บทที่ 3
“ธรรมชาติของบุรุษทุกผู้ทุกนามล้วนปรารถนาสตรีร่านราคะที่เชี่ยวชำนาญกามา หากอัตตาในกมลสันดานขัดแย้งความต้องการทางธรรมชาติ
พวกเขายกย่องบูชาหญิงสาวพรหมจรรย์ไร้บาป แต่กลับหมกมุ่นในสรีระเนื้อหนังมังสา เที่ยวเสาะแสวงหาโอษฐกามและหว่างขาที่อ้าโอบรับน้ำรัก ซึ่งพวกเขาถะถั่งออกมายามสำเร็จความใคร่
แท้จริง... กลเม็ดเด็ดพรายที่ใช้มัดใจบุรุษคือการเสแสร้งว่าไม่ประสีประสา แลปรนนิบัติเอาใจทำให้พวกเขาฮึกเหิมในความเป็นชาย ด้วยมารยาสาไถแห่งกามารมณ์อันแยบยล...”
ท่ามกลางราตรีสลัว...
หนุ่มสาวเบียดกายเข้าหากันจนแทบไร้ช่องว่าง ร่างบอบบางสั่นสะท้านอยู่ใต้ร่างหนา เสียงครวญครางแผ่วเบาของนางผสานกับเสียงลมหายใจหนักหน่วงของเขา
บรรยากาศภายในสวนดอกไม้แห่งนั้น อบอวลไปด้วยกลิ่นอายวาบหวามรัญจวน
เมื่อความต้องการล้ำลึกได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ ฮาเดรียนแทบจะฉีกกระชากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ทั้งคู่สวมใส่ด้วยความใจร้อน
ชายหนุ่มระดมจูบนางไปทั่วทั้งสรรพางค์ ความปรารถนาอันร้อนแรงของเขาทำให้ร่างงามอ่อนปวกเปียก แอนนาอีสรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลอมละลายกลายเป็นของเหลว
ฮาเดรียนดันท่อนขาเรียวงามของนางแยกออกจากกันกว้างยิ่งขึ้น ร่างสูงใหญ่หยัดกายนั่งคร่อมร่างบาง ดวงตาวาวโรจน์เพ่งมองดอกไม้งามที่หยาดเยิ้มชุ่มฉ่ำ ความสาวสดน่ากินจนเขาต้องก้มลงไปลิ้มรสน้ำหวาน ที่เยิ้มหลั่งออกมาด้้วยความกระหายหิว ลิ้นสากแข็งเขี่ยคลึงเกสรสวาท เขาเร่งเร้าจนร่างยั่วกามสั่นเทิ้ม
“ฮาเดรียน... ข้าใจจะขาดแล้ว”
แอนนาอีสป่ายมือสะเปะสะปะควานหาที่ยึดเหนี่ยว นางอ่อนไหวต่อสัมผัสของชายหนุ่มอย่างน่าละอาย
ฮาเดรียนกำลังจะทำให้นางคลุ้มคลั่ง ร่างกายของนางวูบโหวงเหมือนลอยคว้างอยู่ในห้วงหฤหรรษ์อันน่าพิศวง แอนนาอีสหอบหายใจกอบโกยอากาศเข้าปอด พยายามระงับรู้สึกเสียวซ่านจนหูตาพร่ามัว
ฮาเดรียนยกศีรษะขึ้น เหลือบมองใบหน้าสวยหวานของหญิงสาว สีสันแห่งอารมณ์ฉายชัดในดวงตาคู่งามที่เขาหลงใหล เสียงร้องครวญครางของนางปลุกเร้าตัณหาชายอย่างยิ่งยวด
เวลานี้ แอนนาอีสเหมือนผลไม้สุกงอมเต็มที่ ร่างยั่วกามบิดเร่าเชื้อเชิญชายหนุ่มด้วยธรรมชาติของสัตว์เพศเมีย นางปรือตามองเรือนร่างแข็งแกร่งกำยำของฮาเดรียนด้วยแววตาร่านร้อน สัดส่วนแข็งเขื่องแห่งบุรุษเพศชี้ตรงมาที่ความสาวของนาง
แอนนาอีสกัดริมฝีปากล่าง ราคะแล่นพล่านไปทั้งสรรพางค์กาย แก่นใจความเป็นหญิงขมิบตอดความว่างเปล่าอย่างกระสัน
ฮาเดรียนดันท่อนขาสั่นระริกของนางแยกออกจากกันเปิดเผยให้เห็นสีสันแดงฉ่ำกลางกลีบเนื้ออวบอูม เขาหายใจเสียงดังฟืดฟาด ท่อนเอ็นเขื่องกระตุกด้วยความอยากตัณหา
สายตาของฮาเดรียนจดจ่ออยู่ที่นาง เขาจ้องมองปลายองคชาติอวบใหญ่ดุนดันเข้าไปในความสาวตาไม่กะพริบ
กลีบเนื้อฉ่ำนุ่มค่อยๆ กลืนกินตัวตนล่ำสันของชายหนุ่ม นางโอบกระชับความแข็งอย่างกระตือรือร้น ภายในตอดตุบๆ รอบลำเอ็นหนั่นหนาไม่หยุด
“โอ แอนนาอีส แอนนาอีส...”
ฮาเดรียนพร่ำเรียกชื่อของนาง ทุกครั้งที่กดน้ำหนักกายท่อนล่างลงบนร่างบาง ความใหญ่โตของเขาอัดแน่นอยู่กลางช่องทางขึ้นสวรรค์
ชายหนุ่มขยับสะโพกสอบ กลึงความแข็งเหยียดขยายนางออกทีละน้อย บางจังหวะกดเน้น เขาได้ยินเสียงกระดูกของนางลั่น
“ฮาเดรียน... ข้าเสียวเหลือเกิน” แอนนาอีสกัดกลีบปากล่าง ครวญครางเสียงกระเส่า
ฮาเดรียนประทับจุมพิตบนริมฝีปากอวบอิ่ม ดูดกลืนเสียงของนาง ความเสียวซ่านปานหัวใจจะหยุดเต้น กดดันให้เขาเสือกกายแกร่งแทงเข้าไปในตัวนางจนมิดลิ่มลำ
แอนนาอีสรู้สึกคับแน่นจนต้องแอ่นสะโพกหนี ทว่าชายหนุ่มตามรุกรานนางอย่างไม่หยุดยั้ง
ฮาเดรียนเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ยามเขาทิ้งน้ำหนักกระแทกกระทั้นใส่แอนนาอีส ร่างของนางแทบจมลงพื้น
ทว่าน้ำหนักและพละกำลังอันมหาศาลของเขาก็ทำให้นางมีความสุขอย่างล้นเหลือ ความรู้สึกคับแน่นสุดแสนเสียวซ่านที่ได้รับจากเขานั้นสาแก่ใจนางยิ่งนัก
ยามเขาถอนกายออกจนสุดขนาด นางถึงกับผวาตาม
แอนนาอีสขมิบกลีบอ่อนนุ่มห่อหุบท่อนเนื้อแห่งความหฤหรรษ์เอาไว้แน่น นางบีบรัดชายหนุ่มด้วยจังหวะรัวแรง ทำให้เขาเสียวจนสติกระเจิง
ฮาเดรียนตอนนี้ เหมือนม้าป่าหลุดจากเชือกนายพราน ชายหนุ่มควบตะบึงใส่นางอย่างบ้าคลั่ง กระแทกกระทั้นจนร่างบางกระเด้งกระดอน
เขาจับแขนเรียวเล็กโอบรอบต้นคอ แล้วถาโถมเข้าหานางด้วยจังหวะเร็วแรงไม่ต่างจากสัตว์ป่าสมสู่กับคู่ของมัน ความโสมนัสที่ได้จากเรือนร่างของหญิงสาวทำให้ฮาเดรียนหลงลืมทุกสิ่ง
เขาครอบครองนางด้วยความโลภ ราวกับชายบ้าตัณหาที่เพิ่งรู้จักรสสวาทครั้งแรก กระทั่งความสุขที่เหมือนวูบแห่งความตาย ผ่าร่างของหนุ่มสาว
สองกายผวากอดรักกันแนบแน่น ทั้งคู่ตกอยู่ในห้วงพิศวาสอันลึกซึ้ง ความรักไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาราวกับทำสวรรค์พังทะลาย
คืนนั้น... กว่าแอนนาอีสจะกล่อมให้ฮาเดรียนยอมกลับได้ นางก็ถูกเขารักจนช้ำไปทั้งตัว
“แอนนาอีส”
เสียงเรียกชื่อของนาง ปลุกหญิงสาวตื่นจากภวังค์ความคิดเหม่อลอย
“ท่านพ่อ” แอนนาอีสลอบถอนหายใจ
“ลูกเปลี่ยนความตั้งใจหรือยัง” เสนาบดีแห่งวาร์ดิกัน เอ่ยถามบุตรสาว
“ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญมากกว่าชีวิตของชาววาร์ดิกัน ลูกไม่วันจะเปลี่ยนความตั้งใจ” แอนนาอีสยืนกราน
“เจ้าเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบเจ็ด แต่เจ้าเป็นคนฉลาดและมีจิตใจที่มุ่งมั่นเสียสละยิ่งกว่าวีระบุรุษทุกคนที่พ่อเคยรู้จัก” ฮาเดสกล่าวชื่นชมบุตรสาว
ตอนที่แอนนาอีสเพิ่งอายุสิบห้าปี ความงามของนางก็ฉายแววโดดเด่นเกินหน้าเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน
เวลาฮาเดสพาบุตรสาวไปพบปะสังคม ผู้คนที่ได้เห็นรูปโฉมของแอนนาอีส ไม่มีใครสามารถมองข้ามนางได้ แม้แต่สตรีเพศเหมือนกัน ความงามบริสุทธิ์ราวกับเทพธิดาของแอนนาอีสสะกดให้ผู้คนยินยอมทำตามทุกสิ่งที่นางเอ่ยปากได้อย่างง่ายดาย
“ลูกยอมพลีชีวิตเพื่อท่านพ่อกับแม่และชาววาร์ดิกัน”
แววตาของแอนนาอีสโชนแสงเหมือนมีเปลวไฟ นางไม่มีวันลืมเหตุการณ์เมื่อสิบสองปีก่อน ภาพมารดาถูกคนชั่วสังหารอย่างทารุณ กลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน
แอนนาอีสไม่อาจอดทนรอจนถึงวันที่เวรกรรมตามทันฆาตกรที่ฆ่ามารดา
“ท่านพลินีให้มาเชิญท่านหญิงแอนนาอีส”
นักบวชหญิงระดับสูงผู้หนึ่งออกมาต้อนรับ
“พ่อจะออกไปรอที่รถม้า” ฮาเดสบอกกับบุตรสาว
“เชิญท่านเสนาบดีกลับไปก่อนเถิด วันนี้ท่านหญิงแอนนาอีสมีบทเรียนที่ต้องฝึกฝนเป็นเวลานาน ทางวิหารขอรับรองว่าจะให้รถม้าพานางไปส่งที่บ้านอย่างปลอดภัย”
ภายในห้องอันศักดิ์สิทธิ์
ร่างสง่างามของนักบวชหญิงระดับสูงสุด ยืนเด่นอยู่ใต้แสงสว่างเรืองของโคมเชิงเทียน
“มานี่สิ” พลินี เรียกให้แอนนาอีสเดินเข้าไปหา และสั่งหญิงสาวถอดเสื้อผ้าออกจากร่างให้หมด
“เจ้าเห็นอะไร ในกระจกบานนั้น” พลินีเอ่ยถาม
“ข้าเห็น... ความเปลือยเปล่าของตัวเอง”
“ประสบการณ์กามากับบุรุษเพียงสองคน ไม่ได้สอนให้เจ้าเรียนรู้สรีระความงามเลยสินะ” นักบวชหญิงยิ้มขัน
“ภาพที่ข้าเห็น คือเรือนร่างบอบบางอ่อนเยาว์ สัดส่วนเต่งตึงเต็มไม้เต็มมือและผิวพรรณนวลเนียนเอิบอิ่ม เจ้าเป็นความเย้ายวนของหญิงสาว แอนนาอีส... สตรีทุกคนจะต้องริษยาหากได้เห็นภาพสะท้อนบนกระจกบานนี้”
พลินียื่นมือมากอบกุมทรวงอกสล้างของแอนนาอีส นางชีผู้มากประสบการณ์ กล่าวอีกว่า
“ใบหน้างดงามของเจ้าสามารถมัดใจชายได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจากพวกเขาเสพสมเรือนร่างของเจ้าจนอิ่มเอม เจ้าจะกลายเป็นเพียงเหยื่อที่ตายแล้ว แต่หากเจ้าใช้เสน่ห์สาวและชั้นเชิงกลกามมัดใจบุรุษ พวกเขาจะตกอยู่ใต้อำนาจของเจ้า”
คำกล่าวของนักบวชหญิงระดับสูงสุดแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทำให้แอนนาอีสยืนนิ่งงัน
สองปีก่อน บิดาพานางมาพบกับนางชีผู้นี้ หลังจากที่นางยืนกรานว่าอยากจะแก้แค้นให้มารดา และทำให้ฆาตกรชั่วได้รับความเจ็บปวดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รัก เหมือนที่มันได้ทำกับครอบครัวของนาง
และพลินี ก็เคยเป็นเหยื่อของฆาตรกรชั่วคนเดียวกัน...
“จำไว้ว่า ความสวยงามบนใบหน้าเป็นเพียงเหยื่อล่อให้บุรุษก้าวเข้าสู่ห้องนอน แต่เรือนร่างที่เปี่ยมล้นเสน่ห์และมารยาสาไถแห่งกามมารมณ์ คืออาวุธอันเป็นกลเม็ดเด็ดพรายที่มัดใจชายให้หลงใหล”