บนถนนการค้าที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนสัญจรไปมา ผู้คนต่างวิ่งบ้างเดินบ้างเพื่อมาชมงิ้วสนุกๆ ที่นานทีจะมีให้ชมสักครั้ง ใครที่รู้เวลาการไต่สวนก่อน ย่อมได้แถวหน้า คนมาหลังย่อมชะเง้อ เขย่งยื่นหน้ามองแม้จะไม่เห็นแต่ก็พยายามอย่างยิ่งยวด
ชายร่างผอมทั้งสองคุกเข่าคอตก ท่านผู้ตรวจการถามอย่างไร เขาทั้งสองก็ตอบไปตามนั้น เสียงสั่นเกรงกลัวต่อศาลย่อมเกิดขึ้นต่อผู้ที่กระทำผิด ทางด้านหนิงไช่กวงนั่งคุกเข่าไม่ไกลจากสองคนนั้น ท่วงท่าที่เคยแลดูสง่าบัดนี้ไร้ราศรีของคุณชายสกุลใหญ่
แม้แต่หนิงเหนียนอานมารดาของเขายังแทบไม่เชื่อว่าภายในคุกจะทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ในใจแม้จะนึกโกรธแค้นบุตรชายแต่อย่างน้อยนางก็ต้องช่วยเขาออกมาให้ได้ บุตรชายเพียงคนเดียวจะดีหรือชั่วก็คือบุตรของนาง หากนางตายไปต้องมีคนจุดธูปไหว้นาง
เสียงท่านผู้ตรวจการประจำเมืองหลวงไต่ถาม แต่หนิงไช่กวงปฏิเสธทุกคำ อ้างว่าตนไม่รู้ไม่เห็นอย่างเดียว ชายร่างผอมทั้งสองโวยวาย ทำให้เกิดการต่อล้อต่อเถียงกัน
"ปังๆ " เสียงทุบโต๊ะเพื่อให้ทั้งสามคนหยุดโต้เถียงกัน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ประพฤติต่อๆ กันมาและมักจะได้ผล คนทั้งสามเงียบเสียงลงทว่าการต่อสู้กลับไม่ลดละ พวกเขาเปลี่ยนการโต้เถียงทางวาจามาเป็นการต่อกรกันทางสายตา
"เชิญคนแซ่สุ่ยเข้ามา" เจ้าหน้าที่เบิกตัวคนแซ่สุ่ยที่ดูแลบ่อนเข้ามา
"เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าเป็นคุณชายหนิง"
"เรียนใต้เท้า ขอแจ้งโดยมิปิดบัง เพราะในวันที่เกิดเรื่องมีเพียงคุณชายหนิงที่ยืนลับๆ ล่อๆ แอบฟังพวกข้าไต่สวนคนร้ายทั้งสอง อีกประการหนึ่งคือ...เอ่อ" เขาหันหน้าไปมองหนิงฮูหยินแวบหนึ่ง ในสายตาที่นางมองกลับไปรู้สึกไม่ปกตินัก จนทำให้นางรู้สึกใจสั่นสะท้านอย่างไรพิกล และนั่นก็เป็นจริงเมื่อคำกล่าวต่อมาทำให้นางฝืนยืนฟังแทบไม่ไหว
"ในตัวคุณชายหนิงมีทรัพย์สินบางส่วนที่เคยมาวางไว้ที่บ่อน ทั้งที่ยังไม่ได้นำเงินมาไถ่คืนในวันที่เกิดเหตุ" หนิงเหนียนอานกำหมัดแน่น สมบัติของตนไปอยู่ที่บ่อนนางอยากจะฆ่าบุตรชายของตนนัก
"ข้าน้อยคิดว่าเพราะคุณชายหนิงติดหนี้กับบ่อนมากเกินไปและไม่สามารถนำเงินมาคืนได้ จึงเลือกใช้วิธีนี้"
"เจ้าจะว่าอย่างไรคุณชายหนิง? " เสียงเอ่ยถามทำให้หนิงไช่กวงทั้งตกใจและหวาดหวั่น กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงท้อง
"ข้าเป็นถึงคุณชายใหญ่ สกุลเล่าก็มีฐานะจะติดหนี้บ่อนการพนันได้อย่างไร อีกอย่างข้าเห็นแสงไฟไม่ไกลจากที่ข้าอยู่ ด้วยความกังขาจึงเดินไปดู เห็นว่าเกิดเหตุไฟไหม้ แต่เพราะข้าเพียงคนเดียวไม่สามารถช่วยเหลือได้ จึงเดินกลับ แต่ไม่คิดว่าข้าไปเห็นคนผู้นั้นกำลังจัดการคนทั้งสองนี้อยู่ จึงหยุดยืนดู ไม่คิดว่าความโง่เขลาของข้าหรือเพราะเป็นผู้ที่มักจะเกรงใจผู้อื่น ข้าจึงซ่อนตัวในมุมมืด การกระทำของข้าเพียงแค่นี้ ใต้เท้าคิดว่าข้าสมควรเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาด้วยหรือขอรับ" ใต้เท้าพิจารณาคำพูดทั้งน้ำเสียงกอปรกับสายตาที่ดูมั่นอกมั่นใจในคำพูด เขาพิจารณาก็จริงดังว่า ใครๆ ในเมืองหลวงต่างก็รู้กันดีว่าหนิงไช่กวงเป็นใคร เงินทองย่อมไม่ขาดมือ ทั้งเหตุการณ์นั้นย่อมมีคนที่ชื่นชอบดูงิ้วเป็นธรรมดา แต่แปลกแต่ตรงที่ว่าเหตุใดต้องหลบซ่อนด้วย
“แล้วเรื่องสมบัติที่คนแซ่สุ่ยแจ้งว่าอยู่กับเจ้า?”
“สมบัติอะไร? อ๋อ! หากเป็นของพวกนั้น” เขาชี้ไปยังหลักฐานที่อยู่กับเจ้าหน้าที่ทางการ ทุกคนมองตามมือของเขา ก่อนที่เขาจะเอ่ย
“ข้าไม่รู้ขอรับว่าเป็นของผู้ใด แน่นอนว่าหากเป็นใครได้มาเห็นสมบัติบางชิ้นตกลงที่พื้น ย่อมมีคนเก็บ หรือว่า? ท่านไม่เก็บ” เขาหันไปทางคนแซ่สุ่ย เอ่ยถามในความเป็นจริงของมนุษย์ย่อมมีความโลภที่เห็นของมีค่า ย่อมเกิดความอยากได้กันทั้งนั้น
“เอ่อ..” ดูเหมือนว่าคำถามนี้สร้างความลำบากใจให้กับเขาอย่างมาก และเขาก็ไม่อาจตอบได้
หนิงไช่กวงยิ้มเยาะในใจ ในที่สุดเขาก็หาทางหลีกหนีหายนะครั้งนี้ได้
"เจ้ามีหลักฐานหรือไม่เจ้าคนแซ่สุ่ย อย่าได้คิดปรับปรำผู้ใดเด็ดขาด" คนแซ่สุ่ยผู้ดูแลบ่อนยังไม่ทันเอ่ย สตรีอีกคนก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมเสียงดังกังวาน "ย่อมมีเจ้าค่ะ" นางเดินมาพร้อมกับเหงื่อที่ไหลข้างขมับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในนางคารวะเต็มพิธี
"ข้าน้อยจื้อซิ่งเหมี่ยนคารวะใต้เท้าผู้ตรวจการณ์เจ้าค่ะ" นางที่ยืนดูเหตุการณ์ด้านนอกอยู่นาน คิดว่าคนของนางคงอับจนด้วยคำพูด และในมือนางก็เตรียมหลักฐานไว้เพื่อครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
"เจ้าอยู่ในเหตุการณ์หรือ? แล้วที่ว่ามีหลักฐาน สิ่งนั้นคืออะไร? " นางยิ้มรับและยื่นกระดาษปึกหนึ่งให้กับเจ้าหน้าที่ที่เดินมารับจากมือนางไป และนำไปมอบให้กับผู้ตรวจการตรวจสอบ เขามองแทบจะไม่น่าเชื่อว่าหนิงไช่กวงติดหนี้สตรีนางนี้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ
"คืนนั้นข้าน้อยทราบมาว่าเหนียนอ๋องช่วยคนของทางการจับคนร้ายด้วย แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคุณชายหนิง" หนิงไช่กวงที่แต่เดิมจะได้หลุดพ้นจากคดี แต่บัดนี้เขามีสีหน้าแปลกใจ และใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นโกรธจนหน้าดำหน้าแดงที่ถูกสตรีนางนี้หลอก
"เจ้า! นางอสรพิษ นางแพศยา เจ้าหลอกข้า" เขาลุกขึ้นหมายจะบีบนาง ทว่าอาสุ่ยยืนขวางไว้เสียก่อนและคนทางการก็เข้ามารีบกันไว้
"คุณชายหนิง ท่านติดหนี้แม่นางจื้อมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? " ผู้ตรวจการเอ่ยถามหลังจากที่เห็นว่าเจ้าหน้าที่เข้าไปกัน เพื่อไม่ให้เกิดความโกลาหล คำถามนี้ทำให้เขาอ้ำอึ้ง
"นางหลอกข้าน้อย นางหลอกให้ข้าเข้าไปเล่นพนันในบ่อน พวกมันโกงข้า หลอกให้ข้าทำสัญญาเงินกู้" คำพูดต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากปากของหนิงไช่กวง
"เรียนใต้เท้า ข้าน้อยขออนุญาตชี้แจงเจ้าค่ะ" ผู้ตรวจการอนุญาต นางย่อกายขอบคุณและหันมาเผชิญหน้ากับหนิงไช่กวงพลางกล่าวเสียงเรียบ
“คุณชายหนิง ถ้าท่านยังจำได้ท่านเป็นผู้เชื้อเชิญข้าน้อยเข้าไปในบ่อน ชวนข้าเล่นแต่ข้าก็เคยเอ่ยไปแล้วว่าข้าไม่ถนัด อีกอย่างคราแรกๆ ที่ท่านเข้าไป ท่านได้เงินจากบ่อนไปหลายต่อหลายพันตำลึง ทางบ่อนก็จ่ายให้โดยมิได้โอดครวญแม้แต่น้อย คุณชายยังกล่าวอีกว่าข้าน้อยเป็นผู้นำโชคมาให้ แม้ข้าจะปฏิเสธท่านยังยัดเยียดความดีให้ข้า
หลังจากนั้นเป็นท่านเองที่เข้าบ่อนและเล่นจนไม่ดูกำลังทรัพย์ของตนเอง ติดหนี้ต้องชดใช้ นี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผล เงินข้าไม่ได้บังคับให้ท่านยืม หนังสือกู้ยืมเงินเหล่านี้ ข้าไม่ได้บังคับให้ท่านลงนามโฉนดจวนสกุลหนิงก็ยิ่งมิใช่ข้าเป็นฝ่ายบอกให้ท่านนำมาค้ำประกัน ประทับรอยนิ้วมือ เพชรนิลจินดาต่างๆ ก็ไม่ใช่ของที่พวกข้าน้อยไปขโมยในจวนของท่าน คุณชายหนิงโปรดเข้าใจ"
"เจ้ามัน!" เสียงทุบโต๊ะดังอีกรอบ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราวขึ้น ทว่าเสียงกรีดร้องของหนิงเหนียนอานดังลั่น
"เจ้าลูกไม่รักดี เจ้าเอาโฉนดบ้านไปค้ำนางโลมชั้นต่ำนั่นด้วยหรอกหรือ" นางวิ่งโร่ไปจิกหัวทุบตีบุตรชายอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่ต้องรีบเข้าไปกัน และลากนางให้ออกมาอยู่ภายนอก แต่เสียงร่ำไห้ของนางผสมกับเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนที่มาชมเรื่องนี้
"ใต้เท้าเรื่องหนี้สินนั้นข้าน้อยพอจะเข้าใจ แต่สิ่งที่คุณชายหนิงกระทำลงไปดูจะรุนแรงเกินไปสำหรับคนทำมาหากินอย่างข้า" ใต้เท้าผู้ตรวจการนึกได้ว่านางคือบุตรสาวคนหนึ่งของกู้ไต้ฝู่ เพราะเห็นเขาเพิ่งเดินเข้ามาในศาลพร้อมบุตรีอีกคนที่มีใบหน้าคล้ายกับคนที่ยืนกลางศาล
"แล้วแม่นางจื้อจะไม่เอาความกับคนสกุลหนิงหรือ? "
"ผิดย่อมต้องได้รับโทษ แต่ก่อนรับโทษข้าน้อยก็ต้องการให้คุณชายหนิงชดใช้โดยการสร้างโรงเรือนหลังใหม่แทนหลังเดิมที่ถูกเผาไป และเงินห้าแสนสามหมื่นตำลึงข้าน้อยต้องการให้ชดใช้คืน ดอกเบี้ยข้าน้อยไม่คิดเพราะถือเสียว่าเป็นค่าจ้างที่คนสกุลหนิงต้องจ้างคนงานมาซ่อมแซมโรงเรือนใหม่ ส่วนเรื่องจวนสกุลหนิงที่คุณชายนำมาค้ำข้ายินดีให้ไถ่คืนภายในเจ็ดวัน หากไม่ได้ข้าน้อยคงต้องขอยึด"
นางกล่าวจบก็พอๆ กับที่เจ้าหน้าที่ตะโกนว่าเหนียนอ๋องเสด็จมา ทำให้เขาแทบไม่เชื่อว่าคดีนี้มีเหนียนอ๋องเสด็จมาเยือนศาลเพื่อฟังคำตัดสินด้วย ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นางเพิ่งเอ่ยว่าเหนียนอ๋องเป็นผู้ช่วยจับคนร้ายให้กับเจ้าหน้าที่ของทางการ
ผู้ตรวจการลุกจากเก้าอี้แต่ถูกเขายกมือห้ามเสียก่อน เขาจึงนั่งในตำแหน่งเดิม
"ข้าแค่มาฟังคำตัดสิน ไม่คิดว่าเมื่อค่ำจะมีโอกาสได้ช่วยแม่นางจื้อจับคนร้าย" ผู้ตรวจการไม่เชื่อหูตนเอง แสดงว่าที่จื้อซิ่งเหมี่ยนกล่าวมิได้โป้ปด การผูกมิตรกับเหนียนอ๋องย่อมดีกว่าเป็นศัตรูกับคนสกุลหนิง
จื้อซิ่งเหมี่ยนหันไปก็เห็นเขายืนอยู่ไม่ไกล และสตรีข้างกายที่ยืนไม่ห่างคือกู้หรูอวี้ นางหรี่ตามอง เขาส่งสายตากลับเพื่อตอบนางว่า
"ข้าไม่รู้เรื่อง ข้าเจอกับนางที่หน้าประตู"
จื้อซิ่งเหมี่ยนเห็นแล้วรู้สึกขัดที่นัยน์ตา จึงหันหน้ามาฟังคำตัดสินของท่านผู้ตรวจการ เห็นเขายังไม่เอ่ยคำใดๆ ออกมา จึงกล่าวย้ำว่าสิ่งที่ตนได้กล่าวมาเป็นความจริง อำนาจที่นางจะได้จากเหนียนอ๋องนี้นางขอใช้สักหน่อยแล้วกัน
“อย่างที่ข้ากล่าวว่าเหนียนอ๋องเป็นพยานให้กับข้าน้อยได้ สิ่งที่ข้าต้องการข้าก็ได้กล่าวไปหมดแล้ว หากท่านใต้เท้ายังต้องการสอบถามถึงเหตุการณ์เมื่อค่ำก็รบกวนถามกับเหนียนอ๋องจะดีกว่า เพราะข้าน้อยมิอาจเล่าได้ละเอียดนัก” ผู้ตรวจการมีสีหน้ากระอักกระอ่วน จนในที่สุดจึงตัดสินออกมา
"ตกลงตามที่แม่นางจื้อต้องการ จับหนิงไช่กวงเข้าคุก ส่วนเงินที่ติดหนี้ให้ส่งทางการไปตรวจสอบที่จวนสกุลหนิง นำเงินมาคืนแม่นาง
จื้อให้หมด ส่วนเรื่องจวนก็ว่าตามที่เจ้าเสนอมา" หนิงเหนียนอานได้สติวิ่งเข้ามาโขกศีรษะ
"ใต้เท้า! ใต้เท้า ได้โปรดเถอะ…ข้าขอร้อง...เมตตาพวกเราเถอะเจ้าค่ะ ปล่อยไช่กวงเถิด ข้ามีบุตรชายคนเดียว…ข้าโขกศีรษะให้ท่านแล้ว…” พูดพลางโขกศีรษะไปด้วย นางเห็นใต้เท้าไม่ตัดสินอะไรจึงคลานเข่าไปยังเหนียนอ๋องหวังให้เขาช่วย จื้อซิ่งเหมี่ยนไม่อยากอยู่ต่อเพื่อชมภาพมารดาคุกเข่าร้องไห้ โขกศีรษะเพื่อขอชีวิตบุตรชาย
"เรื่องนี้แล้วแต่ท่านผู้ตรวจการเห็นสมควร บ้านมีกฎบ้าน เมืองย่อมมีกฎเมือง ข้าน้อยขอทูลลา" นางเดินสวนออกไป ไม่มองสองพ่อลูกและจ้าวยวี่เสียงแม้แต่น้อย มีเพียงโสตประสาทได้ยินเสียงหนิงฮูหยิน
“…ข้าโขกศีรษะให้ท่านแล้ว…ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดเถอะ…โปรดให้ทางรอดกับพวกเราด้วย…”
นางคุกเข่าอยู่ตรงหน้าร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลแทบจะมาบรรจบกัน โขกศีรษะจนหน้าผากแตกเลือดซึม นางร้องไห้อ้อนวอนอย่างเศร้าสลด ในใจของจื้อซิ่งเหมี่ยนรู้สึกหดหู่แต่นางต้องใจแข็ง แม้แต่ชีวิตในอดีตของนางและมารดา เขาทั้งสองยังไม่เคยคิดไว้ชีวิตและวันนี้จะมาขอชีวิตหรือ...นางไม่ให้!
'ในเมื่อก่อนเจ้าเคยกรีดเลือดเนื้อข้าอย่างไม่ปรานี แม้ข้าไม่สามารถนำดาบมากรีดเนื้อเจ้าได้แต่ก็ทำให้บ่อเงินบ่อทองของเจ้าที่บำรุงเลือดเนื้อเหือดแห้งบ้างเป็นไร' นางเดินข้ามธรณีประตูของศาล เสียงชายใบหน้าเปื้อนไปด้วยหนวดเครารุงรังเอ่ยขึ้น
"เจ้าน่าสนใจดีนี่แม่นางจื้อ" นางหันไปมองชายผู้นั้น เห็นแววตาเยือกเย็นส่งมาทางนาง