“ลูกพี่เตารู้เรื่องขบวนเสด็จขององค์หญิงเมืองจินหลิงแล้วหรือไม่” สายข่าวของเก๋อเตาไป่เอ่ยถามขึ้น หลังผูกม้าเรียบร้อยแล้ว
“องค์หญิงเมืองจินหลิงงั้นรึ”
“ใช่ บุตรสาวคนโตของเต้าหัวเมืองฉินฝานหรู คนที่จัดการกับกองโจรพวกพ้องของเรา” เก๋อเตาไป่รู้ดีว่าความเจ็บปวดในอดีตครั้งนั้น รุนแรงแค่ไหน เขาเฝ้ารอโอกาสนี้มาตลอด โอกาสที่จะได้แก้แค้นให้กับพี่น้อง และพวกพ้องโจรภูเขา แม้จะเกิดไม่ทันเรื่องในอดีตที่แสนโหดร้ายนี้ก็ตาม
“ขบวนมันจะใช้เส้นทางใดกัน”
“เห็นว่ามุ่งหน้าชายแดนโช่วจวง เลียบแม่น้ำหยก ทหารคุ้มกันขบวนแน่นหนา องค์ชายรองเป็นผู้นำขบวน” สายของเก๋อเตาไป่รายงานโดยละเอียด เขาสืบเรื่องนี้มาจนแน่ชัด แล้วถึงได้มาบอกกับเก๋อเตาไป่
“ขอบใจเจ้ามากอาฉี แต่ขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะท่านแม่” เด็กหนุ่มพูดกำชับ
“เหตุใดจึงบอกหัวหน้ามิได้เล่า”
“ข้าจะบุกเดี่ยวเข้าไปชิงตัวองค์หญิงผู้นั้น มาให้ท่านแม่ด้วยตัวเอง”
“ลูกพี่ ทำเช่นนั้นเสี่ยงตายเกินไป ข้าไม่เห็นด้วย”
“นี่เจ้ากำลังดูถูกฝีมือข้าอยู่นะอาฉี” คนถูกดุได้แต่ก้มหน้า ถึงจะรู้ว่าเก๋อเตาไป่มีฝีมือมาก แต่ก็รู้เช่นกันว่าทหารจินหลิงและองค์ชายรองนั้นก็ถูกฝึกมาโดยมือปราบกองโจรอย่างฉินฝานหรูเช่นกัน อีกทั้งฝ่ายจินหลิงก็มีจำนวนมากกว่า ความตั้งใจของเก๋อเตาไป่เรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย
หลังรู้เรื่องขบวนเสด็จแล้ว เก๋อเตาไป่ก็เริ่มวางแผน สำรวจเส้นทาง และติดตามดูขบวนอยู่ห่างๆ จำนวนทหารมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้เป็นเท่าตัว เด็กหนุ่มคิดว่าเขาคงจะประเมินความสำคัญขององค์หญิงต่ำไป นอกจากนี้องค์ชายรองผู้รับหน้าที่นำขบวนก็แทบจะไม่ละสายตาจากพี่สาวเลย จนเขาหาโอกาสบุกเข้าไปชิงตัวไม่ได้
โชคดีที่เส้นทางนี้ กว่าจะไปถึงเมืองจูไห่ก็ใช้เวลาอีกหลายวัน และก็เป็นช่วงเดือนแรมพอดิบพอดี อีกไม่กี่คืนแสงจากดวงจันทร์จะมืดสนิท คืนนั้นถือเป็นโอกาสใหญ่ โอกาสเดียวที่เขามี
เก๋อเตาไป่เฝ้าติดตามขบวนเดินทางขององค์หญิงลี่ฮวามาอย่างใจเย็น และยังคงรอโอกาสเหมาะในการจู่โจม เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถปะทะกับกองทหารแบบตรงๆ ได้ด้วยจำนวนที่มากจนเกินไป
“ท่านพี่คิดอย่างไร ถึงได้ไปขอร้องให้ท่านพ่อ ส่งท่านไปเมืองจูไห่ ทั้งที่เราช่วยกันยื้อเวลามาได้ตั้งนานแรมปี” ขณะกำลังรอทหารตั้งค่ายพักแรม ฉินกู่หยงก็ได้เอ่ยถามพี่สาวของตน ถึงเรื่องที่เขาคับข้องใจมาโดยตลอด
“มันถึงเวลาแล้วอย่างไรเล่า ที่พี่จะต้องทำหน้าที่ของตัวเอง” คนเป็นสีสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ฉินกู่หยงมองแววตาที่เศร้าโศกของพี่สาวตัวเองออก
“ท่านหาได้เต็มใจไม่ ท่านแม่คงจะไปบังคับท่านใช่หรือไม่”
“อากู่ เจ้ามิควรพูดถึงท่านแม่เช่นนั้น” ฉินลี่ฮวาตำหนิน้องชาย แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริง
กว่าที่ฉินฝานหรูจะยอมจัดขบวนส่งตัวนางขึ้นมา เขาก็ถามซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่นกัน ว่าคิดดีแล้วหรือ แต่เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกว่าพ่อรักตัวเองมากกว่า ฉินลี่ฮวาจึงได้ยินยันกับพ่อของตนไปว่า เต็มใจที่จะเดินทางไปเมืองจูไห่
“ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายที่ท่านพี่ต้องแต่งงานด้วย เป็นพวกขี้ขลาดตาขาว แค่จับดาบก็ยังไม่กล้า กระต่ายสักตัวก็ยังไม่เคยล่า เช่นนั้นเขาจะปกป้องพี่สาวของข้าอย่างไรได้” ฉินกู่หยงพูดอย่างหัวเสีย เขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้เอาเสียเลย
“จะทำอย่างไรได้เล่า ชะตาได้ลิขิตให้พี่แต่งงานกับเขาเสียแล้ว พี่มีหน้าที่ทำตามคำบัญชาขององค์ฮ่องเต้เท่านั้น”
“แต่ว่า...”
“อากู่...วันหนึ่งท่านพ่อก็ต้องหาคู่ครองให้เจ้า และไม่ว่านางจะเป็นใคร เจ้าก็ควรจะยินดียอมรับนาง” พี่สาวพูดแทรกขึ้น
“ข้าสามารถปกป้องดูแล ผู้ที่จะมาเป็นภรรยาของข้าได้อยู่แล้ว ท่านพี่อย่าได้กังวลไปเลย”
“พี่ก็เชื่อว่าองค์ชายสี่ ก็จะสามารถปกป้องคุ้มครองพี่ได้เช่นกัน” ฉินกู่หยงได้แต่ถอนหายใจ ในเมื่อพี่สาวตัดสินใจแล้ว เขาก็ไม่อาจจะโต้เถียงอะไรได้ เด็กหนุ่มขอตัวออกจากกระโจมของพี่สาว ไปดูทหารว่าทำงานกันถึงไหนแล้ว อีกทั้งเขายังอยากจะออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย หลังจากที่เถียงกับพี่สาวแล้วไม่ชนะ
ดึกสงัดคืนนั้น หลังจากที่แสงไฟในค่ายพักแรมเริ่มริบหรี่ลง มีเพียงไฟกองกลางที่ยังสว่างเจิดจ้าอยู่ เด็กหนุ่มสวมชุดสีดำพรางตัวก็แอบย่องเข้ามาในค่าย และมุ่งหน้าตรงเข้าไปที่กระโจมของฉินลี่ฮวา ก่อนจะเดินเข้ามา เขาได้โปรยผงหว่านราตรีให้ลอยมากับลมก่อนแล้ว ทหารหลายนายที่เฝ้ายามอยู่นอกกระโจมจึงได้หลับใหลกันไปจนหมด เปิดทางให้เก๋อเตาไป่ เข้ามาในค่ายพักแรมได้อย่างง่ายดาย
เขาเดินย่องอย่างระมัดระวังที่สุด เมื่อไปถึงข้างกระโจมพักแรมขององค์หญิงแล้ว ก็จัดการโปรยผงหว่านราตรีเข้าไปข้างในอีกครั้ง เผื่อว่าด้านในมีทหารคุ้มกันอยู่ เขาจะได้ไม่ต้องปะทะกันให้รุนแรง
เก๋อเตาไป่ต้องการจับตัวองค์หญิงกลับไปแบบมีชีวิต เพราะเขาไม่รู้ว่าอี้เหม่ยหลิงแม่ของเขา จะจัดการกับนางอย่างไร และเขาต้องการนำตัวนางไปเพื่อเป็นของกำนัลให้กับแม่ ไม่ได้คิดจะทำร้ายอะไรนาง
ร่างสูงค่อยๆ แอบเข้าไปในกระโจม เขาพบเพียงนางรับใช้นอนสลบอยู่ที่พื้นหน้าทางเข้า และถัดไปเป็นที่นอนปูด้วยฟูกอย่างดี ปรากฏร่างของสาวงามนอนหลับใหลอยู่ เขารู้ทันทีว่าเป้าหมายของตัวเองคือใคร แต่เมื่อมือหนาของเขาแตะเข้าที่ตัวขององค์หญิง ดวงตาคู่งามของนางก็ลืมขึ้นและจ้องมองเข้าด้วยท่าทางประหลาดใจ
“นี่เจ้า...” ไม่ทันที่นางจะได้เปล่งเสียงร้อง มีดพกของเก๋อเตาไป่ก็จ่อเข้าที่คอยาวระหงของนางทันที
“ลุกขึ้นมา แล้วเดินออกไปกับข้าเงียบๆ ข้าไม่ได้อยากจะฆ่าเจ้า แต่ถ้าเจ้าเปล่งเสียงแม้แต่แอะเดียว มีดเล่มนี้ได้ฝังอยู่ในคอน้อยๆ ของเจ้าแน่” คำขู่ที่แผ่วกระซิบของเขา ทำให้ฉินลี่ฮวารู้ในทันทีว่าเขาคือโจร
แต่น่าแปลกที่เขาบุกเดี่ยวเข้ามาเพียงลำพัง ทั้งที่ทหารรายล้อมรอบค่ายไว้จำนวนมาก ไหนจะฉินกู่หยงน้องชายของนางอีก โจรผู้นี้ดูจะไม่ธรรมดาจริงๆ
ฉินลี่ฮวายอมลุกขึ้นจากที่นอน และเดินย่องออกจากกระโจมไปจับโจรชั่วแต่โดยดี ใจหนึ่งนางก็อยากจะหลบหนีอยู่แล้ว หากเจรจากับมันได้ แล้วจ้างวานให้โจรผู้นี้พาหนี ก็อาจจะรอดพ้นจากการแต่งงานในครั้งนี้ได้ หรือหากตกลงกันไม่ได้ ก็คงต้องหาโอกาสหนี แต่ทางเลือกหลังดูจะเป็นไปได้ยาก เพราะหากโจรผู้นี้ไม่มีฝีมือที่เก่งกาจพอ คงบุกเข้ามาจี้นางแบบนี้เพียงคนเดียวไม่ได้แน่