เริ่มต้นใหม่ / 1
บนภูเขาสูงที่เมืองโช่วเยียน ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี ตัดกับสีฟ้าและสีขาว ท้องฟ้าดูเหมือนใกล้เพียงเอื้อมมือไปถึง หมู่บ้านคนเก็บฟืนแห่งนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่มีเพียงกระท่อมเล็กๆ แค่ไม่กี่หลัง ก็เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นและเพิ่มจำนวนมากขึ้น ประชากรก็เพิ่มขึ้นทุกปีทั้งที่อพยพเข้ามาอยู่ และที่กำเนิดขึ้นมาใหม่
“ท่านแม่! ท่านแม่! ข้าได้ม้าตัวใหม่มาจากในหุบเขา มันพยศมากแต่สุดท้ายก็สู้กับข้าไม่ไหว ดูสิข้าขี่มันได้ราวกับเป็นเจ้าของมันเชียว” เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าดังไปทั่ว ทำให้ อี้เหม่ยหลิง ซึ่งกำลังวุ่นอยู่กับการตากปลาที่เพิ่งหามาได้จากลำธารใกล้หมู่บ้านต้องชะงัก
“เก๋อเตานี่เจ้าไปขโมยม้ามาอีกแล้วใช่หรือไม่” สตรีวัยกลางคนพลันลุกยืนขึ้นเมื่อเห็นภาพของเก๋อเตาไป่บุตรชายของตนควบม้าใกล้เข้ามา
เก๋อเตาไป่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะลงจากหลังม้าและตบสีที่ข้างของมันเบา ๆ ม้างามตัวนั้นนิ่งสงบไร้วี่แววจะหลบหนี ราวกับว่ามันกำลังยืนรอนายของมันยังไงยังงั้น ที่เด็กหนุ่มพูดเมื่อสักครู่ เห็นทีว่าจะจริงเสียด้วย ม้านี่มันยอมรับเขาในฐานะเจ้าของแล้วจริงๆ
“ไม่ใช่เสียหน่อยท่านแม่ ข้าไม่ได้ขโมยมันมา ข้าพบมันวิ่งพเนจรอยู่ใกล้หุบเขา ดูท่าจะหลงทาง แล้วก็ดูเหมือนว่ามันกำลังหวาดกลัว ข้าทนไม่ได้หรอกที่จะทิ้งเจ้าม้านี้ไว้ลำพัง ท่านก็รู้ว่าหุบเขาไซอีเสือชุมยิ่งกว่ายุงเสียอีก” เด็กหนุ่มพูดแก้ตัว แต่อี้เหม่ยหลิงก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรเขา นางเพียงแค่สั่นหน้าไปมาเพราะรู้ทันลูกชายจอมเจ้าเล่ห์คนนี้
“แม่ไม่ได้จะห้ามเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะใจร้อนอยู่เรื่อย เกิดเจ้าของม้าตามมาจะทำอย่างไร” อี้เหม่ยหลิงยังคงหากินด้วยอาชีพโจร แต่ใช้ชีวิตอย่างรอบคอบมากขึ้น ด้วยการเอาอาชีพทำไร่และเลี้ยงวัวมาบังหน้า อาศัยอยู่ร่วมกับคนทั่วไปอย่างไม่ได้ปิดบังตัวตน
หมู่บ้านโจรของนางยิ่งใหญ่ตามที่เคยสัญญากับเก๋อจูเหลียนเอาไว้ เด็กที่ถูกส่งไปเป็นทาสที่เมืองหลวงต้าเฉิงถูกลักพาตัวกลับมาอยู่ที่นี่หลายคน
“ข้ายังไม่เคยถูกจับได้สักครั้งเลยนะท่านแม่” เด็กหนุ่มพูดอย่างภาคภูมิใจ
“นั่นก็ดีแล้ว แม่เพียงแค่อยากให้เจ้าระวังตัวก็เท่านั้น อาเตาจำอย่าลืมสิว่าเจ้าจะต้องเป็นผู้นำในภายภาคหน้า ต่อไปหากเจ้าต้องมารับตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านแทนแม่แล้ว ความใจร้อนของเจ้าจะเป็นภัย” อี้เหม่ยหลิงใช้ประสบการณ์ตรงของตัวเองสั่งสอนลูกชายเสมอมา บทเรียนมากมายในอดีตสอนให้นางเติบโตขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ แต่ตลอดเส้นทางที่เดินมานั้น ก็เจ็บปวดอย่างสาหัสจนแทบจะก้าวขาไม่ไหว
“ข้าให้สัญญาว่าจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้ท่านแม่เสียหน้า ทุกคำสั่งสอนของท่านแม่ข้าจะจดจำ และทำตามอย่างไม่ให้ขาด” เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับกำมือข้างหนึ่งทาบไว้ที่อก เขาภูมิใจเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นบุตรชายของหัวหน้าอี้ และไม่เคยคิดอยากรู้ว่าบิดาของตนเป็นใคร เพราะอี้เหม่ยหลิงได้เป็นทั้งบิดาและมารดาให้กับเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
“เจ้านี่มันจริงๆ แล้วแบบนี้แม่จะโกรธเจ้าได้อย่างไร” อี้เหม่ยหลิงว่าพลางส่ายหน้า เด็กหนุ่มจากไปพร้อมกับม้าตัวใหม่ของเขา และลูกสมุนตัวน้อยๆ ที่ตื่นเต้นกับเจ้าม้าสีหมอกตัวงาม ภาพนี้อี้เหม่ยหลิงเห็นบ่อยจนชินตาไปเสียแล้ว
“เหม่ยหลิงเจ้าจะบอกความจริงกับอาเตาเมื่อใดกัน” หญิงชราที่เดินเข้ามาพร้อมกับตะแกรงตากปลาเอ่ยถามขึ้น คนถูกถามหันกลับมายิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะส่ายหน้า แล้วรับเอาตะแกรงตากปลาจากมือของหญิงชรามาถือเอาไว้
“ข้าคิดว่าเขาเป็นลูกข้าจริงๆ ไปเสียแล้วท่านอา” สตรีวัยกลางคนตอบจากใจจริง แต่แม้จะคิดแบบนั้นเรื่องที่เก๋อชุนเมิ่งพูดก็ทำให้นางตระหนักอยู่บ้าง ตลอดมานางไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเก๋อเตาไป่มาก่อน และก็ไม่เคยมีใครบอกกับเขา จนทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจว่านางเป็นแม่แท้ๆ ของเขาไปเสียแล้ว
แม้จะไม่เคยคิดปกปิด แต่หากเขามารู้ทีหลังหรือบอกช้าเกินไป ก็อาจจะทำให้เก๋อเตาไป่เสียใจแน่ๆ
“อย่างไรเจ้าก็ต้องบอกเรื่องนี้กับอาเตานะ ก่อนที่มันจะช้าเกินไป” ถึงเรื่องที่อี้เหม่ยหลิงยินดีรับหลานชายของนาง เป็นลูกแท้ๆ จะเป็นเรื่องดี แต่ความลับนั้นไม่มีอยู่ในโลก สักวันเก๋อเตาไป่ต้องล่วงรู้เรื่องนี้แน่ และหากเขาได้ฟังจากปากของคนอื่น คงจะเจ็บปวดเอาการ นางจึงได้พยายามบอกให้อี้เหม่ยหลิง พูดความจริงกับหลานชายเสียที
“เจ้าค่ะท่านอา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะเป็นคนบอกอาเตาด้วยตัวเอง” หญิงสาวรับปากเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็มิอาจทราบได้ อาจจะเป็นเพราะว่านางไม่เคยคิด ว่าเก๋อเตาไป่เป็นลูกบุญธรรม และมองว่าเขาเป็นลูกแท้ๆ มาตลอด บวกกับยังไม่กล้าพอที่จะบอกความจริง เพราะกลัวเด็กหนุ่มจะเสียใจ
เก๋อเตาไป่เป็นหลานชายของเก๋อจูเหลียน ลูกสาวของเขาหอบลูกมาทิ้งไว้ก่อนจะหนีหายไปทำให้อี้เหม่ยหลิงสงสารและขอรับเก๋อเตาไป๋มาเป็นลูกตั้งแต่นั้นมา
อี้เหม่ยหลิงจ้องมองลูกชายบุญธรรมของนางด้วยความรักและความเข้าใจ ในดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักที่บริสุทธิ์
เก๋อเตาไป่เป็นคนซุกซนและร่าเริงมาตั้งแต่เด็ก ลักษณะนิสัยที่ทำให้อี้เหม่ยหลิงนึกถึงตัวของนางเองสมัยที่ยังอายุเท่ากับเขา อี้เหม่ยหลิงเรียนรู้ว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้งดงามอย่างที่เคยคิดเอาไว้เลย ทุกวันผันผ่านไปอย่างยากลำบากทั้งความรู้สึกผิดที่มีต่อพวกพ้องและครอบครัว
ไหนจะความเป็นห่วงและกังวลเรื่องลูกสาว ป่านนี้ก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง ได้แต่หวังว่าฉินฝานหรูและฉินเก๋อจินจะดูแลเด็กหญิงตัวน้อยของนางเป็นอย่างดี
อย่างน้อยการที่ทิ้งลูกไว้ที่นั่น ก็มั่นใจได้ว่านางจะอยู่อย่างสุขสบาย มีข้าวให้กินอย่างอิ่มหนำ มีที่ให้นอนนุ่มสบาย มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ มีบ่าวรับใช้คอยดูแล ไม่ต้องมาตกระกำลำบากเหมือนกับนางในตอนนี้ แม้จะมีความสุขดีแต่ก็อยากให้ลูกได้อยู่ในวังมากกว่ามาอยู่กลางป่าเขาเช่นนี้