“ทำไมถึงทำอย่างนี้ครับ” เอ่ยพูดเมื่อเดินห่างจากโต๊ะกินข้าวมาไกลพอสมควร เขามีสีหน้าไม่พอใจเท่าไรนัก
“ทำไมล่ะ เมื่อกี้ก็เหมือนคุยกันถูกคอ”
“ก็มัน...ผมไม่ค่อยโอเคเท่าไร เหมือนว่าพ่อพยายามจับคู่ให้” คนเป็นพ่อกระตุกยิ้มมุมปาก เขาส่ายหน้าเบา ๆ
“ไม่มีความคิดนั้นในหัวพ่อเลย พ่อรู้ว่าการถูกคลุมถุงชนมันรู้สึกยังไง” เปรมนัตย์เองก็เคยถูกจับแต่งงานมาก่อน เขาไม่ได้ต้องการให้ประวัติซ้ำรอย “พ่อแค่อยากให้แกเผชิญกับความจริง อย่าหนีอีก”
“_”
“มันผ่านมานานแล้ว ลืมมันไปแล้วดูแลหนูมุกดาดี ๆ” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ เขาหันไปมองเจ้าของชื่อที่กำลังพูดไม่หยุดกับคนเป็นแม่ “เข้าใจไหม”
“_”
“ปริม”
“ครับ” พอเอ่ยเรียกชื่อย้ำแบบนี้เป็นอันว่าต้องการคำตอบ ณ ตอนนี้ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ชายหนุ่มยอมตอบรับเสียงแผ่วเบา เขารู้สึกลำบากใจ อึดอัดหัวใจ เป็นความรู้สึกในก้นบึ้งหัวใจที่ใครก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ มีแค่เขาที่รู้สึกอย่างนั้น...
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยความครื้นเครง อาหารรวมถึงไวน์ฟรีราคาแพงนี้ใช่ว่าจะมีบ่อย ๆ งานเลี้ยงจึงยังคงครื้นเครงแม้นว่าจะเริ่มดึกแล้วก็ตามที
“มาแล้ว โทษที” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง เป็นเสียงที่เขาเองก็ได้ยินบ่อยครั้ง ชายหนุ่มค่อย ๆ หันไปมองเจ้าของเสียงนี้ เป็นพี่ชายของเขาเอง
“ไม่มาพรุ่งนี้เลย”
“หึ...” ปุณณกันต์หัวเราะให้กับการประชดประชันของน้องชาย หมออย่างเขามีเวลาได้พักหายใจก็ดีมากแค่ไหนแล้ว
“เมียไม่ได้มาด้วยเหรอ”
“มา นั่นไง” ว่าแล้วก็ชี้ให้น้องชายดู เขาไปหาปรินทร์บ่อยครั้งที่อังกฤษด้วยความที่ไม่อยากให้สัมพันธ์พี่น้องดูห่างเกินกันเกินไป ซึ่งทั้งคู่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกัน ต่างกันที่อายุและอีกฝ่ายสวมแว่นก็เท่านั้น
“พ่อแม่ล่ะ”
“ไปนอนแล้ว” ปุณณกันต์พยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนที่เขาจะเลื่อนสายตามองผู้หญิงคนหนึ่งที่ซบอยู่บนโต๊ะอาหาร
“อย่าบอกนะว่า...มุกเหรอ”
“หึ...” ปรินทร์ไม่ได้ตอบ เพียงแค่แค่นหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ เท่านั้น เธอเมาด้วยแก้วไวน์ไม่กี่แก้วเท่านั้น แต่แล้ว
“เสียง!” อยู่ ๆ ก็ผงกหน้าขึ้น ใบหน้าแดงก่ำของเธอทำเอาปรินทร์คว่ำริมฝีปากลงเล็กน้อย “เสียงเหมือนหมอปุณณ์เลย อึก”
“เฮ้...อย่าอ้วกนะ” หมอหนุ่มเลื่อนมือไปประคองใบหน้าสวยของเธอไว้ มุกดาไม่ต่างจากน้องสาวของเขา
“หมอปุณณ์จริง ๆ ด้วย~” ว่าเสียงยานคาง ใบหน้าแดงก่ำ คอก็โก่งเตรียมจะอาเจียนอยู่ตลอดเวลา
“เฮ้อ...ใครเอาให้กินวะเนี่ย”
“ผมเอง...” ตอบหน้าตาย เห็นแล้วก็ตลกดี แถมตอนนี้เธอก็ลุกขึ้นยืนอีกด้วย
“ขอเพลงมันส์ ๆ หน่อยค่า~” ส่งเสียงร้องลั่นกลางงานเลี้ยงที่ยังคงมีผู้คนอยู่ นักดนตรีที่ได้ยินอย่างนั้นก็ตอบรับผ่านไมโครโฟน เตรียมบรรเลงเพลงแดนซ์ให้ตามคำขอ
“มุก! พี่ว่าเรากลับบ้านไปนอนดีกว่า” ปุณณกันต์เห็นท่าไม่ดี เป็นห่วงน้องสาวคนนี้ ทว่า
“ปล่อยไปเถอะ คงเก็บกดน่าดู” ปรินณ์พึมพำออกมาเสียงแผ่วเบา เธอจะทำอะไรก็ได้ เพราะที่นี่ยังเป็นบ้านอยู่ หากไปทำที่อื่นก็คงไม่ดี
“เออ น้องเก็บกดจริง ๆ แหละ” หมอหนุ่มเห็นสาวน้อยลุกขึ้นเต้นแบบไม่ห่วงสวยก็เห็นด้วยกับคำพูดน้องชายจริง ๆ เขาหย่อนสะโพกลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมของมุกดา
“แต่แบบนี้ก็ไม่ไหว” มองทีไรก็อยากจะขำออกมาให้หนัก แต่ก็จะไม่ได้แล้วว่าเสียงหัวเราะของตัวเองเป็นแบบไหน ปรินทร์ทำได้เพียงแค่กระตุกยิ้มบาง ๆ เท่านั้น
“หึ แล้วเป็นไง”
“เรื่อง?”
“อาการ?”
“ถามในฐานะหมอหรือพี่ชาย” ทั้งคู่สบตากัน ความเจ็บทางกายยังมีวันหาย แต่การบาดเจ็บทางใจไม่เคยหายไปจากใจของเขาเลย
“ฐานะพี่ชายสิ กูไม่ได้เป็นจิตแพทย์สักหน่อย” ปุณณกันต์ว่าพร้อมกับยิ้มให้กับน้องชายบาง ๆ
“ก็ดี”
“เหรอ...หมอดูออกนะ”
“หึ” เขาหลุดเสียงหัวเราะออกมา แม้นว่าพี่ชายไม่ได้เรียนเฉพาะทางด้านจิตวิทยามา แต่ก็คงมองออก มองแววตาของเขาออก “ก็ยังมีฝันถึงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยเหมือนแต่ก่อน”
“ดีแล้ว ยังกินยานอนหลับอยู่ไหม”
“เปล่า” ปรินทร์ส่ายหน้าเบา ๆ ให้พี่ชาย “ออกกำลังกายก่อนนอน ก็หลับง่ายเหมือนกัน”
“หึ...” ปุณณกันต์ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา “ออกกำลังกายแน่นะ”
...ปรินทร์ไม่ได้ตอบอะไร รู้กันว่าตนเองนิสัยแบบไหน ถึงจะเงียบขรึมแต่เขาก็ไวต่อเพศตรงข้าม วันไหนนอนไม่หลับก็ต้องออกแรง มีสตรีข้างกายนอนไปเป็นเพื่อนทุกวัน
“อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะ แต่อย่าลืมคิดเรื่องแต่งงานนะ”
“ไม่มีวันนั้นหรอก” เขาไม่คิดแต่งงานหรอก ต่างจากพี่ชายที่แต่งงานมานาน มีลูกแล้วหนึ่งคน
“แต่งงานแล้วมีใครสักคนอยู่ด้วย มีลูกน่ารัก ๆ รอกลับบ้าน มันดีจะตาย” เขาไม่ได้ฟังสิ่งที่คนเป็นพี่กำลังสาธยาย ปรินทร์กำลังมองมุกดาที่ตอนนี้ขึ้นไปบนเวทีแล้ว
“ฮัลโหล ๆ ฮัลโหลทุกคนนนน~~”
“ให้ตายเถอะ” พอหมอหนุ่มจะลุกไปห้าม สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าภรรยาสาวกับลูกกำลังยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ความหึงหวงทำให้เขาอยากเดินไปหาภรรยา มากกว่าไปห้ามมุกดา
“มึงไปห้ามมุกดาที เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อรู้ว่าเธอป่วนงานจะเป็นเรื่องเอา”
“ไม่ล่ะ...” เขายังตอบไม่จบเสียด้วยซ้ำ คนเป็นพี่ก็กุลีกุจอเดินไปหาเมีย “เฮ้อ...หาเรื่องจนได้”
...ว่าแล้วก็ลุกเดินไปหายัยตัวแสบที่กำลังแหกปากร้องเพลงอยู่บนเวที เธอลบภาพสาวน่ารักที่เขามองเห็นในตอนแรกออกไป เหลือเพียงสาวขี้เมาไม่เอาไหน
“มุกดา”
“อื้อ~” เขาเดินขึ้นไปช้อนร่างของเธอขึ้นอุ้ม โดยที่ในมือของสาวเจ้ายังมีไมค์อยู่ หญิงสาวเอาไมค์จ่อปากไม่วาง
“เธอเมามากแล้ว พอแล้ว”
“หล่อจัง...” เสียงจากไมค์โครโฟนดังผ่านลำโพงตัวใหญ่ ได้ยินกันทั้งงาน ชายหนุ่มอยากทิ้งเธอลงพื้นก็ตอนนี้แหละ “มีแฟนยังคะ”
“มุกดา!!” เขาข่มเสียงเข้ม แต่เธอยังไม่หยุด แถมยังยื่นมือข้างหนึ่งมาสัมผัสใบหน้าของเขาอีก
“หล่อจริง ๆ เลย” เขาส่ายหน้าแรง ๆ พร้อมกับก้าวขาเดิน ทำให้ไมโครโฟนที่ต่อสายอยู่กับลำโพงนั้นร่วงลงพื้น เสียงดังตุบสนั่นลำโพง ชายหนุ่มหงุดหงิดไม่น้อย วันแรกก็เล่นงานเขาแล้ว หลังจากนี้ก็ไม่อยากจะคิด
...ชายหนุ่มอุ้มสาวแสบเข้าไปในบ้านของตน วางเธอลงที่โซฟาภายในห้องนั่งเล่น ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อที่จะได้โทรหาพ่อบุญธรรมของเธอให้มารับกลับบ้าน ทว่า
“ร้อนจัง อื้อ~”
แขว่ก~
“เชี่ย...” ชายหนุ่มสบถออกมา เมื่อหันไปเห็นว่าหล่อนกำลังฉีกเสื้อผ้าของตัวเองออก และมันก็ขาดอีกด้วย “มุกดา เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”
“อึก ร้อน ร้อนมากเลย ใครปิดแอร์ เปิดแอร์ให้หน่อย” มือน้อย ๆ ปัดป่ายไปมาบนอากาศ ก่อนที่ปรินทร์จะเก็บโทรศัพท์ไว้ เขาต้องไปหาอะไรมาคลุมให้เธอ
“บ้าชะมัด” เสื้อสูทของตัวเองก็ถอดพาดไว้ที่เก้าอี้ทางด้านนอก ด้วยความที่อากาศประเทศไทยไม่เป็นใจให้ใส่สูทนาน ๆ เขาจึงเสียมารยาทถอดพาดไว้ที่พนักพิงเก้าอี้
...ปรินทร์หันซ้ายแลขวามองหาผ้าดี ๆ มาคลุมให้เจ้าหล่อน หากทิ้งไว้แล้วขึ้นไปเอาเสื้อผ้า คงมีใครมาหิ้วหล่อนไปแน่ ๆ ผิดขาว หน้าอกอวบน่าเจี๊ยะขนาดนี้
“เวรกรรมจริง ๆ” เขาบ่นพึมพำไม่หยุด จากเป็นคนพูดน้อย ตอนนี้กลายเป็นคนขี้บ่นทันทีเมื่อเจอเธอ
“เอาวะ” ปรินทร์ตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นไปนอนที่ห้องของเขา พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าห้องถูกจัดอย่างเป็นระบบระเบียบ มารดาคงให้คนจัดการให้หมดแล้ว
ตุบ!
“อ๊ะ...” มุกดาส่งเสียงร้องขึ้นมาเบา ๆ แม้นว่าเปลือกตาจะปิดสนิทแล้ว เขาโยนเธอลงที่นอนไม่สนใจว่าหลังของเธอจะหัก
“ยุ่งจริง ๆ เลย” ว่าพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ มองเห็นร่างเปลือยท่อนบนของเธอแล้วรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า ปรินทร์ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างบางของเธอไว้
“อื้อ~ ร้อน” กระนั้นคนดื้อก็ยังไม่หยุด หล่อนดึงผ้าห่มออก ทำเอาคนร้อนกว่านั้นถึงกับอยากพ่นไฟออกมา ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองหารีโมตฯ เครื่องปรับอากาศ ก่อนจะเปิดแอร์ให้เธอ เลื่อนมือไปคว้าเอาผ้าห่มที่หล่นบนพื้นนั้นขึ้นมาห่มให้เธออีกครั้ง คราวนี้สาวเจ้าไม่ได้ดึงออก แถมยังหลับปุ๋ยอีกต่างหาก
...ปรินทร์ยกแขนขึ้นกอดอก มองใบหน้าของเธอด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจ หนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เลย
วันต่อมา...
แสงแดดแรกแย้มของวันลอดผ่านช่องว่างบานหน้าต่าง เจ้าของร่างบางที่นอนคว่ำหน้ากับหมอนใบใหญ่นั้นข่มเปลือกตาลงแรง ๆ ความไวต่อแสงของดวงตานั้นทำให้เธอรู้สึกตัวตื่นจากการหลับใหล ก่อนที่ความทรงจำเมื่อคืนจะหลั่งเข้ามาในหัว
“กรี๊ดดด!!!” เธอส่งเสียงร้องดังลั่น ภาพในหัวเหมือนกับภาพสโลโมชัน ที่ค่อย ๆ หลั่งเข้ามาอย่างช้า ๆ มากไปกว่านั้นความรู้สึกว่างเปล่าที่ท่อนบนก็ยิ่งทำให้ตกใจไปกันใหญ่ แถมห้องนี้ยัง...
“นะ นี่มัน...” เธออ้าปากพะงาบ ๆ ด้วยความตกใจ ผุดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ หัวของเธอฟูฟ่อง มุกดาจำได้ว่าห้องนี้เป็นของใคร เพราะตอนเด็กซนชอบวิ่งเข้ามาเล่นบ่อย ๆ แต่แล้ว
แกร็ก~
บานประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ร่างหนาในสภาพเปลือยท่อนบนนั้นเดินออกมาพร้อมกับผมที่เปียกโชก เขายื่นมือไปคว้าเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดผม มองคนที่ตกตะลึงงันบนที่นอนด้วยแววตาและสายตานิ่งเรียบเช่นเดิม
“กรี๊ดดดด!!” ชายหนุ่มรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เขาไม่คิดแก้ต่างเลยสักนิด อยากแกล้งให้เข็ดที่เมาไม่รู้เรื่องแบบนี้ ถ้าไปเมาที่อื่นมีหวังถูกลากไปข่มขืนเป็นแน่ โชคดีที่ตนนั้นเป็นคนดี ปรินทร์คิดเข้าข้างตัวเองในใจ
“คะ คุณ! อึก ฉะ ฉวยโอกาสเหรอคะ อึก ทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ถามตัวเองเถอะว่าทำอย่างนี้ได้ยังไง” เขาสวนกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ นิ่งราวกับน้ำนิ่งไหลลึก ไร้การตะคอกโฮกฮาอย่างที่ควรจะเป็น
“ทะ ทำอะไรคะ ใครทำอะไร”
“_”
“ฉะ ฉัน...ข่มขืนคุณเหรอ” เธอว่าพร้อมกับเบิกตากว้าง มีความเป็นไปได้ที่ตนจะสติหลุดจนทำเรื่องน่าอายออกไปแบบนั้น มุกดาตกใจเบิกตากว้าง ส่วนคนตัวโตก็ขำพรืดเลยทีเดียว
“ฮ่า ๆ” ชายหนุ่มหัวเราะ เขากลั้วขำกุมหน้าท้อง รู้สึกว่าเธอมีความคิดพิลึกพิลั่น ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าตัวเองขำแรงไป และที่สำคัญไม่ได้หัวเราะแบบนี้นานแล้ว...