาย”
“ไคล์!” เสียงเรียกฉันมันไม่มีประโยชน์ เขาไม่หันกลับมา ไม่พูด ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เหมือนไคล์เขาอยากจะหนีไปไกล ๆ ฉัน เพราะยิ่งฉันพยายามเรียก... เขายิ่งก้าวเร็วขึ้น
ฉันทรุดนั่งกอดเข่าหน้าประตู ก่อนที่จะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าสะพายที่ตกบนพื้น มาดูพวงกุญแจ
เออ ควาย... กูมันควายจริง ๆ
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ... ทำไมไม่บอกก่อนวะว่าจะจูบ คนมันไม่เคย แม่งเอ้ย! กูมันโง่ ฮือ ๆ”
ฉันคลานเข้าห้องร้องไห้โฮ ไม่มีแรงจะลุก ไม่มีแรงทำบ้าอะไรเลย ไคล์จะรู้สึกยังไงวะ เขาจะเจ็บไหม? ฉันร้องไห้ไปด่าตัวเองไป จนอยู่ ๆ ฉันได้ยินเสียงรองเท้าหยุดหน้าห้อง
‘กริ้ง กริ้ง’ หรือว่าไคล์จะมา! ฉันรีบลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูทันที แต่คนที่มากดกริ่งกับไม่ใช่ไคล์ เขาเป็นผู้ชายสูง ๆ ขาว ๆ เจาะหู หน้าตาดีคนนึง
“นี่นังชะนี! ฉันชักจะไม่ไหวกับเธอแล้วนะ เมื่อวานก็แหกปาก วันนี้ก็โหยหวน รู้จักเกรงใจชาวบ้านบ้างสิ”
อึก! ฉันกลืนก้อนสะอื้นแทบไม่ทัน ตกใจกับน้ำเสียงท่าทางผู้ชายคนนั้น จนตัวเองสะอึก... อึก ๆ ไม่หยุด
“ฉันขอโทษ อึก พอดี แม่ง... ทำไมฉันต้องอธิบายนายวะ” เขากอดอกและกลอกตามองบน
“ไม่อธิบายฉันก็เห็นหมดย่ะ ว่าจะออกไปข้างกับผัวแต่ดันเจอช็อตเด็ด เธอมันชะนีโง่ ไปตบเขา แทนที่จะลากเข้าห้องไปกินสวย ๆ เล่นตัวอยู่ได้! นี่! หยุดร้องไห้เสียงดังด้วยนะ! ลำใย!”
เล่นตัว...
“ฉันเล่นตัวเหรอ?”
“อะไรอีกล่ะย๊ะ?”
“ที่นายพูดเมื่อกี้ งั้นฉันถามอะไรหน่อยสิ ที่ผู้ชายทำแบบนั้น คือเขาชอบ ฉันใช่ไหม?” เขาถอนหายใจ ยาว ๆ ใส่ฉัน และโบกมือโบกไม้ไปมา เขาดูตุ้งติ้งมาก! ทั้งที่เสื้อผ้าหน้าผมแมนโคตร
“เออสิย๊ะ ถ้าไม่ชอบ เขาคงชกหน้าเธอกลับไปแล้ว” ชอบ? หัวใจฉันที่ห่อเหี่ยว มันพองโตขึ้นมาอีกครั้ง แต่ชอบแล้วยังไงต่อวะ กูตบหน้าไคล์จนหน้าเขาหัน
“ฉันต้องทำยังไง ฉันแค่ตกใจ แล้วพลั้งมือ”
“โอ้ย... มันเรื่องของหล่อนย่ะ! ฉันไม่รู้หรอก อย่าเสียงดังอีกนะ!” เขาหมุนตัวจะกลับห้อง แต่ฉันรีบเดินไปขวางทางไว้ก่อน
“เดี๋ยว! ถ้าไม่อยากให้ฉันเสียงดัง นายแนะนำฉันหน่อยดิ”
“ฉัน?” เขาชี้ตัวเอง และถามเสียงสูงปรี๊ด
“ก็นายเป็นผู้ชาย นายน่าจะรู้ดี”
“โอ้ยตาย! หล่อนค๊ะ ฉันเป็นตุ๊ด ไอ้เรื่องง้อผัว เอ้ย... ง้อชายน่ะ ตุ๊ดอย่างฉันไม่เคยคิดเยอะ เปย์ไข่ด้วยเงิน”
เปย์ไข่ด้วยเงิน!
“แบบไม่ใช้เงินไม่มีเหรอ? ไคล์ไม่ใช่แมงดา” ผู้ชายคนนั้น เอ่อตุ๊ดคนนั้น นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกัดฟันมองหน้าฉัน
“ฉันแค่จะมาเตือน เรื่องหล่อนเสียงดัง! ทำไมฉันต้องมารับฟังและให้คำปรึกษาหล่อนด้วย!”
“เพราะตอนนี้ ฉันไม่รู้จะถามใคร”
“โว้ย! เออ ๆ ไม่เปย์ด้วยเงินก็เปย์ตัวไปเลยจ้ะ เขารุกจูบเธอขนาดนั้น แต่ไม่รู้นะ ว่าเขาจะเอาเธอรึป่าว... เล่นตบเขาจนหน้าหัน ฉันไปละ อย่าเสียงดัง โอเค๊”
เปย์ด้วยตัว เสียตัวเหรอวะ!? โอ้ยตายเถอะ... ให้กูมีโอกาสง้อเขาก่อน ค่อยคิดเรื่องนั้น! เพราะเมื่อกี้ไคล์ดูโกรธฉันมาก แถมยังถามคำถามแปลก ๆ ฉันอีก
หลังจากที่ถูกตุ๊ดด่า ฉันก็หมดอารมณ์ดราม่าทันที ก่อนที่จะกลับเข้ามานั่งโง่ ๆ ในห้องแล้วเปิดทีวีดู
กดเปลี่ยนช่อง กดเปลี่ยนช่อง...
โอ้ย! อิผี! หงุดหงิดตัวเองฉิบ ฉันไลน์ไปหาเขาดีไหม? อย่างน้อยก็ไม่เขินมากเท่าไหร่ กูต้องทำอะไรสักอย่างสิวะ! อย่าปล่อยไว้แบบนี้ ตีสองไคล์ก็บินแล้วนะเว้ย!
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอปไลน์ เลื่อนช่องแชทเป็นรอบที่แปด กว่าจะทำใจกดชื่อเขาได้
LINE | KAI
[BAIMAI: เป็นแผลรึป่าว?]
[BAIMAI: พอดีตกใจ ถ้าเจ็บก็... ขอโทษละกัน]
คำว่า ละกัน มันดูไม่จริงใจเลยว่ะ แต่ไม่ทันแล้ว จะลบก็ลบไม่ได้ ฉันจึงเปิดช่องแชททิ้งไว้แบบนั้น เปิดจนจอมันดับไปหลายรอบ ไคล์เขาก็ไม่อ่านไลน์ฉันสักที
ฉันจึงรินไวน์จิบสักพัก และอาบน้ำเข้านอนปกติ แต่ที่มันไม่ปกติคือมือ! มือแม่งจับโทรศัพท์ตลอดเวลา จนเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขสอง เวลาที่ไคล์ขึ้นบิน เขาก็ยังไม่อ่านไลน์ฉัน!
โอ้ยกูจะทำยังไงดี? กูพลาดมหันต์ ตอนนั้นกูน่าจะมีสติดึงไคล์เข้าห้อง นั่นไง... เก่งแต่ปากอีกแล้วกู
ฉันเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นเช้ามาปวดหัวมาก ปวดหัวหนักกว่าเดิมคือไคล์ยังไม่อ่านไลน์ฉัน อะไรวะ? ปกติเขาอ่านเร็วจะตาย
ถึงบริษัทฉันก็รีบเคลียร์งาน เพราะบ่าย ๆ ตั้งใจจะไปปรึกษาจิตแพทย์ ซึ่งฉันโทรนัดทิชาเพื่อนที่ไม่ปากมากเอาไว้แล้ว ทิชามันเป็นลูกเจ้านายเก่าแม่ ที่ครอบครัวฉันสนิทและรู้จักเป็นอย่างดี
แต่ที่ฉันจำใจเป็นเพื่อนกับมันจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะพี่มันหล่อมาก...
พอ อันหลังไม่เกี่ยว
“แม่สาวหน้านิ่ง แกจะไปศรีธัญญาหรือไปโรงพยาบาลสัตว์?”
เมื่อทิชาเปิดประตูขึ้นรถ มันก็ถามฉันทันที ก่อนที่จะรีบดึงเข็มขัดนิรภัยมารัด
“อย่ากวนตีน ฉันจะไปโรงพยาบาลที่แพงที่สุด ไม่อยากให้ข่าวไปถึงหูคนอื่น”
“จ้า แม่เซเลป แค่ปรึกษาเอง มันเป็นเรื่องปกตินะแก ใครจะว่าอะไรก็เรื่องของมัน โนสนโนแคร์ ไม่ได้ขอตังค์ใครใช้ อย่าคิดมาก”
“นั่นแก ไม่ใช่ฉัน”
หลังจากนั้น ทิชามันก็นั่งสงบปากสงบคำ มันเป็นคนเดียวที่นั่งรถกับฉัน แล้วไม่โหวกเหวกโวยวาย แถมตอนนี้มันยังเทรดหุ้นสบายใจ ไม่มองแม้กระทั่งหน้าฉัน
ไม่นานเราก็มาถึงโรงพยาบาลกัน ที่นี่เป็นโรงพยาบาลของเพื่อนเจ๊ปลายฟ้า ชื่อน้ำ... อะไรสักอย่าง ช่างเถอะ ๆ แต่วันนั้นฉันพาเจ๊ปลายฟ้ามา
โอ้ย... แม่ง! หมอที่ตรวจเจ๊แกหล่อมาก... และยิ่งตอนนี้ฉันกับทิชากำลังนั่งรอพบจิตแพทย์หน้าแผนก ที่มีหมอเดินผ่านไปมา แต่ละคนทำเราไม่เป็นอันทำอะไรเลย
ฉันไม่เล่นโทรศัพท์ ทิชามันหยุดเทรดหุ้น เอาแต่นั่งมองผู้ชายและทำตาปริบ ๆ
“หล่อจัง...” ทิชาพูดเบา ๆ และทำหน้าเคลิ้ม
“วันนั้นพาเจ๊ปลายฟ้ามาตรวจ หล่อกว่าที่เห็นอีก”
“จริงเหรอ? ว้าว... หล่อเหมือนคนนั้นรึป่าว” ทิชาขยิบตาให้ฉันหันไปมอง เออคนนั้นก็หล่อ... นี่มันโรงพยาบาลหรืออะไรวะ
“รู้สึกว่า... จะหล่อกว่า”
“เชิญคุณกัณณ์รลิน วรพงศ์กุลค่ะ” ฉันส่งกระเป๋าสะพายให้ทิชา ที่ยังมองหมอน้ำลายหก แต่พยาบาลเธอกลับเดินไปหามันอีกคน แล้วเปิดแฟ้ม
“เชิญเพื่อนสนิทคุณกัณณ์รลินด้วยนะคะ” ทิชายืนขึ้นพยักหน้ารัว มันไม่ถามพยาบาลสักคำ! ว่าอันเชิญมันเข้าไปทำไม
เข้ามาก็เป็นห้องโล่ง ๆ ที่มีห้องกระจกเล็ก ๆ แยก ซึ่งฉันถูกพยาบาล พาไปนั่งที่ห้องเล็ก ๆ นั่นแหละ ส่วนทิชานู้น... มันไปนั่งห้องใหญ่กับหมอ
“รอสักครู่นะคะ จากประวัติที่คุณกัณณ์รลินกรอกมา คุณหมออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากคนใกล้ตัวค่ะ คุณผู้หญิงคนนั้น เราคิดว่าเป็นคนที่คุณกัณณ์รลินสนิทและไว้ใจที่สุด ไม่งั้นคงไม่ได้มาเป็นเพื่อน ใช่ไหมคะ?”
“ค่ะ สนิทพอตัว” ฉันนั่งเงียบ และพยายามฟัง ว่าหมอถามอะไรทิชา แต่ฟังยังไงก็ไม่ได้ยิน จนพยาบาลที่อยู่กับฉันเธอนั่งลงข้าง ๆ แล้วมองเข้าไปในห้องกระจกเหมือนกัน
“คุณกัณณ์รลิน รู้สึกเกลียดอะไรที่สุดคะ?” ฉันใจจดใจจ่อ มองทิชาที่คุยกับหมอ จนเผลอตอบพยาบาลไปส่ง ๆ และไม่คิดอะไร
“กรอบ...”
“ใครเป็นคนวางกรอบให้คุณคะ?”
“ทุกคน สภาพแวดล้อม และ ความเป็นพี่คนโต”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
“ตั้งแต่เข้าโรงเรียนประจำ ที่กินอยู่เหมือนค่ายทหาร ฉันเบื่อ... ฉันไม่มีความสุข”
“ในนั้น มันแย่มากเลยเหรอคะ?”
“แย่... เป็นสถานที่แย่ ๆ ที่พ่อแม่หลายคนไม่เคยรู้”
“ยังไงคะ มันเป็นโรงเรียนไม่ใช่เหรอ?”
“โรงเรียน หึ มันเหมือนโรงเรียนลูกคุณหนู ที่พ่อแม่ส่งลูกไปดัดสันดานมากกว่า ฉันโดนขโมยของ โดนล้อว่าอีหน้าตาย และไม่มีใครคบ...”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมไม่บอกพ่อแม่คุณกัณณ์รลินคะ”
“พ่อมองโลกในแง่ดีเกินไป อะไรก็เป็นเรื่องตลกและเป็นบททดสอบ แต่ฉันไม่เคยตลกกับพ่อสักครั้ง ฉันไม่อยากทดสอบอะไร ฉันอยากเป็นผู้หญิงปกติที่มีความสุขกับสิ่งที่ฉันเลือก แต่ฉัน... ไม่ได้เลือกอะไรสักอย่าง แตกต่างกับน้องชายฝาแฝดฉัน ที่อยากเรียนกัปตันก็ได้เรียน อยากเรียนที่อเมริกาก็ได้ไป”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมไม่บอกคุณแม่คะ?”
“ฉันไม่สนิท”
“ค่ะ ตอนนี้คุณชอบอะไรบ้างคะ คุณชอบอาหารอะไร สีอะไร รู้สึกสนใจอะไรเป็นพิเศษไหม?”
“ฉันไม่รู้ ฉันรู้อย่างเดียว คือฉันชอบผู้ชายคนนึง ผู้ชายคนนั้นเขาชื่อไคล์ ฉันอยากได้เขามาก อยากเป็นเจ้าของเขา เพราะเขาเป็นสิ่งเดียวที่ฉันได้เลือก แต่ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกฉันไหม”