“ยายจ๋า... หนูคงรักเขาข้างเดียวไปแบบนี้จนตาย พี่เมษรักแต่พี่ณา เขาโกรธที่พี่ณาทิ้งเขาไป ส่วนหนูเป็นแค่ตัวสำรอง เป็นเมียที่พี่เมษไม่รัก” เธอพูดกระท่อนกระแท่นละเมอเพราะพิษไข้ พูดวกไปวนมาอยู่แบบนั้น ก่อนจะร้องไห้ออกมา
เมษได้ฟังแล้วถึงกับอึ้ง เขาไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของกันยามาก่อน ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเธอแอบรู้สึกดีๆ กับเขา
เขาเช็ดตัวให้เธอเพื่อลดไข้ พอใช้หลังมือสัมผัสกับหน้าผากของเธอก็พบว่าเธอเริ่มตัวเย็นลงแล้ว สักพักเธอก็ครางออกมาอีก บอกว่าร้อนๆ หนาวๆ เขาหาผ้าห่มมาห่มให้ สลับกับเช็ดตัวอยู่แบบนั้นตลอดคืน
กันยาค่อยๆ ปรือตาตื่นขึ้นมาในตอนสายของอีกวัน เธอรู้สึกขมคอไปหมด ริมฝีปากแห้งจนต้องเลียเบาๆ และปวดหัวเป็นอันมาก
รู้สึกอ่อนเพลียจนยันกายขึ้นจากที่นอนไม่ได้ ก่อนที่จะไอออกมาติดกันหลายครั้ง
เสียงไอของเธอทำให้เมษที่เผลอหลับไปตอนใกล้รุ่งตื่นขึ้นมา เขามองสบตาอ่อนแรงของเธอ ก่อนจะหยิบน้ำมาป้อนให้เธอ
เธอดูดน้ำจากหลอดที่เขาดึงมาจ่อที่ปากด้วยความกระหาย ก่อนจะสำลัก เมษลูบหลังลูบไหล่ให้เธอเบาๆ
“ไม่ต้องรีบ สำลักแล้วเห็นไหม” เขาทำเสียงดุแต่ไม่จริงจังนัก น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเธอมากกว่า
“กันยาเป็นอะไรไปคะ” เธอเอ่ยถาม จำได้ว่าตัวเองอยู่ตรงไร่อ้อย ขณะเอ่ยถามก็เหลือบมองไปรอบห้อง เห็นกะละมังใบเล็กและผ้าขนหนูผืนหนึ่งพาดอยู่ และอาการของตัวเองที่รู้สึกในตอนนี้คือเธอคงจะไม่สบายแน่ๆ
“เธอป่วย คิดว่าตัวเองเป็นอะไรถึงไม่ยอมกินข้าวกินปลา ตัดอ้อยอยู่ท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ และฝนที่ตกหนักลงมาแบบนั้น” เขาทำเสียงดุใส่
“กันยาขอโทษค่ะ” เธอกัดปากตัวเอง อยากจะบอกว่า... เขาไม่ใช่เหรอใช้ให้เธอทำแบบนั้น
“ช่างเถอะ ถ้าฉลาดก็คงไม่ต้องมาแต่งงานกับฉันแทนคนอื่นหรอก” ประโยคของเขาทำให้เธอไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“หิวไหม” เขาเปลี่ยนเรื่อง ทำให้เธอส่ายหน้าไปมา แต่หลังจากส่ายหน้าไปมาแล้ว ท้องเธอก็ดันร้องประท้วงขึ้นมาทำให้เธอหน้าแดงด้วยความอาย
“น่าจะหายไข้แล้วแหละ หน้าซีดกลายเป็นหน้าแดง” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงและเรียกให้แม่บ้านอุ่นข้าวต้มมาให้หน่อย
เธอมองเก้าอี้ข้างเตียงแล้วหัวใจอุ่นซ่านขึ้นมาในทันที ไม่น่าเชื่อว่าเมษจะนั่งเฝ้าไข้ให้เธอทั้งคืนและเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เธอด้วย
เธอมองน้ำเกลือที่ระโยงระยางอยู่ข้างเตียง เมื่อวานเขาคงไปตามหมอมาดูอาการเธอด้วยนั่นเอง
“ขอบคุณนะคะพี่เมษ”
“เรื่องอะไร”
“ที่ช่วยดูแลกันยาตอนป่วย”
“ฉันไม่อยากให้ใครมาตายในบ้าน เดี๋ยวพ่อกับแม่ของเธอจะหาว่าฉันดูแลเธอไม่ดี” ประโยคของเขาไม่ได้ทำให้ความรู้สึกนึกขอบคุณเขาจางหายไป เมษก็คือเมษเขาเป็นคนขวานผ่าซากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เธอเองก็ชินกับนิสัยแบบนี้ของเขาอยู่ก่อนแล้ว จึงคิดว่าเขาเป็นคนดีและมีความจริงใจคนหนึ่ง เพราะตอนที่พี่สาวของเธอต้องการเงินไปลงทุนหรือขอนั่นขอนี่เขาก็พร้อมให้ด้วยความจริงใจ
“ข้าวต้มมาแล้วค่ะนาย”
“ขอบคุณครับป้า ป้าจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะครับ” เขารับชามข้ามต้มมาถือเอาไว้
“ไม่หิวก็ต้องกิน ท้องร้องแล้วเห็นไหม” เขาทำเสียงดุใส่ เธอก็พยักหน้าให้ ไม่อยากขัดใจเขาอีก พยายามจะตักข้าวต้มกินเองแต่มือไม้อ่อนแรงไปหมด
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” เธอทำช้อนหล่น จนข้าวต้มหกเลอะเทอะไปหมด
“ระวังหน่อยสิ” คนที่ยังทำเสียงดุใส่ยังปักหลักอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน เขาดึงทิชชูที่หัวเตียงมาเช็ดปากให้เธอ ก่อนที่จะจัดการป้อนให้เธอเสียเอง
“อ้าปากสิ” เขาเอ่ยเสียงดุคงเดิม แต่เธอก็อ้าปากรับด้วยความเต็มใจ
“ขอบคุณค่ะ”
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นกินให้หมดชามและกินยาจะได้หายเร็วๆ”
“ค่ะ” เธอรับคำ และเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเพราะปกติแล้วเมษก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว เขามองอย่างพึงพอใจที่เธอกินข้าวต้มจนหมดชามและกินยาตามที่เจตน์จัดให้
“นอนพักเถอะ เดี๋ยวหมอมาตรวจอาการ” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะดึงผ้าห่มของเธอมาคลุมให้จนถึงอก เธอมองเมษตาปริบๆ เขาเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ และเธอก็เผลอหลับไปจนได้ยินเสียงของเจตน์ที่เข้ามาในห้องเพื่อตรวจอาการของเธอ
“ดีขึ้นมากแล้ว นายดูแลเธอได้ดีมาก” เจตน์ยิ้มขณะมองหน้าเพื่อน
“ยิ้มอะไรของนาย” เมษเอ่ยถามขณะเดินลงมารับประทานอาหารด้วยกันกับเพื่อน
“ยิ้มที่นายดูแลภรรยาของตัวเองดียังไงล่ะ” เจตน์กล่าวขอบคุณป้าแจ่มจันทร์ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ
“ยิ้มทำไม ฉันก็ดูแลเขาเพราะไม่อยากให้เขามาตายในบ้าน อีกอย่างฉันก็เป็นสามีของเขา”
“คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ แต่ปกตินายไม่เคยดูแลใครแบบนี้มาก่อนเลยนะ” เจตน์เอ่ยถามแล้วทำให้เพื่อนถึงกับชะงัก
“คิดมากน่า มันไม่มีอะไรสักหน่อย” คนห่ามๆ แบบเมษนั้นถ้าได้ดูแลใครดีแบบนี้แสดงว่าเขาใส่ใจ เพราะถ้าเขาไม่ใส่ใจจะนั่งเช็ดเนื้อเช็ดตัวหรือป้อนข้าวป้อนน้ำแบบนี้ทำไม ให้แม่บ้านหรือสาวใช้ทำก็ได้
“ให้เขาพักผ่อนอีกสักวันสองวันเดี๋ยวก็ดีขึ้น” เจตน์บอกเพื่อนหลังจากลากลับ เมษพยักหน้ารับคำไม่ได้พูดอะไรนอกจากตบบ่าของเพื่อนอย่างขอบใจ
เมษวิ่งขึ้นบันไดบ้านทีละสองสามขั้นเพื่อไปดูภรรยา เธอนอนหลับสนิท ในขณะที่เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างใช้ความคิด
เมษไม่เคยรู้ว่ากันยาคิดแบบนี้กับเขา ตลอดระยะเวลาที่คบกับกิรณา ไปมาหาสู่กัน เขาก็ได้เจอกับกันยาบ้าง พูดคุยกันน้อยคำ และกิรณามักพูดแต่เรื่องไม่ดีของน้องสาว
แค่ก แค่ก แค่ก!!! เสียงไอของเธอทำให้เขาเดินเข้าไปนั่งลงตรงขอบเตียง ก่อนจะหยิบน้ำมาให้เธอดื่ม
“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงของเธอยังแหบแห้ง เธอมองเขาตาปริบๆ คนไม่พูดมากก็มองเธอกลับไป นั่นทำให้กันยาหลบสายตา
“เมื่อคืนเธอละเมอ” เขาเอ่ยปากออกมา ทำให้เธอมองเขาไม่กะพริบตา เหมือนรอให้เขาพูดว่าละเมออะไร
“ละเมอว่าอะไรเหรอคะ” เธออดรนทนไม่ไหวจึงต้องเอ่ยปากถามออกไป
“ละเมอหลายอย่างเลยละ รักษาตัวให้หายดีกว่าอย่าไปใส่ใจเลย” เขาตัดบท แม้จะไม่ใช่คนโรแมนติก หรือชอบพูดจาหวานหูเอาใจใคร แต่เขาก็มีวิธีการแสดงความรักในแบบฉบับของเขาต่อคนที่เขาใส่ใจ
เมษยอมรับลึกๆ ว่าหัวใจของเขาก็หวั่นไหวไปกับคนตรงหน้า อาจเพราะสิ่งที่ได้รับรู้รับฟังมามันไม่ใช่อย่างที่เข้าใจแต่แรก เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
ประโยคของเมษทำให้กันยาไม่เซ้าซี้ถามอะไรอีก เพราะฤทธิ์ยาและอาการป่วยที่ยังไม่หายดีทำให้เธอหลับลึกลงอีกครั้ง
เมษดึงผ้าห่มมาคลุมให้จนถึงอก เขานั่งมองเธออยู่แบบนั้นก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่
อาการป่วยของกันยาดีขึ้นเป็นอันมาก เธอกลับมาใช้ชีวิตปกติ อาบน้ำได้โดยไม่ต้องเช็ดตัวเหมือนก่อน รวมถึงการกลับมาทำอาหารให้เมษรับประทานได้เหมือนเดิม
ดูเหมือนว่าเมษจะติดใจอาหารฝีมือของภรรยาเป็นอันมาก หากวันไหนไม่ได้กินฝีมือของเธอก็จะเจริญอาหารเหมือนเคย
ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดีขึ้นตามลำดับ คนแอบรักทำทุกอย่างให้เขาพึงพอใจ ลึกๆ ก็แอบมีความหวังว่าเขาอาจจะมีใจให้เธอบ้าง
เมษไม่ให้เธอทำงานในไร่อีก แต่ให้เป็นคนจัดการดูแลเรื่องอาหารเลี้ยงคนงานในไร่แทน ดังนั้นเธอจึงมีหน้าที่คิดเมนูอาหารในทุกๆ วัน โดยมีป้าเจิดเป็นลูกมือช่วยเหลือเธอทุกอย่าง
“อาหารฝีมือนายหญิงนี่อร่อยจริงๆ เลยนะ” คนงานเอ่ยชมอย่างชอบใจ ป้าเจิดทำอาหารไปตามอารมณ์ บางวันรสชาติโดดไปจนแทบกินไม่ได้ เปรี้ยวเกินบ้าง เผ็ดเกินบ้าง เค็มเกินบ้าง แต่ก็ไม่สามารถหาแม่ครัวได้หลังจากคนก่อนเสียชีวิตไป ทุกคนเลยต้องทนกินกับข้าวฝีมือป้าเจิดมาเป็นปีๆ