“ข้าถูกแม่ทัพอาเธอร์ข่มขืนใจ” นางสะอื้นไห้ น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย
“ข้าเสียตัวให้อาเธอร์แล้ว ตอนนี้ข้ากลายเป็นหญิงมีราคี ข้าไม่คู่ควรกับบุรุษผู้มีเกียรติ ขอให้ท่านมองหากุลสตรีที่เพียบพร้อมเหมาะสมกัน และจงลืมข้าไปเสียเถิด”
“ไม่... ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ข้าหมดรักเจ้าได้”
ฮาเดรียนกล่าวตอบด้วยเสียงแหบพร่า เขากอดร่างบางแนบอก พลางก้มลงจุมพิตหน้าผากของนางอย่างอ่อนโยน
“แต่อาเธอร์เป็นญาติผู้พี่ของท่าน”
“ข้าไม่ขอนับญาติกับไอ้คนชั่วที่รังแกผู้หญิงที่ข้ารัก อาเธอร์ดูหมิ่นเจ้าและทำลายจารีตประเพณีอันดีงามของชาววาร์ดิกัน เขาจะต้องถูกทวยเทพพิพากษา”
“ข้าได้แต่ภาวนา ขอให้เขาถูกทหารเวียนนาฆ่าตายอย่างทรมานในสนามรบ”
“กองทัพเวียนนามีกำลังทหารเพียงแค่หยิบมือ สิ่งที่เจ้าวิงวอนคงเป็นไปได้ยาก แต่หากอาเธอร์รอดชีวิตกลับมา ข้าจะเป็นคนเอาเลือดของมันมาล้างเท้าให้เจ้าเอง” เขาปรามาศ
“ข้าไม่ต้องการให้มือของท่านแปดเปื้อนมลทินสกปรก เช่นเดียวกับตัวข้า”
นางกล่าวทักท้วงเขา น้ำเสียงสั่นเครือ
ฮาเดรียนประคองใบหน้างาม เขาใช้ท้องนิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มนวลอย่างอ่อนโยน
“อย่าได้กล่าวโทษตัวเองอีก แม้ว่าท้องฟ้าถล่มแผ่นดินล่มสลาย เจ้าก็ยังเป็นหญิงเดียวที่ข้ารัก”
“ฮาเดรียน...”
แอนนาอีสเงยหน้าขึ้น มองสบตากับชายหนุ่ม เขาแตะนิ้วชี้บนริมฝีปากที่เผยอค้าง ห้ามมิให้นางเอ่ยถ้อยคำทำร้ายจิตใจตัวเองอีก
“เจ้าคือยอดปรารถนาของข้า แอนนาอีส”
ฮาเดรียนก้มลง จุมพิตริมฝีปากอวบอิ่มของนางอย่างอ่อนหวานดูดดื่ม
ภายใต้แสงสีเงินยวงแห่งดวงจันทร์คืนวันเพ็ญ ท่ามบรรยากาศอันร่มรื่นในสวนดอกไม้ สองร่างเบียดกายเข้าหากันอย่างโหยหา
เมื่อไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถนอมความบริสุทธิ์ของหญิงสาวอีกต่อไป ฮาเดรียนก็มิอาจสะกดกั้นความปรารถนาที่มีต่อนางได้อีก แววตาล้ำลึกที่ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้างาม วาวโรจน์ด้วยไฟเสน่หาร้อนแรง
แอนนาอีสระทดระทวยในวงแขนของชายผู้เป็นที่รัก ยอมให้เขาอุ้มนาง พาไปยังด้านหลังแนวสวนไม้พุ่มใบดกที่หนาตา
ฮาเดรียนบรรจงวางร่างบางบนผืนหญ้าหนานุ่มอย่างบรรจง ก่อนจะเคลื่อนกายขึ้นมาคร่อมทับนางเอาไว้ ท่อนขาเพรียวยาวแข็งแรงข้างหนึ่ง แทรกอยู่ระหว่างช่วงขาเรียวงาม
ดวงตาของแอนนาอีสฉายแววตื่นตระหนก นางรับรู้ได้ถึงความแข็งขึงผ่าวร้อนของบุรุษเพศผู้ยิ่งใหญ่ที่เบียดเสียดกับความอ่อนนุ่มบริเวณต้นขา
ฮาเดรียนจุมพิตนางอย่างโหยหาดูดดื่ม เขาเรียกร้องให้นางเผยอริมฝีปาก แล้วสอดลิ้นอุ่นชื้น เข้าตักตวงความหวานของหญิงสาว ทั้งคู่ลิ้มรสชาติและผสานลมหายใจกัน
ชายหนุ่มผู้เพิ่งกลับมาจากสนามรบ เร่งเร้าให้นางแสดงความรักที่มีต่อเขาด้วยภาษากาย
แอนนาอีสแยกขาออก เปิดทางให้เขาแทรกเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่ทั้งคู่แนบร่างเกยทับกันได้อย่างถนัดถนี่ แม้ว่ายังมีอาภรณ์ขัดขวาง แต่ไม่อาจกั้นสัมผัสแข็งร้อนของสัดส่วนกำยำล่ำสันที่กดลงมาตรงแอ่งเว้าของหญิงสาว
ด้วยความใจร้อน ฮาเดรียนถลกชายกระโปรงของแอนนาอีสขึ้นมากองอยู่ที่เอวคอดกิ่ว ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ต้นขาขาวสล้าง เลื่อนสูงขึ้นมาที่เนินนาง
ปลายนิ้วสากแข็งเขี่ยราคะของแอนนาอีสจนลุกโชน น้ำหวานไหลรินล้นออกมาจากใจกลางความสาว ดอกไม้งามเบ่งบานพรั่งพร้อมต้อนรับการมาเยือนของภมรหนุ่ม
“อ๊ะ!” แอนนาอีสอุทาน ร่างอรชรสะท้านเยือก เมื่อเขากดปลายนิ้วบุกรุกเข้ามาในความอ่อนนุ่มรัดรึง ท่อนขาเรียวงามของนางสั่น แก่นใจหญิงตอดรัดรอบความแข็ง
“ยอดรัก ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดแยกเราจากกันได้” ฮาเดรียนกล่าวคำสัตย์
“ข้ารักท่านผู้เดียว ฮาเดรียน...” แอนนาอีสประสานสายตากับชายหนุ่ม ดวงตาคู่งามหวานหยาดเยิ้ม ริมฝีปากเผยอเชิญชวนดูน่าใคร่ไร้เดียงสา
“เจ้าคือหญิงเดียวที่ข้ารัก แอนนาอีส” น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยน แต่หนักแน่นกระแทกหัวใจ
เขาก้มลงจุมพิตริมฝีปากอวบอิ่ม ระดมจูบนางไปทั่วทั้งร่างด้วยความรักใคร่เสน่หา
ทั้งคู่เดินทางมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับเสียแล้ว...
สิบเดือนก่อน...
เมื่อแอนนาอีสอายุครบสิบหกปี เสนาบดีฮาเดสได้จัดงานเต้นรำและงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับบุตรสาวคนเดียวอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเปิดตัวทายาทในตระกูลให้ผู้คนในสังคมรับรู้ เนื่องจากดรุณีวัยงามสะพรั่งในสังคมชั้นสูง ไม่ปรากฏตัวในสถานที่สาธารณะเหมือนหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา
หากจะกล่าวตามความจริงก็คือ เป็นการประกาศให้เหล่าสุภาพบุรุษที่อยู่ในฐานะสังคมเดียวกันรับทราบว่า ลูกสาวบ้านนี้เป็นสาวแล้วนั่นเอง
การปรากฏตัวครั้งแรกของแอนนาอีส ทำให้บรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่มาร่วมงานยืนตะลึง ทุกสายตาจับจ้องมาที่ร่างบางของโฉมสะคราญในชุดเต้นรำสีขาวปักเลื่อมแบบเปิดไหล่ อวดผิวพรรณขาวกระจ่างเนียนใสไร้ใฝฝ้าราคี
ชื่อเสียงความงามหยดย้อยของแอนนาอีส จึงเป็นที่กล่าวขวัญในแวดวงสังคมชั้นสูง นับแต่ครานั้นเป็นต้นมา และเป็นการพบกันครั้งแรกของหญิงสาวกับ ‘ฮาเดรียน’
‘ฮาเดรียน’ คือทายาทของตระกูล ‘คาร์ลสเบิร์ก’ เขาเป็นบุตรชายคนเล็กของท่านสมุหนายก ‘ฮันเตอร์’ กับภรรยาคนที่สอง และเขายังมีพี่ชายต่างมารดาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งวาร์ดิกัน ซึ่งก็คือ ‘อาเธอร์’ นั่นเอง