บทที่ 5 ตามใจ

2610 คำ
อวสานการนั่งรถเล่นในกรุงเทพฯ อยู่ ๆ ก็เกิดอยากนั่งรถมองดูวิวข้างทาง ทว่ารถยนต์กลับมาติดแหง็กกลางถนนเสียอย่างนั้น “ไม่ถามฉันก่อนล่ะคะว่ากรุงเทพฯ มันน่านั่งรถเล่นไหม” เสียงของคนข้างกายดังไม่หยุด เธอเองก็ขยันพูดเสียจริง เสียงแจ้ว ๆ นี้แม้นจะดูน่ารำคาญ แต่เขาก็ไม่ได้สั่งห้ามให้เธอหยุดพูด “เวลาตอนสี่ทุ่ม ห้าทุ่มนู่นแหละรถถึงไม่ติด” “ทำไมรู้” เขาหันไปมองเธอ ใบหน้าเล็กวันนี้ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมเพียงเล็กน้อย เธอตบแป้งบาง ๆ ปัดบลัชออนสีชมพูจาง ๆ และลิปสติกสีชมพูวาววับ “ก็...ฉันชอบนั่งรถเมล์เล่นค่ะ” “ทำไม” มุกดาหน้ามุ่ย เอาแต่ถามว่าทำไม เขาเป็นคนแก่ขี้สงสัยหรืออย่างไรกัน “ทำไม ทำหน้างั้น” แหนะ...เอาอีกแล้ว “ก็ชอบนั่งรับลม คิดอะไรเพลิน ๆ ค่ะ” “ไม่อันตรายหรือไง” “ก็...ก็” “ไม่มีคนรู้สินะ” ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง ถ้ามีคนรู้ว่าเธอชอบนั่งรถเล่นดึก ๆ คงไม่ให้ไป มุกดาเป็นเด็กในการปกครองที่ทั้งครอบครัวเขา และครอบครัวบุญธรรมของเธอต่างต้องดูแลเป็นอย่างดี “อย่าไปบอกใครนะคะ” เธอบกมือขึ้นป้องปาก เพราะรู้ถึงความเป็นห่วงของคนที่บ้านมีต่อเธอ หญิงสาวไม่อยากให้พวกเขาคิดมาก “หึ ดื้อจริง ๆ เลย” เขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทำเอาคนที่มองอยู่ชะงักไป มุกดาเม้มริมฝีปากเข้าหากัน อยู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา เธอรู้สึกแปลก ๆ ในใจกับรอยยิ้มของเขา เลยเลือกที่จะเงียบ แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นร้านขายขนมจีน “โอ๊ะ อยากกินจัง” เธอพึมพำออกมาเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้เบาจนคนข้างกายไม่ได้ยิน ชายหนุ่มชะโงกหน้าตาม “ขนมจีนเหรอ” “ใช่ค่ะ หิวไหมคะ” เธอหันมาทำตาแป๋วให้เขาเห็นใจ ด้วยความที่วันนี้ยังไม่ได้กินอะไร ส่วนเขาเองก็ไม่ได้ทานอาหารไทยรสชาติดั้งเดิมมานาน ชายหนุ่มหันไปบอกคนขับรถ “เดี๋ยวฉันกับมุกดาจะลงตรงนี้” “เอ่อ...” มาวินหันมองซ้ายมองขวาให้คนเป็นนาย เกรงว่ารถจะมาเฉี่ยวเอาได้ “ลงได้ครับ ระวังรถด้วยนะครับ” “โอเค” เขาตอบรับก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ เช่นเดียวกับคนตัวเล็ก แต่เธอกลับเปิดอีกฝั่ง “ทางนี้สิ!” เขาขึ้นเสียง มุกดาตกใจรีบหันขวับ กระเถิบก้นไปอีกด้านหนึ่ง “ฝั่งนั้นมีรถวิ่งตลอด ไม่เห็นหรือไง” “เห็นค่ะ แต่ว่าไม่คิดว่าคุณจะเปิดประตูให้นี่” เธอว่าเสียงอ่อน พลางก้มหน้าลงด้วย ไม่กล้าสบตาแววตาไม่พอใจของเขาเลย “ทีหลังระวังหน่อย เป็นเด็กสองขวบหรือไง” ว่าแล้วก็เลื่อนมือลงทางด้านล่าง สัมผัสแผ่วเบาที่ฝ่ามือของเธอ กระตุกเบา ๆ ให้หล่อนเดินตามหลัง ส่วนคนที่ถูกจับมือโดยไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นก็ตกใจ ตาโต เธอมองมือของเขาไม่วางตาเลยทีเดียว ใจเต้นแรงชะมัด หญิงสาวพึมพำเบา ๆ เธอไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้เลย เขาเป็นเจ้านาย แถมยังเป็นลูกของผู้มีพระคุณของเธออีก แบบนี้ไม่ดีแน่ พรึ่บ! พอเดินมาถึงฟุตพาท เรียวแขนเล็กก็สะบัดอย่างแรงให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา “อะไรของเธอ” ปรินทร์ขมวดคิ้ว มองใบหน้าสวยใสนี้ด้วยคำถาม ก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อเห็นแก้มแดงแปร๊ดของหล่อน “คิดว่าฉันพิศวาสเธองั้นสิ” “ปะ เปล่านะ” “หึ บ๊องเอ๊ย...” “อ้าว~” ยืนอยู่เฉย ๆ ก็โดนด่า พอจะท้วงอีกฝ่ายก็เดินไปที่ร้านขายขนมจีนแล้ว “รอด้วยสิ” ...มุกดาแปลกใจไม่น้อย หนุ่มเมืองนอกอย่างเขาสามารถกินข้าวข้างถนนได้ด้วย ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้พลาสติกสีแดง ที่หลายคนมักเห็นตามโต๊ะจีน “เคยกินเหรอ” “แน่สิ ฉันเกิดก่อนเธอกี่ปี” “ค่ะ...คนมีอายุ” เธอย่นจมูกใส่เขาไปหนึ่งที ส่วนคนที่ถูกพูดใส่นั้นชะงักเล็กน้อย หล่อนกำลังแอบด่าเขาทางอ้อม หรือด่าว่าเขาแก่ตรง ๆ กันแน่ แต่พอจะสวนกลับ... “รับอะไรดีจ๊ะ พ่อหนุ่มสุดหล่อ” เสียงของแม่ค้าก็ดังขึ้น ชายหนุ่มพอได้ยินคำว่าสุดหล่อก็เกิดเสียอาการขึ้นมา เขากระแอมเสียงเล็กน้อย “น้ำยากะทิครับ” “ด้วยคนค่ะ” มุกดารีบพูด เธอส่งยิ้มให้กับคนตัวโตที่หันมามอง ไม่รู้ว่าเขามองอะไร “กินตามฉัน?” “เปล่าสักหน่อย” เธอส่ายหน้าเบา ๆ เอะอะก็คิดเข้าข้างตัวเองตลอด ปกติเธอก็กินของเธอย่างนี้ ...ปรินทร์เงียบ เขาไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่นั่งพิงพนักพิงพลางยกแขนขึ้นกอดอก ชายหนุ่มมองหน้ามุกดาที่นั่งฝั่งตรงข้ามไม่วางตา เธอโตขึ้นมากเลย “ฉันเคยเจอเธอตอนเธอหนึ่งขวบ” ริมฝีปากหนาพึมพำพูด ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะโตเร็วปานนี้ “อ้อ ทำไมคุณถึงย้ายไปต่างประเทศล่ะ” ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย เขาสบตากับเจ้าของคำถาม พลางส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ต้องอยากรู้หรอก” “อ้าว...เรื่องแค่นี้เอง” มันไม่ใช่แค่นี้หรอก ปรินทร์คิดในใจ ถ้ามันเป็นเรื่องแค่นี้เขาจะไม่ไปต่างประเทศเลย จำได้ว่าตนโดดเดี่ยวแค่ไหนตอนไปเรียนคนเดียว ถ้ามันง่ายมาก เขาไม่ไปหรอก “หรือว่าคุณทะเลาะกับหมอปุณณ์คะ” “หึ อันนั้นทะเลาะตลอด” มุมปากหนายกขึ้นเบา ๆ เขาทะเลาะกับพี่ชายบ่อยแค่ไหนไม่เคยลืม “ไปเรียนแหละ ไปเรียนทำไมไม่กลับมาเลยคะ ฉันไม่เคยเจอคุณเลย” แม้นเขาจะบอกว่าเคยเจอเธอตอนหนึ่งขวบ แล้วยังไงต่อ เธอยังจำความไม่ได้เลย “ทำไมเธอต้องอยากเจอฉันล่ะ” เขาเอ่ยพูดพลางขมวดคิ้ว ส่วนคนถูกไล่ต้อนก็สายตาเลิ่กลั่กทันที หญิงสาวกะพริบเปลือกตาปริบ ๆ นั่นสิ...เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดออกไปแบบนั้นทำไม “ก็แค่รู้สึกแปลกใจค่ะ” เธอฉีกยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่สามารถมองเห็นฟันซี่สุดท้ายนั้นทำให้เขานิ่งไปหลายวินาทีเลยทีเดียว มุกดามีรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความน่ารัก “โอ๊ะ...มาแล้ว” แต่เสียงเรียกของเธอก็ทำลายความคิดของเขาไป ชายหนุ่มมองถ้วยขนมจีนน้ำยากะทิตรงหน้า เลื่อนสายตามองชามของเธอเช่นกัน “ไม่กินเหรอคะ” “กินสิ” “แล้ว?” “รอเธอกินก่อน” มุกดาไม่เข้าใจ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ อยู่ ๆ ก็อยากให้เธอกินก่อน คงเป็นเพราะอยากดูเธอกินล่ะมั้ง “พิลึกคน” “ฉันได้ยิน” ชายหนุ่มเอ่ยพูดเสียงแผ่วเบา เธอคิดแค่ว่าเขาหูหนวกหรือกระไร “รีบกิน” “ก็กำลังกินอยู่นี่ไงคะ” ว่าแล้วก็ตักเส้นขนมจีนเข้าปาก ผมเผ้าที่ยาวแถมยังศกนี้ก็พยายามจะเข้าปากมาด้วย มุกดารวบผมไว้ทางด้านข้าง เผยต้นคอระหงขาวสวย ปรินทร์มองไม่วางตาเลยทีเดียว ...พอเห็นเธอเคี้ยวตุ้ย ๆ ก็พอใจ ชายหนุ่มค่อย ๆ ม้วนเส้นขนมจีนกินเช่นกัน เขาค่อย ๆ กิน ส่วนเธอนั้นมูมมามอย่างกับเด็ก ซู้ดเส้นขนมจีนเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย “อร่อยมากเลยค่ะ” “_” เขาพยักหน้าเห็นด้วยเบา ๆ ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกมองแล้วไม่น่าเบื่อ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงน่ามองมากขนาดนี้ก็ไม่รู้ ...ชายหนุ่มนั่งกินขนมจีนเงียบ ๆ โดยที่มือเล็ก ๆ คอยหยิบทิชชูให้ แถมเธอยังเติมผักให้เขาไม่หยุดอีก “กะจะให้กินแต่ผักหรือไง” “มันอร่อยนะคะ ใบแมงลักเนี่ย” ว่าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ไม่รู้ว่าทำในฐานะของเลขาฯ หรือทำในฐานะอะไรก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าอยากเทคแคร์เขา ...เวลาผ่านไปไม่นานชามทั้งสองก็เกลี้ยง ปรินทร์มองคนตัวเล็กที่ยังคงซดน้ำยาอยู่ เธอทำให้เขามองไม่หยุดเลยทีเดียว “โทรหามาวิน ไม่รู้ไปจอดรถไว้ไหน” เขาออกคำสั่ง เธอเองก็เพิ่งได้สมุดโน้ตเล่มเล็ก ๆ มาจากพ่อตัวเอง ไม่รู้ว่าในนั้นมีเบอร์โทรหรือเปล่า “สักครู่นะคะ” เธอลนลานหาสมุดโน้ตในกระเป๋า ส่วนเขาก็ยกมือเรียกแม่ค้า ชายหนุ่มจ่ายเงินให้เสร็จสรรพแต่คนตัวเล็กก็ยังหาสมุดโน้ตไม่เจอ “ให้ตายสิ ไม่ได้หยิบมาด้วยแน่เลย” จำได้ว่าคนเป็นพ่อยื่นให้ แล้วเธอก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา หลังจากนั้นก็มานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง คงเผลอวางไว้ไม่รู้ตัว “ทำไม” “เอ่อ ลืมค่ะ” “หือ?” “ก็คือว่าลืมไว้ที่บริษัท” ว่าเสียงเศร้า ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาเท่าไรนัก “แล้วคุณมีหรือเปล่า” “ฉันเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ” “อ้อ จริงด้วย แฮะ ๆ” เขาส่ายหน้าเบา ๆ ปรินทร์ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะกดโทรหาบิดาของเธอเพื่อให้เรียกคนขับรถให้ ทว่า “โอ๊ะ! มีร้านกาแฟค่ะ เราเข้าไปนั่งเล่นข้างในรอให้คุณมาวินมาดีไหมคะ ยังไงคุณมาวินก็รู้ว่าเราอยู่ที่นี่” ว่าเสียงสดใส ท่าทีของเธอไม่ใช่แค่อยากเข้าไปนั่งรอฆ่าเวลา แต่หล่อนอยากไปนั่งเล่นจริง ๆ “ไปสิ” อะไรบางอย่างดลใจให้ทำตาม ให้เอ่ยปากอนุญาตแบบนี้ก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่กำลังควักเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วแท้ ๆ “งั้นไปกันค่ะ” เธอลุกขึ้นยืน กระชับกระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ เห็นว่าหล่อนเอียงตัวเหมือนกับว่ากระเป๋าใบนี้หนักนักหนา ฝ่ามือหนาก็ยื่นไปข้างหน้าอย่างอัตโนมัติ ราวกับอยากช่วยถือ แต่ก็ไม่ทันเมื่อหล่อนออกตัวเดินไปเสียก่อน “มาค่ะ มีแมวด้วย” ว่าเสียงสดใส พร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูป เธอกดถ่ายไปทั่ว วิวร้านคาเฟที่ตกแต่งด้วยสไตล์มินิมอล มีของชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้ความรู้สึกสบายตา ...ดวงตาคมที่เอาแต่มองหล่อนนั้นเหมือนกับตกเข้าไปในภวังค์ของอะไรบางอย่าง รอบกายเหมือนจะช้าไปหมด คนที่เดินกันขวักไขว่บนฟุตพาทไม่ได้รบกวนสายตาของเขาเลยแม้นแต่น้อย ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ทำไมเธอถึงมีเสน่ห์เหลือคณานับเช่นนี้ “รับอะไรดีคะ” พอเข้ามาข้างในร้าน พนักงานก็เอ่ยถามเขา แต่ปรินทร์กลับไม่ได้ยินอะไรเลย เขาได้ยินแต่เสียงพูดคนเดียวของมุกดา “เอ่อ รับอะไรดีคะคุณลูกค้า” เสียงของพนักงานที่เอ่ยเรียกคนตัวโตถึงสองครั้งนี้ทำให้มุกดาหันไปมอง เธอชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขามองเธออยู่ ก่อนที่เขาจะรู้ตัว ...ปรินทร์กะพริบเปลือกตาปริบ ๆ เขาได้สติแม้นว่าหัวใจจะยังเต้นแรงอยู่ “รับอะไรดีคะคุณลูกค้า” คราวนี้เขาได้ยินเสียงพนักงานแล้ว ปรินทร์หันไปมองหน้าเคาน์เตอร์ “ต้องสั่งเครื่องดื่มก่อนนะคะ ถึงจะถ่ายรูปได้” “อ้อ งั้นเอาชาเขียวนะคะ” เธอนึกคิดว่าเขาคงไม่ได้อยากดื่ม เลยเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่มก่อน ปรินทร์ยังคงมีใบหน้านิ่งเรียบ เขาจิ้มนิ้วสั่งเครื่องดื่มเช่นกันโดยไม่ได้พูดอะไร ควักแค่ตังค์จ่ายเท่านั้น “อ้าว นึกว่าจะไม่กิน ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันจ่ายเอง” ไม่ทันเสียแล้ว เขาจ่ายไปแล้ว “โอเค เอานี่ คืนค่าชาเขียวค่ะ” “ไม่ต้อง แค่นี้เอง” “ไม่แค่นี้นะคะ เป็นร้อยเลย” “เปล่า สำหรับเธอ...แค่นี้เอง” ย้ำอีกครั้ง มารดาบอกให้ดูแลเธอดี ๆ แน่นอนว่าถ้าเธอไม่ดื้อก็จะไม่มีปัญหาด้วย แต่ก็กลัวว่าตัวเองนี่แหละจะมีปัญหา “โอ้ สายเปย์ซะด้วย” เธอทำหน้าทำตาล้อเลียนเขา ยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มแขนแกร่งด้วยความขวยเขิน บิดเอวเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายก็แค่ส่ายหน้าแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ทำกาแฟ ...ปรินทร์นั่งมองคนตัวเล็กเดินทั่วร้านกาแฟ ไม่รู้ว่าเธอถ่ายรูปพวกนี้ไปทำไม เห็นถ่ายแม้กระทั่งหินสีขาวบนพื้น หญิงสาวนั่งเล่นกับแมว ไม่สนใจว่าขนแมวจะร่วงติดชุดหรือเปล่า “ถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมคะ” ทำใจกล้าอยู่นาน เขาเป็นเจ้านาย จะมาถ่ายรูปให้เธอได้อย่างไร ทว่าฝ่ามือหนาก็ยื่นไปรับโทรศัพท์ของเธอมากดถ่ายให้ ปรินทร์ถ่ายรูปไม่เก่งหรอก โดยเฉพาะรูปผู้หญิง “ถ่ายยังคะ ฉันยิ้มจนฟันแห้งแล้วนะ” เธออุ้มแมวอยู่ หญิงสาวยิงฟันไปพูดไป แต่คนที่ถ่ายรูปนั้นมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอไม่หยุด มองจนลืมกดชัตเตอร์เลยทีเดียว “ถ่ายยังคะเนี่ย...” พอเสียงของเธอเริ่มดังขึ้นมา ปลายนิ้วสากจึงกดถ่าย เขาถ่ายให้เธอรัว ๆ ไม่ได้กดโฟกัสเสียด้วยซ้ำ “ขอดูหน่อยค่ะ” ปรินทร์ยื่นโทรศัพท์ให้ตามคำขอ แต่พอเธอเปิดดูเท่านั้นแหละ “โห ไม่ชัดสักรูปเลย” “_” ตากล้องจำเป็นเพียงแค่ชำเลืองสายตามอง ชายหนุ่มดูดกาแฟไม่สนใจเสียงโอดครวญของคนตัวเล็ก ที่หงุดหงิดมากเลยทีเดียว “ทำไมไม่บอกคะว่าถ่ายไม่เป็น” “ทำไมจะถ่ายไม่เป็น เธอเห็นรูปแสดงว่าถ่ายได้นี่” “อย่างนี้ก็อย่าเรียกว่าถ่ายเลยดีกว่าค่ะ หึ่ย!” ว่าด้วยความหงุดหงิด ลืมตัวว่าตนนั้นไม่ได้เป็นลูกน้อง แต่พอเห็นใบหน้านิ่งเรียบไม่รู้ร้อนรู้หนาวนั้นเธอก็สงบลง “ก็ได้ค่ะ” เธอตอบเองโดยที่เขาไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ “เสร็จยัง” “อ้อ ไม่ถ่ายแล้วค่ะ แต่ว่าคุณมาวินยังไม่มาเลยนะคะ” เธอชะโงกหน้ามองหารถ แต่ก็ยังไม่เห็น ปรินทร์จึงล้วงโทรศัพท์ออกมากดโทรออก “ช่วยบอกมาวินให้มารับที่ร้านกาแฟXXทีครับ” พอเขาคุยโทรศัพท์ก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่าทำไมตัวเองไม่โทรหาพ่อ มุกดากะพริบเปลือกตาปริบ ๆ นี่เธอเป็นเลขาฯ ประสาอะไรให้เจ้านายเป็นคนจัดการทุกอย่าง ซึ่งรอไม่นานคนขับรถก็วนรถมารับ “ทำไมไม่โทรหาคุณพ่อตั้งแต่แรกคะ” “ก็เห็นเธออยากนั่งคาเฟ” พอเขาตอบฝ่าเท้าก็หยุดชะงัก เขากำลังพูดเอาใจเธอหรือเปล่า เขากำลังจะบอกว่าทำเพื่อเธออะไรประมาณนั้น คิดได้อย่างนั้นใบหน้าเล็กก็เห่อร้อนขึ้นมา เธอรีบสะบัดหน้าแรง ๆ “ไม่ได้ ๆ เราไม่เหมาะกับเขา” เธอไม่มีอะไรเหมาะสมกับเขาเลย เป็นลูกจ้าง แถมยังเด็กมากด้วย เขาคงไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้หรอก ดูหน้าเย็นชานั่นสิ...ไม่มีทางที่เขาจะมาชอบหรอก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม