เมืองจินหลิง แคว้นต้าเฉิง
เมืองจินหลิงเติบโตขึ้นมากหลังปราศจากโจร ผู้คนหลั่งไหลกันเดินทางมาค้าขายอย่างคึกคัก ฉินฝานหรูได้รับคำชื่นชมจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก ทั้งยังได้ของกำนัลมากมายอยู่เรื่อยๆ
ขณะที่ฉินฝานหรูกำลังนั่งอ่านรายงานมากมายจากเหล่าขุนนางอยู่นั้น ฮูหยินเก๋อก็เดินเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีร้อนรน
“ถึงเวลาที่เราจะต้องส่งองค์หญิงลี่ฮวาไปเมืองจูไห่แล้วนะเจ้าคะท่านพี่” ฮูหยินเก๋อเดินเข้ามายื่นต่อหน้าสามีของตน และบอกเรื่องสำคัญที่ ฉินฝานหรู เหมือนจะหลงลืมไป ฉินฝานหรูกำลังนั่งอ่านรายงานจากเหล่าขุนนางอยู่ เมื่อฮูหยินเก๋อเดินเข้ามาหา
“ถึงเวลาที่เราจะต้องส่งองค์หญิงลี่ฮวาไปเมืองจูไห่แล้วนะเจ้าคะท่านพี่” ฮูหยินเก๋อกล่าว
ฉินฝานหรูเงยหน้าขึ้นจากรายงานแล้วยิ้มให้ภรรยา เขาไม่ได้ลืมหรอก เพียงแต่ว่ายังทำใจไม่ได้ ที่จะต้องส่งลูกสาวไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
“ใช่แล้วล่ะฮูหยิน ข้าก็นึกถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
“องค์หญิงลี่ฮวาอายุครบ 16 ปีแล้ว นางสมควรที่จะเดินทางไปเมืองจูไห่ เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมของที่นั่น และเรียนรู้การเป็นภรรยาและแม่ที่ดี” ฮูหยินเก๋อกล่าวต่อ นางเองก็เคยผ่านช่วงเวลานี้มาก่อน จึงเข้าใจดีว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงใด
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฉินฝานหรูพยักหน้า และพยายามฝืนยิ้มให้กับภรรยา
“ข้าจะเตรียมการทุกอย่างให้เรียบร้อย ท่านมิต้องกังวลไปหรอก” ผู้เป็นภรรยายังคงไม่ละความพยายามที่จะส่งบุตรสาว ไปยังเมืองของคู่หมั้น และเชื่อว่าด้วยประสบกาณ์ของนาง ที่เคยผ่านมาก่อนจะสามารถจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้
เพราะหากเอาแต่รอฉินฝานหรู ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้ส่งฉินลี่ฮวาไปสักที หรือไม่ก็อาจจะต้องรอไปจนทางนั้นขอถอนหมั้นเสียก่อนก็เป็นได้
“ขอบพระคุณท่านพี่” ฮูหยินเก๋อยิ้มอย่างอ่อนหวาน แต่เพราะอยู่กินกับฉินฝานหรูมานานหลายปี นางจึงรู้ดีว่าหากไม่ตามจี้ สามีของตนก็จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้อีก เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา
นี่ไม่ใช่การเข้ามาเตือนเป็นครั้งแรก แต่ฉินเก๋อจินพยายามเตือนสามีของนาง เรื่องให้ส่งลูกสาวไปเรียนรู้การเป็นภรรยา และเตรียมตัวเข้าพิธีอภิเษกที่เมืองของคู่หมั้น ตั้งแต่ตอนที่ฉินลี่ฮวาอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ จนตอนนี้นางอายุได้ 16 ปีอีกแล้ว แต่ฉินฝานหรูก็ยังไม่มีวี่แววที่จะส่งนางไป
หลังจากที่อี้เหม่ยหลิงหลบหนีไปเมื่อ 16 ปีก่อน แผ่นดินก็สงบสุขขึ้นมาก แต่เจ้าหัวเมืองกลับทำเหมือนจงใจให้นางหนีไป ทั้งที่อี้เหม่ยหลิงเป็นนักโทษประหาร
แม้ว่าฮูหยินเก๋อจะเคยเป็นพันธมิตรกับนาง แต่ก็รู้สึกไม่พอใจนักที่สามีเลือกเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องส่วนรวม
อี้เหม่ยหลิงหนีหายไปได้ราวๆ 3 ปี ฉินเก๋อจินก็กำเนิดบุตรชายให้แก่เจ้าหัวเมืองฉิน แต่เหมือนว่าเขาจะไม่ตื่นเต้นอะไรเลย ปีถัดมาฉินเก๋อจินก็ได้กำเนิดลูกชายคนที่สอง และฉินฝานหรูก็ยังคงทำเหมือนไม่ดีใจดังเดิม เขาทุ่มเทความรักความสนใจไปให้แค่กับฉินลี่ฮวา บุตรสาวคนโตที่กำเนิดมาจากโจรป่า
นางเคยคิดว่าเขาคงจะชอบลูกสาวมากกว่าลูกชาย จึงพยายามมีลูกสาวกับเขาจนกระทั่งสำเร็จ ได้ลูกคนสุดท้องมาเป็นบุตรสาว แต่ก็ไม่วายฉินฝานหรูหาได้ตื่นเต้นอันใดไม่ นางยังจำแววตาของสามีวันที่ได้อุ้มสาวน้อยฉินลี่ฮวาได้ดี มันคือสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ดั่งได้เพชรนิลจินดาล้ำค่า แต่กับลูกที่เกิดกับนางไม่มีเลยสักคนที่เขาจะมองด้วยสายตาเช่นนั้น
แม้ว่าฉินเก๋อจินจะพยายามเข้าใจมาโดยตลอด แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้ คงเป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นภรรยา ต่อให้ไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่ก็อยู่กินกันมานานเกือบ 20 ปี รู้เต็มอกว่าเขายังคงอาวรณ์ถึงแต่แม่นางดอกไม้ป่า ที่แม้จะมีพิษร้ายแต่ก็มีสีที่สวยงามล่อตาล่อใจ และดูเหมือนว่าดอกไม้ป่าต้นนี้ จะหยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของฉินฝานหรู อย่างมิอาจจะถอนมันทิ้งไปได้
“ท่านแม่เป็นอะไรหรือ สีหน้าดูไม่สบายใจเอาเสียเลย” หลังแยกจากฉินฝานหรู ฮูหยินเก๋อก็กลับมาที่ตำหนักของหน้า โดยมิได้เก็บซ่อนความรู้สึกที่แสดงออกบนใบหน้า ทำให้ฉินกู่หยง บุตรชายคนโตของนางเห็นเข้า
“ก็เรื่องส่งพี่สาวเจ้าไปเมืองจู่ไห่นั่นอย่างไรเล่า ท่านพ่อของเจ้าช่างไม่กระตือรือร้นเอาเสียเลย” ผู้เป็นมารดากล่าว พร้อมกับพยายามเก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเอง
“ท่านพ่อคงกังวลเรื่องโจรป่าก็เป็นได้เจ้าค่ะ ทางเส้นนั้นใครก็รู้กันว่าโจรชุกชุมเสียยิ่งกว่าอะไร” บุตรชายกล่าวตามที่เขารู้มา
“หึ ชื่อเสียงของพ่อเจ้าเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ที่ปราบพวกโจรภูเขาของจินหลิงย่อยยับ จนแม่ถูกพระราชทานจากท่านตาของเจ้า ให้มาแต่งงานเป็นมเหสีเคียงบัลลังก์ โจรหน้าไหนมันจะกล้ามายุ่ง หากรู้ว่าเป็นขบวนเสด็จขององค์หญิงจากหัวเมืองจินหลิง”
“เรื่องมันก็ผ่านมานับสิบปีแล้ว ข่าวลือย่อมเลือนหายไปตามกาลเวลา โจรรุ่นเก่าตายตกไป โจรรุ่นใหม่ก็ขึ้นมาแทน พวกมันเกิดมาไม่ทันเห็นความยิ่งใหญ่ของท่านพ่อ เช่นเดียวกันกับข้า มันจะไปคิดเกรงกลัวอะไรกันเล่าท่านแม่” ฉินกู่หยงออกความเห็น
คนเป็นแม่ได้แต่ถอนหายใจ ดูท่าแล้วทุกคนของจะทำตามความต้องการของฉินลี่ฮวากันทั้งสิ้น ปิดหูปิดตาทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะแม่ลี่ฮวาตัวดีออดอ้อนว่ายังไม่อยากออกเรือน
“นางเดินทางไปตัวคนเดียวเสียเมื่อไหร่ พ่อของเจ้าย่อมต้องส่งทหารคุ้มกันขบวนอย่างยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ลี่เอ๋อร์เป็นลูกรักของพ่อเจ้า เจ้าเองก็รู้อยู่เต็มอก” ฉินเก๋อจินพูดขึ้นหมายจะยุยงให้ลูกชายเกลียดแค้นชิงชังพี่สาว เพราะนางบอกความจริงกับลูกไม่ได้ ว่าพวกเขาหาใช่พี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันไม่
“ท่านแม่คิดมากอีกแล้ว ท่านพ่อรักลูกทุกคนเท่ากัน เพียงแต่ท่านพี่ลี่กำลังจะต้องพลัดบ้านพลัดเมือง ก็อาจจะเอาใจมากกว่าลูกคนอื่นไปเสียหน่อย ถึงวันที่น้องหยางต้องไปแต่งงานเช่นเดียวกับท่านพี่ ท่านพ่อก็จะเอาใจใส่มิต่างกันหรอก” ฉินเก๋อจินได้แต่ถอนหายใจซ้ำๆ นางพลาดเองที่เลี้ยงเด็กทั้ง 4 ให้รักใคร่ปรองดองกัน
ไม่ได้คิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะเป็นคนที่เกลียดแค้นชิงชังเด็กหญิงตัวน้อย ที่เลี้ยงมากับมือเสียเอง เพียงเพราะรู้สึกว่า สามีรักนางมากกว่าลูกคนอื่นๆ