บทที่ 15

1240 คำ
เจ้าชายคามิลกระตุกยิ้ม เห็นสีหน้าและแววตาของฐิติรดาแล้วก็รู้ว่าหญิงสาวเจ้าเล่ห์อยู่ไม่หยอก “ฮึ! ปากเจ้าบอกว่าไม่เอาเรื่อง แต่ลูกตาของเจ้ามันวาววับราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเรา เพราะฉะนั้นก็ลืมไปได้เลยว่าเราจะปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ” “แก! ไอ้โจรใจชั่ว” “เรียกเราว่าคามิลสิน้ำอิง เผื่อว่าเราจะมอบความเมตตาให้กับเจ้าบ้าง” เจ้าชายคามิลต่อรอง นึกขัดพระทัยกับสรรพนามที่ฐิติรดาใช้เรียกพระองค์เหลือเกิน ทว่าสาวงามจากแดนสยาม ก็ไม่มีทางทำตามคำสั่งของชายชาติกษัตริย์อย่างง่ายๆ เช่นเดียวกัน “ไม่มีทาง! ยังไงๆ ฉันก็ไม่มีทางเรียกชื่อตามที่แกสั่งแน่” “ถ้างั้นมาคอยดูว่าระหว่างเจ้ากับเรา ใครจะเป็นฝ่ายชนะ” เจ้าชายคามิลตรัสตอบสุรเสียงเย็นยะเยือก ขณะตรัสตอบออกไป เจ้าชายหนุ่มก็เหลือบดวงเนตรมองไปนอกรถยนต์นึกขัดพระทัยว่าวันนี้องครักษ์นาฟฟาลขับรถช้ายังกับเต่าคลาน เวลาผ่านไปนานแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ขับรถยังไม่ถึงโอเอซิสสักที เพราะอยากโรมรันรักเผด็จศึกสวาทกับฐิติรดาในทุกวินาที ราชนิกุลแห่งอาคาเรียจึงนึกเคืององครักษ์นาฟฟาลตามประสาคนพระทัยร้อน ทว่าในความเป็นจริงแล้วองครักษ์นาฟฟาลขับรถด้วยความเร็วในระดับปกติเฉกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา และเหลือระยะทางไม่ถึงสองกิโลเมตรก็จะเข้าเขตแดนของโอเอซิสแล้ว เจ้าชายคามิลและฐิติรดาปะทะคารมกันตั้งแต่รถแลนด์โรเวอร์ขยับล้อจากสนามบินนานาชาติอาคาเรีย จวบจนกระทั่งมาถึงยังโอเอซิสอันเป็นถิ่นที่พำนักของราชนิกุลผู้องอาจ และโอเอซิสแห่งนี้ก็จะเป็นสถานที่กักขังฐิติรดาไว้จนกว่าพระบิดาจะเปลี่ยนพระทัยและล้มเลิกเรื่องการอภิเษกกับเจ้าสาวรุ่นลูก เมื่อองครักษ์นาฟฟาลจอดรถหน้าตำหนักแล้ว เจ้าชายคามิลก็ดึงร่างบางอรชรให้ลุกขึ้นนั่ง หลังจากถูกพระองค์นอนทาบทับอยู่ครึ่งตัวตั้งแต่ออกมาจากสนามบิน “ถึงวิมานรักของเจ้าแล้ว ลงจากรถได้แล้วน้ำอิง” ฐิติรดาหันไปมองนอกตัวรถครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองบุรุษหนุ่มรูปงาม ซึ่งเธอรู้จักแค่ว่าชื่อคามิล และเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังสนทนากับองครักษ์ ซึ่งทำหน้าที่สารถีพารถคันใหญ่หรูหราแล่นมาถึงที่นี่ หญิงสาวก็รีบเปิดประตูรถอีกด้าน แล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็วไม่คิดชีวิต โดยวิ่งย้อนไปตามทางเดิมที่รถแลนด์โรเวอร์ได้แล่นผ่านมาเมื่อสักครู่ “เจ้าชาย เชลยวิ่งหนีไปโน่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นาฟฟาลตะโกนบอกเจ้าเหนือหัวเสียงหลง ทั้งๆ ที่เจ้าชายคามิลก็เห็นเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน และในขณะองครักษ์เอกแสดงอาการแตกตื่นตกใจ เจ้าชายคามิลกลับหัวเราะฮึๆ อยู่ในลำคอ แล้วตรัสบอกยิ้มๆ นึกถึงเกมราชสีห์ไล่ล่ากระต่ายสาวขึ้นมาในทันทีทันใด “เราเห็นแล้วนาฟฟาล” เจ้าชายคามิลทรงตรัสตอบ พร้อมกับก้าวเดินออกห่างจากตัวรถด้วยกริยาไม่รีบร้อน ไม่รีบออกไปตามล่ากระต่ายสาวที่วิ่งหนีกระเจิงไปแล้ว องครักษ์นาฟฟาลเห็นกริยาของเจ้าเหนือหัวแล้ว ก็รู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย เพราะในตอนแรก เขานึกว่าเจ้าชายคามิลจะเร่งรีบในการออกไปตามจับเชลยสาว แต่นี่พระองค์กลับยืนหัวเราะอยู่ในลำคอ ยืนกอดอกพิงรถทอดพระเนตรจ้องมองไปยังทิศทางที่ฐิติรดาวิ่งหนีไปเมื่อสักครู่ โดยไม่มีการวิ่งออกตามแต่อย่างใด “เจ้าชายจะไม่ไปตามเธอกลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงขององครักษ์นาฟฟาลเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด “ตามสินาฟฟาล เรากำลังติดใจรสชาติของน้ำอิงอย่างบอกไม่ถูก แต่ปล่อยให้น้ำอิงวิ่งเล่นล้อคลื่นทะเลทรายท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิดไปสักพักก่อน แล้วค่อยไปตามเธอกลับมา” “เรารีบออกไปตามไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าเธอจะหลงทาง หรือได้รับอันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นาฟฟาลถามต่อ นึกเป็นห่วงเชลยสาวของเจ้าเหนือหัวเล็กน้อย เพราะคนที่ไม่คุ้นเคยกับแผ่นดินทะเลทราย อาจจะหลงทางและเอาตัวรอดในแผ่นดินแห่งนี้ไม่ได้ เจ้าชายคามิลไม่ได้เป็นกังวลเฉกเช่นองครักษ์นาฟฟาล พระองค์นึกอยู่ในพระทัยแล้วว่าจะให้ฐิติรดาได้ชื่นชมกับความงดงามของท้องทะเลทรายในยามราตรีกาลสักชั่วโมงสองชั่วโมง เอาให้ฐิติรดาหมดแรงเดินก่อน แล้วค่อยออกไปตามอีกที “เอาน่า ใจเย็นๆ ก่อนเจ้านาฟฟาล เดี๋ยวเจ้าไปเตรียมม้าและแว่นตาให้พร้อม จากนั้นเราค่อยออกไปล่ากระต่ายสาวด้วยกัน” ราชนิกุลผู้องอาจตรัสสั่งอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก พอองครักษ์นาฟฟาลกำลังจะผละไปทำตามคำสั่ง ก็ตรัสสั่งเพิ่มเติมอีกครั้ง “อ้อ...อย่าลืมเตรียมน้ำดื่มมาด้วยล่ะเจ้านาฟฟาล” “พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายรอกระหม่อมสักครู่นะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นาฟฟาลวิ่งออกไปทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว จนเจ้าชายคามิลนึกขำคนรับใช้ของพระองค์ ที่ดูท่าว่าจะเป็นห่วงฐิติรดาเหลือเกิน แล้วจู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในโสตประสาท ทำเอาพระพักตร์คมเข้มเริ่มบูดบึ้งขึ้นมาในทันทีทันใด และเมื่อองครักษ์นาฟฟาลผละไปทำตามคำสั่งได้ไม่ถึงสิบนาที ก็กลับมาพร้อมกับแว่นตาสำหรับมองกลางคืน และน้ำแร่เย็นจัดอีกสองขวด โดยมีลูกน้องเป็นคนเดินจูงม้าสีดำสนิทมาสองตัว ก็ยิ่งโมโหหนัก คิดว่าองครักษ์นาฟฟาลกำลังทำตัวไม่ต่างจากที่พระองค์กำลังสงสัยอยู่ในเวลานี้ “ทำไมไปเตรียมม้าได้รวดเร็วแบบนี้วะไอ้นาฟฟาล” องครักษ์เอกผู้ซื่อสัตย์ ยังไม่รู้ว่าอารมณ์หึงหวงกำลังก่อตัวเป็นพายุลูกโต จึงเอ่ยตอบออกไปตามความรู้สึกของตนเอง “กระหม่อมเป็นห่วงคุณน้ำอิงนะพ่ะย่ะค่ะ ก็เลยสั่งให้พวกลูกน้องช่วยกันเตรียมม้าให้เร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายคามิลตีสีพระพักตร์บูดบึ้ง ดวงเนตรวาววับโชนแสงแห่งไปโทสะอันเต็มไปด้วยความหึงหวง ตอนได้ยินคำตอบจากองครักษ์เอก “รู้สึกว่าเจ้าจะเป็นห่วงน้ำอิงซะเหลือเกินนะไอ้นาฟฟาล” สุรเสียงที่ตรัสประชดประชันติดห้วนจัด กอปรกับสีพระพักตร์ถมึงทึง ดวงเนตรส่งประกายวาบด้วยความไม่พอพระทัย อีกทั้งเผยความหึงหวงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ทำเอาองครักษ์นาฟฟาลงุนงงอยู่ไม่น้อย เพราะไม่เคยเห็นเจ้าเหนือหัวแสดงปฏิกิริยาหึงหวง อันมีผลพวงมาจากสาวๆ ให้ตัวเขาหรือองครักษ์คนอื่นๆ ได้เห็นมาก่อน เมื่อมีอาการหึงหวง นั่นก็แปลว่าเริ่มชอบ เริ่มหลงเชลยสาวเข้าให้แล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องผิดวิสัยเหลือเกิน ที่ราชนิกุลหนุ่ม ซึ่งได้รับฉายาว่าเจ้าชายนักรักอย่างเจ้าชายคามิล จะตกหลงรักอิสตรีแค่เพียงครั้งแรกที่ได้พรมจุมพิตเธอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม