ดาราตรีตัดสินใจลุกลงมาจากเตียงทั้งที่ยังจุกตรงท้องน้อยไม่หาย
“เอาเถอะค่ะ สักวันคนปากร้ายอย่างอาจะเข้าใจในสิ่งที่น้อยพูดเอง”
“แล้วนั่นจะไปไหนไม่ทราบ”
“กลับบ้านค่ะ น้อยไม่อยากเห็นหน้าอาคุณอีกแล้ว พอกันที...ชีวิตที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ กับคนที่เขาไม่รัก ไม่เคยเห็นค่าของเราเลย” หล่อนก้มหน้าแล้วเดินกะโผลกกะเผลกไปที่ประตู
“มันจะอะไรกันนักหนาวะ !” เขารั้งแขนเล็กไว้แรงๆ จนเกือบจะเป็นกระชาก หลังจากสบถเสียงดังลั่น
เพียะ !!!
“อย่ามาหยาบคายกับน้อยนะ” คราวนี้หญิงสาวตะโกนกลับไปบ้าง
ดอกเตอร์หนุ่มกัดฟันกรอด นานเท่าไรแล้วที่ไม่เคยมีใครหรือผู้หญิงคนไหนกล้ามาตบหน้า ต่อให้ดาราตรีจะพิเศษกว่าคนอื่น ก็ใช่ว่าหล่อนจะทำได้ !
ดวงตาคมแดงฉานจนคนมองใจสั่น เส้นเลือดที่ขึ้นเป็นริ้วในดวงตาคู่นั้นทำให้หญิงสาวรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว
คุณเศรษฐ์ยกมือขึ้นช้าๆ ส่วนดาราตรีก็เริ่มตัวสั่นเพราะไม่เคยเห็นคุณอาหนุ่มในมาดที่กำลังจะแปลงร่างเป็นสิงโตดุร้ายมาก่อน
ดาราตรียกมือกระพุ่มไหว้ท่วมอก ถ้าเขาตบหล่อนกลับขึ้นมาจริงๆ คงไม่ใช่แค่เลือดกบปากแน่ๆ
“นี่เราเห็นอาหน้าตัวเมียพอที่จะตบผู้หญิงเลยหรือไง”
ดอกเตอร์หนุ่มกำมือที่ยกขึ้นมาแน่น อาการตัวสั่นงันงกของคนตรงหน้าทำให้ความชาที่แก้มซีกซ้ายของเขาไร้ความรู้สึกได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่จะยังคงเหลืออยู่บ้างก็คือความไม่สบอารมณ์ที่แม่ดาวน้อยคิดว่าเขาจะทำร้ายร่างกายหล่อนได้ลงคอ
มือที่กำแน่นอยู่เริ่มคลายแล้วชี้กลับไปที่เตียงเหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้ ก่อนสั่งเสียงห้วน
“กลับไปรอที่เตียงซะ”
คนสั่งไม่รอให้หล่อนได้ตั้งตัว หรือทำตามที่เขาบอก เพราะเพียงเสี้ยวนาทีที่ดาราตรียังยืนนิ่ง คุณเศรษฐ์ก็ออกแรงดึงหล่อนไปซะเอง
“รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวอาไปเอากล่องยามาทำแผลให้”
คนที่ยังตัวสั่นน้อยๆ เงยหน้ามองเขาได้ไม่ชัดนักเพราะน้ำตาที่คลออยู่เต็มหน่วยตา
“จะมาทำแผลให้น้อยทำไมคะ ที่จริงแค่อาปล่อยน้อยไปก็พอแล้ว... น้อยขอแค่นี้เอง”
คราวนี้ดอกเตอร์หนุ่มหัวเราะเสียงเหี้ยม เมื่ออยากไร้เหตุผลทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตนัก ทั้งที่อะไรๆ ก็โตจนเกินจะเรียกเด็กได้แล้ว เขาก็จะสนองให้สมใจ
“ต้องทำสิ ถ้าเราเป็นอะไรไป อาจะไปสนุกกับใครล่ะ”
หล่อนเบือนหน้าหนีตอนเขาโน้มตัวลงไปย้ำทุกคำชัดๆ ทำให้ตอหนวดแข็งๆ บนใบหน้าคมคล้ามถูไถแผ่วๆ เฉียดไปเฉียดมาอยู่แถวแก้มนวลเลอะน้ำมูกน้ำตา ที่ตอนนี้ดูน่ายั่วน่าแกล้งมากกว่าจะน่าพิศวาส
“คนเห็นแก่ตัว !” ดาราตรีกัดฟันแล้วเปล่งเสียงด้วยความเคืองแค้นออกไป
“เชิญ จะด่าจะว่า หรืออยากแช่งอาในใจก็ตามสบาย บ้าซะให้พอ เอาให้พอใจเลยดาราตรี !”
ดอกเตอร์อารมณ์ร้ายเดินออกไปแต่ยังไม่วายทำให้คนในห้องอกสั่นขวัญแขวนเล่นๆ ด้วยการกระชากประตูปิดจนเกิดเสียงดังสนั่น
“โอ๊ย ! คนใจร้าย”
ร่างบางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดพร้อมบริภาษคนใจโหดมาตลอดหลายนาที ดาราตรีพยายามดิ้นรนเต็มกำลัง แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลนัก เมื่อขาข้างที่ได้เลือดถูกหนีบล็อกไว้แน่น
คนไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้ใครมาก่อนกดสำลีทาทิงเจอร์ลงไปแรงๆ หล่อนพ่นคำต่อว่ามาหนึ่งครั้ง เขาก็จิ้มลงไปที่แผลสดหนึ่งที
“กรี๊ด ! ไอ้คนเฮงซวย”
“เสร็จสักที” ร่างสูงที่นั่งคุกเข่าถอนหายใจออกมาดังๆ
ดาราตรียกเข่าที่น่าจะช้ำมากกว่าเดิมหลายเท่าขึ้นเตียงแล้วพลิกนอนหันหลังให้เขา ขดตัวสะอื้นเบาๆ เหมือนลูกแมวบาดเจ็บในสายตาของคนมองเหลือเกิน
“อย่าเพิ่งนอน ลุกขึ้นมากินยาแก้อักเสบก่อน”
“ไม่กิน น้อยไม่กิน” ตอนนี้หล่อนกินยาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ที่ไหน
“ตามใจ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วแผลอักเสบ อย่ามาร้องให้ได้ยินล่ะ มันน่ารำคาญ !”
“แค่ดอกเตอร์เศรษฐ์กรุณาทำแผลแบบที่เหมือนจะฆ่ากันซะมากกว่าให้ ก็ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงแล้วค่ะ ที่เหลือต่อจากนี้ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมเถอะ น้อยคงไม่ซวยถึงขนาดตายเพราะแผลหกล้มกับคนใจยักษ์ทำแผลให้แค่นี้หรอกค่ะ”
หญิงสาวเรียกชื่อเขาอย่างห่างเหิน เรียกเหมือนอย่างที่คนทั่วไปเรียก ‘ดอกเตอร์เศรษฐ์’
“อืม สงสัยจะไม่ตายจริงๆ ยังปากเก่งได้อยู่”
เสียงฝีเท้าหนักๆ เดินห่างออกไป หล่อนไม่รู้หรอกว่าเขาจะไปไหน จะหลบหลีกไปอยู่ที่อื่นสักพัก หรือรำคาญอย่างที่เขาบอกจนทนใช้อากาศหายใจร่วมกันในห้องของเขาเองไม่ไหว
ลูกบิดถูกหมุนดังแกร็ก และก่อนที่ประตูจะปิดลงอีกครั้ง เสียงอ่อนระโหยแต่ดูเด็ดเดี่ยวก็ถูกเปล่งออกมาท่ามกลางความเงียบ
“ถ้าดอกเตอร์ไม่ยอมให้น้อยกลับ งั้นน้อยขอทวงคำถามที่เคยถามไปหน่อยได้มั้ยคะ” เพราะหลังจากวันนี้ไป หลังจากที่หล่อนได้เห็นธาตุแท้ของคนที่เฝ้ารักเฝ้าคิดถึง มุมมืดที่เขาแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง เวลาที่จะได้เจอกัน คงไม่เหลืออีกแล้ว
“คำถามไหนล่ะ”
“ดอกเตอร์จะเอายังไงกับเรื่องของเรา”
“ก่อนที่อาจะตอบ เราช่วยเลิกงี่เง่าเรียกอาว่าดอกเตอร์บ้าบอนี่สักทีได้มั้ย” เขาไม่เคยอยากเป็นดอกเตอร์เศรษฐ์ของดาราตรีสักนิด ขอเป็นอาคุณแบบเดิมนี่แหละดีที่สุดแล้ว
“ก็ได้ค่ะ แล้วตกลงอาคุณจะเอายังไงกับเรื่องของเรา”
หล่อนไม่ได้สบอารมณ์นักหรอกกับการพูดซ้ำประโยคเดิม ใจความเดิม เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนสรรพนามยังไง ความหมายของมันก็ยังเหมือนเดิม
“อาไม่เห็นว่าจะต้องทำยังไง เราเองก็อายุเท่านี้จะรีบไปไหน...ที่ถามจี้อาแบบนี้อย่าบอกนะว่าน้อยเล่าเรื่องของเราให้วาวกับไอ้เต้มันฟังแล้ว”
“น้อยไม่รู้หรอกนะคะว่าทำไมน้อยถึงบอกเรื่องนี้กับคุณอาทั้งสองไม่ได้ ทั้งที่พวกท่านก็เป็นเหมือนพ่อแม่ เป็นผู้ปกครองของน้อย การที่จะบอกว่าน้อยคบหาถึงขั้นได้เสียอยู่กับใคร ทำไมมันถึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายนัก” มันอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าสิ่งที่คุณเศรษฐ์กลัวและกังวล ไม่ใช่อะไร แต่เป็นใครมากกว่า
วาววิไล... ผู้หญิงหนึ่งเดียวในดวงใจ ที่ไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้
“อาก็ไม่เห็นว่าเรื่องของเรา มันจำเป็นจะต้องป่าวประกาศบอกคนอื่น”
“แต่อาคุณเคยบอกว่าไม่ได้คิดจะเล่นๆ กับน้อย ตอนนั้นอาบอกว่าอาจริงใจ ไม่งั้นน้อยคง...” หญิงสาวพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก เมื่อนึกถึงเรื่องคืนนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน
“ไม่เต็มใจจะนอนกับอา”
เสียงเข้มที่เปล่งประโยคต่อจากหล่อนนั้น ฟังดูเย้ยหยันจนคนฟังใจหาย
“น้อยกำลังจะทำให้อาเข้าใจว่าเราก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่น ที่ยอมอา ที่คบกับอาก็เพราะอยากจะเป็นคุณนายของไอ้ดอกเตอร์เศรษฐ์คนนั้น”
เขายังไม่เคยอยากจะเป็นมันเลย คนที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนดูแลกิจการของครอบครัว... ครอบครัวที่เขาเองแสนจะกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่นึกถึง คนที่ไร้ความปรานี ร้ายกาจ เห็นแก่ตัว เป็นนักธุรกิจผู้เจนจัดในสังเวียน และคนที่สังคมเอาแต่กระทบกระเทียบแดกดัน พูดถึงแต่ละทีก็มีแต่เรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์
แต่ก็แปลก ถึงภาพพจน์ของเขาจะดูไม่ได้ขาวสะอาดนัก ถ้าจะบอกว่าดอกเตอร์คุณเศรษฐ์ นรเสษฐ์นพรัตน์ คือคนที่มีรังสีสีดำทะมึนแผ่ออกมาจากตัวตลอดเวลา ก็คงไม่ผิด แต่หลายๆ คนก็ยังอยากเข้ามาใกล้ และอยากได้เงิน หรือไม่ก็ผลประโยชน์จากเขาอยู่ดี
ดาราตรีทำให้เขาเหมือนเป็นคนใหม่ คนที่วันๆ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ หล่อนสามารถพูดคุยปรับทุกข์ได้ทุกเรื่อง แม้หลายๆ เรื่องหล่อนจะไม่รู้อะไรเลย แต่มุมมองของหล่อนก็ทำให้เขาเห็นอะไรแปลกไป แรกที่พบกัน หล่อนดูมีความคิดเกินตัวเกินอายุไปด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่ทิ้งความสดใส น่ารักสมวัยเอาไว้ มองทีไรก็รู้สึกสดชื่นหัวใจเมื่อนั้น