บทที่ 16

1262 คำ
“เอ่อ...เจ้าชายกำลังหึง และคิดว่ากระหม่อมชอบคุณน้ำอิงใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อถูกองครักษ์เอกซึ่งรับใช้พระองค์มานาน เอ่ยถามแทงพระทัยดำ เจ้าชายคามิลก็เริ่มรู้สึกตัว ปรับสีพระพักตร์และดวงเนตรให้เป็นปกติ ก่อนจะโบกพระหัตถ์ว่อน แสร้งตะคอกต่อว่าองครักษ์นาฟฟาล เพื่อเป็นการเลี่ยงความรู้สึกของตนเอง “อยากโดนขังลืมใช่ไหมไอ้นาฟฟาล ถึงพูดในเรื่องไม่เป็นเรื่อง” พอได้ยินเช่นนี้ แทนที่จะนึกหวาดกลัวอาญา องครักษ์นาฟฟาลกลับหัวเราะร่วน พลางเอ่ยสัพยอกเจ้าเหนือหัวอีกครั้ง “โธ่...เจ้าชายพ่ะย่ะค่ะ อย่าปิดกระหม่อมเลย กระหม่อมอยู่รับใช้เจ้าชายมาตั้งแต่เด็ก ทำไมกระหม่อมจะไม่รู้ว่าเจ้าชายกำลังคิดอะไรอยู่” “เลิกพูดได้แล้วไอ้นาฟฟาล เหม็นขี้ฟันคนพูดมาก” ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ พอเจ้าเหนือหัวไม่ให้พูด องครักษ์นาฟฟาลก็ยิ่งทำในทางตรงกันข้าม “เจ้าชายยอมรับมาเถอะพ่ะย่ะค่ะว่ากำลังหึงกระหม่อมอยู่” “ไอ้นาฟฟาล ถ้าไม่หุบปากให้สนิท เราจะสั่งให้เจ้ากลับไปนอนเดี๋ยวนี้” เจ้าชายคามิลตวาดลั่นด้วยความโมโหสุดขีด เมื่อถูกองครักษ์นาฟฟาลจับความรู้สึกของพระองค์ได้ และพระองค์ก็โทษว่าเป็นความผิดของฐิติรดาทั้งหมด ที่ทำให้พระองค์ลืมตัวเผยความหึงหวงออกมาให้องครักษ์เห็น ส่วนองครักษ์เอกนาฟฟาล พอถูกเจ้าเหนือหัวขู่เช่นนี้ก็รีบรับคำอย่างรวดเร็ว “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่พูดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นาฟฟาลรีบคำโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะหากเขาถูกไล่ให้กลับไปนอนก็เท่ากับว่าไม่ได้ตามติดไปอารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าชายคามิล ซึ่งเขาจะละเลยหน้าที่ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการผิดต่อคำสัตย์สาบาน ที่ลั่นวาจาว่าจะอารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าชายคามิลในทุกวินาที และด้วยยึดมั่นต่อคำสัตย์สาบานเสมอมา บุรุษหนุ่มที่ถูกเลือกให้เกิดมาเพื่อเป็นชายชาตินักรบอย่างองครักษ์นาฟฟาล บาซิซ ฟาติสส์ จึงมักตามติดไม่ต่างจากเงาของเจ้าชายคามิล เมื่อเกรงว่าจะถูกไล่ไม่ให้ตามเจ้าเหนือหัวไปตามหาฐิติรดา องครักษ์นาฟฟาลจึงรูดซิปปากปิดเงียบไม่พูดแม้แต่คำเดียว จนเจ้าชายคามิลอดตรัสแขวะออกมาไม่ได้ “เออ ปิดปากได้สักทีนะเจ้านาฟฟาล รู้งี้ขู่เจ้าด้วยวิธีนี้ตั้งแต่แรกก็ดี” “แค่ขู่ก็พอแล้ว แต่อย่าไล่กระหม่อมไปเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นาฟฟาลโอดครวญเบาๆ “แหม! ตีหน้าม่อย ทำเสียงเศร้าๆ ได้น่ากระทืบจริงๆ นะเจ้านาฟฟาล” เจ้าชายคามิลตรัสเหน็บแนมสุรเสียงลอดไรฟัน พร้อมกับรับแว่นตาสำหรับมองกลางคืนมาสวม ก่อนจะกระโดดขึ้นบนหลังเจ้าอาชายไนยตัวใหญ่ เพื่อไปเล่นเกมไล่จับกระต่ายสาว ที่พระองค์ปล่อยให้เดินเล่นเป็นเวลานานพอหอมปากหอมคอแล้ว ทางด้านของฐิติรดาพอกระโจนลงจากรถได้แล้ว ก็รีบวิ่งย้อนไปตามเส้นทางเดิมที่รถยนต์หรูราคาแพงแล่นผ่านเมื่อสักครู่ หญิงสาวเลือกวิ่งไปบนทะเลทรายอันเวิ้งว้างมืดมิด แทนการวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้คนภายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ เพราะหญิงสาวมั่นใจว่าคนในหมู่บ้านแห่งนี้ จะต้องเป็นคนของชายหนุ่มที่ชื่อคามิล ซึ่งเป็นจอมโจรวายร้ายที่จับตัวเธอมา เมื่อวิ่งหนีท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ แถมยังมองไม่เห็นสรรพสิ่งรอบตัวเอาซะเลย ฐิติรดาจึงล้มลุกคลุกคลานอยู่บนเนินทะเลทรายหลายครั้งหลายครา และครั้งล่าสุดดูเหมือนจะหนักสาหัสกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา เมื่อร่างบางอรชรค่อยๆ ปีนไปบนเนินทราย ซึ่งค่อนข้างสูงกว่าเนินอื่นๆ พอปีนไปถึงจุดสูงสุดแล้ว จู่ๆ ก็เกิดอาการเข่าอ่อน เพราะเหน็ดเหนื่อยทั้งจากการเดินทางนานนับสิบชั่วโมง อีกทั้งยังเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งหนีคนป่าเถื่อนอย่างนายคามิลมานานพอสมควร พอปืนไปถึงยอดเนินทราย ก็เข่าอ่อนยืนไม่ไหวร่างอรชรล้มลงไปบนเนินทราย ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ลงมาจากเนินทราย มานอนนิ่งอยู่บนพื้นทรายอันเย็นเฉียบ เจ้าชายคามิลและองครักษ์นาฟฟาล ซึ่งต่างก็นั่งอยู่บนหลังอาชาไนยสีดำไม่ต่างจากความมืดของรัตติกาล ต่างก็เห็นเหตุการณ์นี้ทั้งหมด แม้ตอนนี้ท้องฟ้ากว้างจะถูกปกคลุมด้วยความมืด ไม่มีแสงนวลของดวงจันทราสาดส่องให้ความสว่างไสว กระนั้นแว่นตาที่ใช้สำหรับมองตอนกลางคืนโดยเฉพาะ ก็ช่วยให้เจ้าชายคามิลและองครักษ์นาฟฟาลเห็นเหตุการณ์ที่เกิดได้อย่างชัดเจน “เจ้าชาย เราเข้าไปช่วยคุณน้ำอิงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนเธอกำลังแย่นะพ่ะย่ะค่ะ” คำแนะนำขององครักษ์นาฟฟาล ซึ่งเผยความเป็นห่วงเป็นใยให้เห็นเกินควร ทำให้เจ้าชายคามิลต้องหันมามองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาคมกริบ พร้อมกับตรัสถามประชดประชันด้วยสุรเสียงติดห้วนจัด “แน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้คิดอะไรกับน้ำอิง เพราะเรารู้สึกว่าเจ้าจะเป็นห่วงเธอซะเหลือเกิน” “โธ่...เจ้าชาย กระหม่อมไม่ได้คิดอะไรกับคุณน้ำอิงเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่สงสารเธอตามประสาเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นาฟฟาลแก้ต่างให้กับตัวเอง พอหันไปมองฐิติรดาอีกครั้งก็เห็นเธอกำลังปืนไปบนเนินทรายอีกครั้งแล้ว ทว่าคราวนี้ปีนได้แค่ครึ่งทางก็กลิ้งหลุนๆ ลงมานอนจุกอยู่บนพื้นทรายเหมือนเดิม “เจ้าชาย คุณน้ำอิงกลิ้งมาจากเนินทรายอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “เออ เห็นแล้วน่า เราก็กำลังมองอยู่เหมือนกัน” เจ้าชายคามิลตรัสออกมาอย่างรำคาญองครักษ์จอมยุ่ง ที่เผยอาการสงสารเชลยสาวจนเกินควร และพอเห็นฐิติรดากลิ้งไม่เป็นท่าลงมาจากเนินทราย ก็ทรงหัวเราะร่วนราวกับเห็นเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะกระแทกสีข้างบังคับบังเ**ยนให้เจ้าอาชาไนยออกวิ่งเหยาะๆ ตรงไปหาคนที่ยังนอนฟุบอยู่กับพื้นทราย พอควบม้ามาถึงจุดที่ฐิติรดานอนนิ่งเพราะหมดแรงเดินต่อ ก็กระโดดลงจากเจ้าอาชาไนยไปนั่งยองๆ อยู่บนส้นเท้าตัวเอง ก่อนจะตรัสเยาะหยัน คนที่ยังนอนอยู่บนพื้นทราย “ไงน้ำอิง ชมวิวอันงดงามของทะเลทรายสีทองด้วยการกลิ้งหลุนๆ เป็นลูกหมาลงมาจากเนินทราย สนุกถูกใจเจ้าไหม” “ไอ้บ้า! ไปลงนรกซะ” ฐิติรดาเหลือบสายตามองคนตรงหน้า พร้อมกับแผดเสียงตะโกนด่าเท่าที่ยังพอมีแรงอยู่ในขณะนี้ “ฮ่าๆๆ จะไปลงนรกได้ยังไงกันล่ะน้ำอิง เรายังไม่ได้มอบความเป็นสามีให้กับเจ้าเลย อย่างน้อยเราต้องลิ้มลองจูบเจ้าไปทั้งตัวให้รู้เสียก่อนว่าเจ้าจะหวานฉ่ำ สมกับราคายี่สิบล้านหรือเปล่า ถึงตอนนั้นค่อยตายก็ไม่เสียชาติเกิด” เจ้าชายคามิลตรัสเยาะ ยิ่งเห็นฐิติรดาหน้าแดงซ่านเพราะความโกรธ ก็ยิ่งชอบพระทัย ขณะเดียวกันก็นึกอยากเห็นตอนใบหน้างามแดงซ่านเพราะพิษเพลิงพิศวาสที่พระองค์เป็นผู้มอบให้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม