บทที่ 4 หัวโขน

2518 คำ
เขาไม่ยอมเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ให้เธอไปคิดเอาเอง ใครมันจะไปคิดได้ ก็คนเมา “ไม่น่าดื่มเลย!” ต่อว่าตัวเองผ่านกระจกเงา เธอกลับมาบ้านตัวเองที่อยู่ไม่ไกล โดยมีคนเป็นพ่อที่ดักรอหน้าบ้าน บิดาบอกว่าคุณปรินทร์โทรบอกตั้งแต่เมื่อคืนว่าตนนั้นนอนที่บ้านหลังใหญ่ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง “ไม่หรอกมั้ง...” ว่าแล้วก็ถ่างขาออกดู ไม่มีความเจ็บอะไรเลย ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเข้ามาข้างใน เธอส่ายหน้าเบา ๆ อีกฝ่ายก็คงอยากแกล้ง เห็นเธอตกใจหน่อยไม่ได้ “หึ่ย! น่าหมั่นไส้!!” มุกดาย่นจมูกแรง ๆ ใส่กระจก ก่อนจะรีบไปอาบน้ำ คนเป็นพ่อบอกว่าวันนี้จะต้องไปดูงานวันแรก เธอรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย ทุกอย่างมันดูเร่งรัดไปเสียหมด ไม่มีเวลาให้เธอเตรียมใจเสียด้วยซ้ำ... เวลาต่อมา... ภายในรถเมอร์ซิเดสเบนซ์คันหรูนี้ มุกดารู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่ต้องนั่งมากับเขา เช่นเดียวกับปรินทร์เองที่คนเป็นพ่อบอกว่าอย่างไรต้องนั่งด้วยกันเพื่อที่จะได้ชิน หลังจากนี้คงได้ทำงานด้วยกันอีกนาน วันนี้เขาแต่งกายด้วยชุดสูทสุภาพสีดำทั้งตัว หล่อเหลาเอาการ ผมก็เซตขึ้นมาราวกับเพิ่งออกจากร้านทำผม แสดงว่าเขาเป็นคนเจ้าระเบียบมากพอสมควร ส่วนเธอ...ผมที่ยาวแถมยังฟูนี้ทำให้เธอรวบผมเกล้าขึ้นเป็นมวยไว้ทางด้านบน สวมชุดกระโปรงเดรสสีฟ้าอ่อน และรองเท้าหุ้มส้นสีเดียวกันอย่างสุภาพ การแต่งกายวันนี้พ่อบุญธรรมสั่งเข้มเลยทีเดียว ก่อนจะออกจากบ้านได้เธอขึ้นไปเปลี่ยนสองสามรอบเลยก็ว่าได้ “สรุปจะไม่บอกจริง ๆ เหรอคะว่าเรา...เอ่อ ไม่ได้มีอะไรกัน” เสียงของมุกดาทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบนี้ ประโยคหลังเธอกลัวว่าคนขับรถจะได้ยินจึงยกมือขึ้นป้องปาก แถมยังยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหูของเขาอีก ปรินทร์รีบเอียงหน้าหนีทันที แต่ยังดีที่ได้ยินหมดแล้ว “_” เขาไม่ได้ตอบ เพียงแค่ยกนิ้วชี้ขึ้นมาดันหน้าผากของเธอให้ออกห่าง ไม่ได้อยากเห็นหน้าเธอเลย ภาพหน้าอกเปลือยเมื่อคืนมันลอยมาบังหน้าเธอทุกที “มะ มองอะไร” ได้ยินเสียงของเธอจึงรู้ตัวว่าเผลอเลื่อนสายตาลงมองหน้าอกของเธอ ภาพเต้าอวบสองคู่หน้าลอยเข้ามาในหัว ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรง ๆ “ฉันรู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่” “_” ปรินทร์หันมามองสาวเจ้าอีกครั้ง สบตากับดวงตาคู่สวยคู่นี้ไม่วางตา “คิด? ฉันคิดอะไร” “ก็...” คิดถึงหน้าอกฉันไง มุกดาเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ใครมันจะไปกล้าพูด หญิงสาวไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดในใจออกมา “หึ เธอคงคิดว่าฉันคิดถึงหน้าอกเปลือยของเธอสินะ” “นะ นี่! ยะ อย่าพูดสิ” เธอเกือบจะยกมือขึ้นตะปบริมฝีปากของเขาแล้ว เกรงว่าคนขับรถจะได้ยิน แต่ฝ่ามือหนาก็ไวกว่า ปรินทร์คว้าหมับที่ข้อมือของสาวเจ้า “หึ...” เขาหัวเราะอีกแล้ว ถึงจะเป็นการแค่นหัวเราะก็เถอะ มุกดาคิดว่าเขากำลังหัวเราะเยาะเธออยู่ “อย่าไปพูดที่ไหนนะคะว่าเมื่อคืนฉันเมาแล้วถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคุณ...อ๊ะ!” มุมดาเผลอพูดเองจนได้ เธอเลื่อนสายตาไปมองกระจกมองหลังของคนขับรถ ก็เห็นว่ามาวินกำลังมองเธออยู่ เขาไม่ได้ตั้งใจแอบฟังเจ้านายพูด ทว่าก็ไม่ได้หูหนวกที่จะไม่ได้ยินอะไรที่น่าสนใจนี้ ...ปรินทร์ส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับความโก๊ะของเธอ เขาเลื่อนสายตาหันไปมองวิวด้านนอกกระจกรถ ปล่อยมือออกจากข้อมือของหล่อน ตอนนี้อยากคิดอะไรเงียบ ๆ เพียงลำพัง ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเงียบนั้นทำให้มุกดาเงียบไปเช่นกัน เธอรู้สึกอึดอัดที่ได้นั่งใกล้เขา มันเหมือนกับมีรังสีอะไรบางอย่างแผ่กระจายออกมารอบกายของเขา ไม่ชินเลยสักนิด ....วันนี้มีคนเป็นจำนวนมากที่สำนักงานใหญ่ธนาคารธนธาดา ซึ่งเป็นตึกสูงมากกว่าสามสิบชั้น ด้านในนั้นมีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด ภายนอกตึกถูกล้อมรอบไปด้วยกระจก เงินภายในธนาคารเป็นแสนล้าน แน่นอนว่าทุกอย่างจะต้องถูกดูแลเป็นอย่างดี เปรมนัตย์พ่อของเขาเรียกผู้ถือหุ้นรายใหญ่มาประชุมใหญ่ในวันนี้ ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ด้วยความที่คนเป็นพ่อนั้นมีอำนาจเหลือคณา ทุกคนต่างยอมรับและเห็นด้วยที่จะให้ปรินทร์นั่งเก้าอี้ประธานบริหาร แม้นว่าเขาจะไม่มีประสบการณ์ ทว่าความเชื่อมั่นที่มีต่อเปรมนัตย์นั้นก็ทำให้ทุกคนยินยอมในที่สุด ทว่า วันนี้หุ้นของธนาคารกลับแดงเถือก นักลงทุนพร๊อพเทรด หรือนักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าโบรกเกอร์ พวกเขาทยอยขายหุ้นของธนาคารนี้ทิ้งกันระนาว ด้วยความไม่ไว้วางใจผู้บริหารคนใหม่ “แดงเถือกเลยครับ” เสียงของเลขาฯ สูงวัยเอ่ยพูดขึ้น ซึ่งมุกดาเองก็ได้ยินคนเป็นพ่อพูด เธอเม้มริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อย ทั้งสี่คนเพิ่งออกจากห้องประชุมกันหมาด ๆ “ข่าวเล่นไวแฮะ” เปรมนัตย์พึมพำด้วยท่าทีสบาย ๆ ไม่เป็นเดือดเป็นร้อน เขาเชื่อว่าเจ้าลูกชายคนนี้จะทำให้นักลงทุนไว้วางใจในอนาคตเอง “แบบนี้ท้าทายดีไหม” “_” ปรินทร์ไม่ตอบคนเป็นพ่อ สภาวะกดดันที่คนเป็นพ่อมอบให้นั้นเขาไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด “ฝากด้วยนะหนูมุก” มุกดาเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เธอไม่เห็นด้วยเลยสักนิดที่จะให้เด็กฝึกหัดอย่างเธอมาทำหน้าที่นี้ อย่างนี้ก็ไม่ต่างจากทิ้งเธอกับคนตัวโตลงเรือ แล้วปล่อยไว้กลางทะเลเลย ...เธอลังเลที่จะเดินตามไปขอคุยด้วย หญิงสาวไม่มีอำนาจในการตัดสินใจหรอก เพียงแต่ว่าอยากบอกว่าตนนั้นไม่พร้อม “เอ่อ ท่านประธานคะ” เธอยังคงเรียกเขาด้วยตำแหน่งเดิม ร่างหนาของเปรมนัตย์ชะงักเล็กน้อย “คือหนูไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำได้ค่ะ” เธอไม่รู้เลยว่าจะเริ่มยังไง จับต้นชนปลายไม่ถูก “ไม่ต้องห่วง ลุงไม่ได้ปล่อยให้พวกหนูสองคนฝึกกันเองหรอก นี่ไงคนช่วย” ใบหน้าเหี่ยวย่นตามอายุพยักพเยิดหน้าให้กับไตเติ้ล พ่อบุญธรรมของเธอเอง “อ้อ คุณพ่อจะยังอยู่ใช่ไหมคะ” “ใช่ คอยจับตาดูน่ะ ให้คำแนะนำ คำปรึกษา” “อย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อย” ว่าแล้วก็ขยับเข้าหาคนเป็นพ่อ สอดแขนเข้าคล้องแขนคนเป็นพ่อไว้ “ดีจังเลย งั้นหนูก็ขอให้พ่อช่วยสอนงานหนูได้น่ะสิ” “มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว” ใครจะปล่อยให้คนไร้ประสบการณ์บริหารทุกอย่างเอง “แต่พ่อคงได้นั่งประจำเก้าอี้ ไปไหนมาไหนไม่ไหวแล้วล่ะ แก่ขนาดนี้แล้ว” “หมายถึงพ่อจะคอยสอนเราที่นี่ใช่ไหมคะ” “ใช่ ในห้องถ้าคุณปริมมีปัญหาเดี๋ยวเขาจะเข้าไปขอคำปรึกษาเอง หึ เดี๋ยวพ่อจะคุยกับคุณปริมเองนะ” “หนูด้วยหรือเปล่า ถ้าทำอะไรไม่ได้ หนูไปปรึกษาพ่อได้หรือเปล่า” “ได้สิ...เอานี่สมุดโน้ตเบอร์โทรของลูกค้า แล้วก็คนที่ลูกต้องติดต่อแทนพ่อ แล้วจะมีคนมาสอนงานลูกอีกที” เธอฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับรับสมุดโน้ตจากผู้เป็นพ่อมาถือไว้ ใบหน้าเล็กอิงแอบซบลงที่ไหล่หนาด้วยท่าทีอ้อน ๆ ได้ยินอย่างนี้ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย คุณท่านเล่นมัดมือชกแบบนี้ คงทำไปเพราะกลัวเขาคนนั้นไม่ทำงานอย่างแน่นอน แต่พอมีพ่อคอยให้ความช่วยเหลือแบบนี้ก็รู้สึกโล่งอกมากเลยทีเดียว ...พอกลับเข้ามาในห้องท่านประธานก็เห็นว่าคนตัวโตกำลังยืนหันหลังให้กับบานประตู มองวิวนอกตึกอาคารนี้ด้วยสายตานิ่งเรียบ เธอไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ “เอ่อ...” มุกดากระแอมเสียงเล็กน้อย กระนั้นเขาก็ไม่ได้หันมามอง ชายหนุ่มมองเห็นเธอผ่านเงาที่สะท้อนบนบานกระจกแล้ว “คุณพ่อบอกว่าท่านจะยังอยู่คอยให้คำปรึกษาคุณค่ะ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลเลยนะคะ” เธอคิดว่าเขาคงกังวลอยู่ไม่น้อย น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยนั้นทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเอี้ยวหันมามอง แต่ก็ไม่ได้เต็มสายตา “เห็นคุณดูเครียด ๆ น่ะค่ะ” “ทำไม” “หืม...” มุกดาครางเสียงในลำคอ ไม่รู้ว่าทำไมต้องถามกลับอย่างนี้อยู่เรื่อย เธอก็แค่อยากบอก ทว่า “เป็นห่วงฉันหรือไง” เธอกะพริบเปลือกตาปริบ ๆ ไม่คิดว่าเขาจะคิดอย่างนี้เสียอีก “ก็รู้สึกไม่ดีน่ะค่ะ เห็นคุณเงียบ ๆ ส่วนฉันก็เป็นลูกน้อง เป็นเลขาฯ ที่จะทำหน้าที่เอาทุกเรื่องมาบอกอยู่แล้วค่ะ” “หึ” หัวเราะก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “เธอคงไม่รู้จักคำว่าหัวโขนสินะ” “หัวโขน?” “เธอคิดว่าพ่อฉันจะให้ฉันมาบริหารงานจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำงานมาก่อนน่ะเหรอ” เธอแปลกใจ ไม่ได้แปลกใจสิ่งที่ได้ยิน แต่แปลกใจที่เขาพูดยาวต่างหาก “หมายความว่าไงคะ” “หึ พ่อฉันก็คอยคุมพ่อเธออีกที แล้วให้พ่อเธอมาบอกฉันไง” เขาว่าพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ ลูกพ่อแท้ ๆ ทำไมจะไม่รู้ว่าคนเป็นพ่อกำลังคิดและทำอะไร “อ้อ อย่างนี้นี่เอง” “เธอไม่ทันคนหรอก เด็กน้อย” “เด็กน้อย?” มุกดากลอกตามองบน ไม่พอใจคำว่าเด็กน้อยที่เขาเอื้อนเอ่ย “ฉันไม่เด็กแล้วนะ!” ว่าเสียงดังพลางเดินอ้อมมาประจันหน้ากับเขา หญิงสาวย่นจมูกใส่หนึ่งที “เธออายุเท่าไร” ถามเสียงเรียบ พลางจ้องมองเธอไม่วางตา “ยี่สิบสอง เรียนจบแล้วด้วย” “หึ ฉันสามสิบหกเป็นพ่อเธอได้ด้วย” เขาสวนกลับทันควัน อายุต่างกันมากเลยทีเดียว แต่ท่าทีของหล่อนไม่มีการเคารพเขาเลย “โห...” เธอเปิดตากว้างเล็กน้อย รู้ว่าเขาอายุไม่น้อยแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ แต่อายุสวนทางกับหน้าตามากเลยทีเดียว ...ชายหนุ่มมองหน้าคนตาโตไม่วางตา เขากะพริบเปลือกตาเพียงแค่ครั้งเดียว ก่อนจะหมุนตัวเดินไปนั่งที่เก้าอี้นวมขนาดใหญ่นี้ คนเป็นพ่อเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว “แล้วโต๊ะทำงานฉันล่ะ อ้อ ต้องอยู่ข้างนอกสิ” ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกห้องทำงานของประธานบริษัท มุกดาพยักหน้ารับเบา ๆ ตรงนี้คงเคยเป็นที่ทำงานของผู้เป็นพ่อมาก่อน “ใหญ่จังแฮะ...” เธอหย่อนสะโพกลงนั่ง ลูบโต๊ะทำงานไม้นี้ราวกับว่ามันเป็นทองคำราคาแพง ไม่คิดว่าตนจะได้ทำงานไวขนาดนี้ มันดูยิ่งใหญ่และก็...ยากที่จะทำได้ “วันพรุ่งนี้ก็ได้เริ่มงานแล้ว ตื่นเต้นจัง” เธอพึมพำออกมาเบา ๆ ใจดวงน้อยรู้สึกหวั่นใจมากเลยทีเดียว แต่แล้ว “สวัสดีจ้ะ...” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังเอาหน้าแนบโต๊ะทำงานอยู่นั้นตกใจสะดุ้งโหยง ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างแรง “คะ!” เธอตกใจ ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับหน้าตื่น ๆ ท่าทีของเธอทำเอาผู้มาใหม่นึกเอ็นดู “ฉันไม่ได้มาทำร้ายสักหน่อย ตกใจอะไรขนาดนั้น” “กะ ก็...แฮะ ๆ” เธอยกมือขึ้นลูบที่ต้นคอแก้เขิน หญิงสาวยิ้มแหย ๆ ด้วยความรู้สึกประหม่า “สวัสดีจ้ะ พี่เป็นผู้ช่วยเลขาฯ ของพ่อหนู” “อ้อ...เอ เหมือนหนูเคยเจอ” “ใช่...พอดี” ผู้มาใหม่ยกมือขึ้นป้องปาก “พี่ไปทำจมูกมาใหม่น่ะ” “ฮะ...อ้อ หนูจำได้แล้ว พี่เอมี่” “ใช่จ้ะ ความจำดีนะเนี่ย” เอมี่เป็นสาววัยทองที่ไม่ยอมแก่ เธอศัลยกรรมดึงใบหน้ามาแล้วหลายหน วันนี้สวยไฉไลด้วยจมูกใหม่ ​ “สวยจนจำไม่ได้เลยค่ะ” มุกดาเดินอ้อมโต๊ะไปคุยกับผู้อาวุโสกว่าดี ๆ “แหม...เอาความจริงมาล้อเล่นอย่างนี้ทุกที บ้าบอ” เอมี่ยกมือขึ้นป้องปาก เอียงใบหน้าเล็กน้อยด้วยจริตจะก้านที่มี ท่าทีเหนียมอายนั้นทำให้มุกดายิ้มกว้างออกมา “หนูพูดจริงค่ะ” “ฮ่า ๆ โอเค ๆ พี่ก็เชื่อคนง่ายเสียด้วยสิ” คำตอบของเอมี่เล่นเอาคนตัวเล็กกว่าหัวเราะร่วน “พอ ๆ ก่อนเนอะ พี่แค่จะมาบอกว่าต่อไปนี้พี่จะเป็นคนสอนน้องเอง” “อ้อ งั้นหนูขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” “ดีมาก” เอมี่เอ็นดูสาวน้อย ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรมของคนที่เธอทำงานด้วยมาหลายปี แต่ท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูนี้ก็ทำให้มุกดามีเสน่ห์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว “แล้วคุณปริมล่ะ” “อ้อ อยู่ข้างในค่ะ เดี๋ยวฉันไปบอกเขาให้นะคะ” เธอกำลังจะเตรียมตัวกลับเข้าไปในห้องทำงานของคนเป็นนาย แต่ก็ถูกห้ามไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อน...มีโทรศัพท์จ้ะ กดตรงนี้ก็คุยกับท่านประธานได้” “อ้อ...จริงด้วย ขอบคุณนะคะ” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปทำตามเอมี่ ทว่าบานประตูห้องทำงานขนาดใหญ่ของท่านประธานก็ถูกเปิดออกเสียก่อน ปรินทร์เดินออกมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ เขาล้วงมือทั้งสองเข้ากระเป๋ากางเกง ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเรียบ “คุณปริม...เดี๋ยวก่อนค่ะ พอดีพี่เอมี่จะมาแนะนำตัวค่ะ” “ไว้แนะนำพรุ่งนี้” เอ่ยพูดโดยไม่ได้หยุดเดิน ชายหนุ่มเดินไปขึ้นลิฟต์ โดยมีคนตัวเล็กวิ่งตามต้อย ๆ เธอค้อมศีรษะให้กับเอมี่เพื่อบอกลา เป็นการเสียมารยาทมากที่เขาไม่ยอมหยุดเดินเพื่อคุยกับพี่เอมี่ “มาทำไม” เขาเอ่ยถามคนตัวเล็ก มองเธอผ่านบานกระจกเงาภายในลิฟต์ขนาดใหญ่ของผู้บริหาร “อ้าว...ฉันเป็นเลขาฯ ของคุณไงคะ คุณไปไหน ฉันก็ไปด้วย” ว่าน้ำเสียงสดใส แต่คนตัวโตไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายด้วย เขาไม่ได้อยากให้เธออยู่ใกล้เลย อยู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกบางอย่างในใจขึ้นมา เป็นความรู้สึกกลัวกระมัง....แต่กลัวอะไรล่ะ เขาให้คำตอบตัวเองไม่ได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม