บทที่ 10

1515 คำ
ดาราตรีเห็นดอกเตอร์หนุ่มหันไปให้ความสนใจกับขนมตรงหน้า ค่อยๆ ละเลียดมัน คล้ายจะให้ละลายในปากด้วยการอมแต่ไม่ยอมเคี้ยว ทีละชิ้น... ทีละชิ้น จนเกือบจะหมดจานแก้วที่หล่อนเรียงขนมอัดแน่นมานับสิบดอก “สวย...” หล่อนเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็กลับขมวดมุ่น คล้ายอยากจะถามว่าเขาหมายถึงใคร หรืออะไร ชายหนุ่มยิ้มสมใจ แล้วเสมองมาที่มือของตัวเอง “ขนมนี่น่ะ สวยนะ เหมือนที่เขาขายๆ กันจะไม่ได้เป็นแบบนี้” ดาราตรีเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณข้างแก้ม สายตาเรียวคมหรี่ลงคล้ายพญาเหยี่ยวจ้องตะครุบเหยื่อ แต่พอมาพินิจอีกทีหล่อนกลับเห็นว่ามันสงบนิ่งแต่ดูไม่น่าไว้วางใจเหมือนตาของสิงโตมากกว่า และเป็นแววตาแบบเดียวกับที่เขาใช้มองกันแทบไม่กะพริบอยู่ในตอนนี้ ภายใต้ท่าทางสบายๆ นั้น ไม่ได้บอกว่าเขามอง ‘ขนม’ แต่บอกว่าเขามอง ‘คนทำขนม’ ชัดๆ พอตั้งสติใหม่ได้ หล่อนเลยยิ้มหวานแล้วตอบออกไปด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ต่างกัน “รสชาติคงไม่ต่าง แค่รูปทรงไม่เหมือนเท่านั้นเองค่ะ น้อยเห็นแบบเดิมๆ มันจำเจ เลยลองบีบเป็นช่อให้ขึ้นรูปเป็นดอกกุหลาบ แต่มันค่อนข้างจะแห้งช้าไปสักนิด วันๆ นึงเลยได้ไม่กี่ถาด หลายวันนี้อาเต้บ่นว่าอยากกิน แถมยังกินทีเป็นถาดๆ น้อยเลยต้องทำใส่โหลเผื่อไว้” มันอดไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะรู้สึกไม่ชอบใจในสิ่งที่สาวน้อยตรงหน้าเจื้อยแจ้วออกมาแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แม้จะยังใช้คำว่าเขาหมายตาสาว ‘น้อย’ คนนี้ไม่ได้ แต่จะบอกว่าไม่สนใจเลย เขาก็พูดได้ไม่เต็มปาก แล้วทำไมพอเขาให้ความสนใจกับใครหรือสิ่งใดในโลก ไอ้เต้มันถึงจะต้องโชคดีกว่าที่ได้ไปครอบครองก่อนเสมอ... ขนาดขนมมันยังได้ชิมก่อนเขาเลย “นี่หนูทำเองเหรอ เก่งดีจัง ต่อไปผมคงต้องมาฝากท้องบ่อยๆ หรือถ้าวาวกับไอ้เต้จะยอมให้น้อยไปสอนเด็กที่บ้านผมบ้าง ก็คงจะดี” ถึงแม้บริเวณบ้านส่วนหน้าพื้นที่อาณาเขตสิทธิ์ของเขาจะไม่มีสาวใช้อยู่ประจำก็เถอะ แต่ถ้าหล่อนไปจริง เดี๋ยวค่อยให้ฆนินทร์เลขาเขาเกณฑ์พวกลูกน้องคนอื่นๆ มาเรียนเอาก็ได้ หวังเพียงว่าเจ้าหล่อนคงจะไม่สงสัยว่าทำไมเขาถึงให้ผู้ชายร่างบึกๆ มาเรียนทำขนมก็พอ คำว่า ‘หนู’ ทำให้ดาราตรีหน้าม้าน “ได้ที่ไหน ตอนนี้คุณนายเธอติดหลานสาวแจ จะลุกจะนั่งจะนอนเป็นต้องเรียกหายายน้อยให้ลั่นบ้าน ยิ่งตอนนี้ไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย งอแงอย่างกับเด็กเชียว นี่ก็กว่าจะกล่อมให้ยอมกินยาง่ายๆ แล้วหลับไปอีกรอบ เล่นเอาทั้งฉันทั้งยายน้อยเหงื่อตกไปตามๆ กัน” เตรวิชญ์เดินลงบันไดมาพร้อมผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็ก กำลังขยี้แรงๆ บนศีรษะเพื่อซับน้ำจากผมไปด้วยตะโกนคุยกับเพื่อนที่มานั่งรออยู่ไปด้วย “ถ้ามันเหนื่อยขนาดนั้น แกก็คืนวาวมาให้ฉันสิ เดี๋ยวฉันจะดูแลวาวเอง แกจะได้ไม่ต้องทำท่าทำทางเหมือนวาวน่ารำคาญขนาดนี้” คุณเศรษฐ์สวนกลับไปดังๆ เช่นกัน เตรวิชญ์หัวเราะหึ มันก็รู้ว่าเขาพูดไปเล่นๆ เท่านั้น ยังจะหาเรื่องเหน็บแนม เขม่นและแดกดันได้ตลอดเวลา... แต่ไอ้เขาน่ะเลิกถือสาเพื่อนคนนี้มานานแล้ว “เจอก็ดีแล้ว กำลังบ่นกับคุณนายว่าถ้าแกมา จะแนะนำให้รู้จักสมาชิกใหม่ของบ้านอยู่พอดี” พอเดินลงมาถึงชั้นล่าง เจ้าของบ้านเลยนั่งลงข้างๆ อดีตเพื่อนรักที่ตอนนี้แม้จะยังรักกัน ซี้กันเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องให้ใครออกปากเขาก็รู้ว่ามันไม่เหมือนเก่า และห่างไกลจากคำว่า ‘เพื่อนตาย’ เหมือนอย่างแต่ก่อน เพราะรอยร้าวที่เกิดขึ้นมาหลายปียังไม่ถูกผสานจริงๆ จังๆ สักที “สมาชิกใหม่ ?” “ใจจ้ะน้อย” เตรวิชญ์รับจอกชาที่หลานสาวรินให้มาสาดลงคอทีเดียวจนหมด แล้วจึงหันไปให้ความกระจ่างกับเพื่อน “ก็ฉันกับคุณนายรับยายน้อยมาอยู่ด้วยกันที่นี่อย่างถาวรเลย แล้วก็จัดการย้ายทะเบียนบ้านเปลี่ยนนามสกุลมาเรียบร้อยแล้วด้วย เผื่ออนาคตจะทำอะไร ไปไหน จะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องเอกสาร” “เอาลูกเขามา ไม่สงสารพ่อแม่เขาบ้างรึไง” พอได้รู้อย่างนี้แล้วคุณเศรษฐ์รู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยทั่วท้องยังไงก็ไม่รู้ มันคล้ายๆ กับไม่พอใจ หรืออีกนัยหนึ่งก็คืออิจฉา ผู้หญิงที่หน้าตาแบบนี้ ฉอเลาะแบบนี้ กิริยามารยาทน่ามองอย่างนี้ ที่สำคัญ ไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็เห็นความเป็นธรรมชาติอย่างสูงจนมองไม่รู้เบื่อ สุดท้ายก็กลายไปเป็นสมบัติหรือ ‘ของ’ ของไอ้เต้อีกจนได้ “พ่อกับแม่น้อยเต็มใจค่ะ ท่านรู้ว่าน้อยไม่เหมือนลูกสาวบ้านอื่น น้อยไม่ชอบรับราชการอยู่กับบ้าน หรือใช้ชีวิตเรียบง่ายในต่างจังหวัด ที่สำคัญทุนการศึกษาของน้อยตั้งแต่อาวาวแต่งงานจนน้อยจบ ก็เป็นของอาเต้ หนี้สินทุกอย่างของที่บ้านอาเต้ก็จัดการให้ทั้งหมด แม้แต่ธุรกิจเล็กๆ ที่พ่อกับแม่ทำอยู่ตอนนี้ก็ได้เงินทุนจากอาเต้ทั้งนั้น ดังนั้น พ่อกับแม่จึงเต็มใจมากถ้าน้อยจะมาอยู่ที่นี่” เป็นดาราตรีที่อธิบายเองซะยืดยาว “อ๋อ มาเพื่อใช้หนี้เงิน กับหนี้บุญคุณสินะ” “ฮ่าๆ แกก็พูดไปนั่น น้อยอย่าไปถือสาปากเพื่อนอาเลยนะ ไอ้นี่ก็เป็นอย่างนี้แหละ ปากเสีย น้อยเป็นหลานคุณนายก็เหมือนเป็นหลานอาด้วย พ่อน้อยเป็นพี่ชายคุณนาย ก็เหมือนเป็นครอบครัวของอาด้วย เงินทองแค่นี้ขนหน้าแข้งอาไม่ได้ร่วงสักเส้น” “ถ้าตอนนั้นวาวเลือกฉัน ฉันต้องดูแลครอบครัววาวได้ดีกว่าแกตอนนี้เป็นร้อยเท่า” พอดาราตรีได้ยินดอกเตอร์หนุ่มสวนกลับไปแบบนั้นปุ๊บ ก็คล้ายๆ ว่ารอบตัวของผู้ชายทั้งสองคนที่อยู่ต่อหน้าหล่อนเปล่งรัศมีร้อนๆ กับเสียงดังเปรี๊ยะๆ ได้ เชื่อแล้วว่าเรื่องที่ได้ฟังมา ไม่เกินความจริงเลยสักนิด “ก็เผอิญคุณนายเลือกฉันไง แกก็เลยไม่ได้สิทธิ์นั้น” ว่าจะไม่แล้วเชียว สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ “พอๆ เรื่องมันก็ตั้งนานแล้ว ไม่รู้แกจะฟื้นฝอยหาตะเข็บขึ้นมาทำไม อายเด็กมัน เอาละ ไหนๆ น้อยก็จะมาอยู่ที่นี่ถาวร ส่วนมึงก็อย่างรู้ๆ กันอยู่ว่าคิดถึงกูทุกค่ำเช้า ต้องมาเจอหน้าอย่างน้อยอาทิตย์ละสองครั้งเป็นอย่างต่ำ ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการหน่อยก็แล้วกัน” “นี่ดอกเตอร์คุณเศรษฐ์ เพื่อนอา น้อยคงพอเคยได้ยินชื่อ ‘เสีย’ ของมันผ่านหูมาบ้าง น้อยจะเรียกมันว่าดอกเตอร์เศรษฐ์อย่างที่ทุกคนเรียกก็ได้ แต่เพื่อนอาน่ะมีชื่อเล่นว่า คุณ แต่ถ้าไม่สนิทจริงมันไม่ยอมให้ใครเรียกหรอก” เตรวิชญ์ลองแกล้งหยั่งเชิงไปอย่างนั้น “ส่วนสาวน้อยน่ารัก ทำขนมอร่อยคนนี้คือหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของฉันกับคุณนายเอง ชื่อดาราตรี หรือยายน้อย” ดาราตรียกมือกระพุ่มไหว้เพื่อนคุณอาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง คุณเศรษฐ์ไม่สนใจจะรับไหว้ด้วยซ้ำ ทำเพียงยกริมฝีปากขึ้นแล้วมองไปที่คนแนะนำ ไอ้เพื่อนตัวร้ายมันคงคิดว่าเขารู้ไม่ทัน ในเมื่ออยากให้เขาออกปากนักก็ได้ ไม่ขัดศรัทธาหรอก “ดาราตรี... ชื่อเพราะดี เรียกอาว่าอาคุณก็พอ หลานวาวก็เหมือนหลานอา” อาเขยมองหญิงสาวแล้วพยักหน้าให้ “ตามใจคนแก่มันเถอะน้อย ไอ้เรารึก็หวังดี เห็นปกติถือตัวนักหนา คราวนี้ไม่รู้ทำไมมาแปลก” “สำหรับวาวและคนที่วาวรัก ฉันไม่เคยถือตัว” “รวมฉันด้วยหรือเปล่าวะ” คนเป็นต่อชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง จุดประสงค์ก็คือตั้งใจยั่วไอ้สิงโตจอมเกเรตัวนี้นี่แหละ ดาราตรีเชื่อแล้วว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า รวมถึงคนที่หล่อนได้ฟังเรื่องราวคำเล่าลือของเขามาบ้าง รักอาวาวของหล่อนมากมายขนาดไหน ไม่แปลกเลยที่เขาจะยังตัดใจไม่ได้ เพราะดูเหมือนเจ้าตัวเองจะไม่ได้พยายามเลยสักนิด ตรงกันข้าม กลับดูรอคอยที่จะยื้อแย่งอาวาวของหล่อนกลับไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างที่คุณอาเขยเล่าให้ฟัง และอย่างที่หล่อนได้เห็นกับตาในวันนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม