ในห้องอาหารห้องเดิม มื้อเช้าถูกละเลียดกินโดยไม่มีใครพูดอะไรกัน สักคำ แต่กลับไม่ได้อึดอัดกดดันอย่างที่คิด เพราะความเงียบเกิดจากต่างคนต่างหมดแรงซะมากกว่า ส่วนโลเวลไม่ได้หมดแรง แต่ดื่มนมอยู่เลยพูดไม่ได้ พอปากว่างก็จ้อขึ้นมาอีกรอบ ไม่รู้ไปขุดเรื่องจากไหนมาคุยเยอะแยะ เจ้าเด็กคนนี้
พอกินมื้อเช้าเสร็จคุณลีวอนก็แยกตัวออกไป เอย่าพาผมมานั่งหน้า เตาผิงที่อยู่อีกห้อง ก็อย่างว่าแหละครับ ที่นี่มันมีห้องเกือบร้อยห้อง ผมต้องมีคนนำทางไม่งั้นหลงชัวร์ๆ
หน้าเตาผิงมีพรมขนสัตว์สีขาวอ่อนนุ่มปูแผ่ไว้อยู่ผื่นหนึ่ง ผมเลือกที่จะนั่งลงบนพรมแทนที่จะนั่งตรงโซฟา โลเวลเดินเตาะแตะถือตุ๊กตาหมีมาออเซาะ ที่หน้าตักของผม พอหามุมสบายได้ก็ยกนิ้วขึ้นมาดูด ผมลูบหัวแกเบาๆ อย่างเอ็นดู พลางคิดว่าจะทำยังไงให้แกเลิกนิสัยดูดนิ้วดี
มันทำให้ฟันเหยินได้นะนายรู้ไหมไอ้หมาน้อย! นายคงไม่อยากโตมาฟันเหยินแน่ๆ อ่า เดี๋ยวผมจะขอคิดวิธีก่อน อาจจะต้องใช้วิธีของเมืองซันชายน์ด้วยการหาบอระเพ็ดมาทา
รับรองได้ว่าเด็กนี่จะไม่ดูดนิ้วโป้งตัวเองไปตลอดชีวิต
นอกจากเสียงดูดนิ้วและเสียงไฟในเตาผิงประทุดังเปรี๊ยะๆ แล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก เทียนหอมกลิ่นโรสแมรีและคลารี่เสจอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนอยากงีบหลับสักรอบ โลเวลเริ่มขยี้ตาอ้าปากหาว ส่วนผมก็คิดอะไรเงียบๆ ไปคนเดียว
อะไรจะละมุนขนาดนี้
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยตามข่าวสารของโลกสักเท่าไหร่ ยิ่งข่าวสารของบุคคลระดับโลกซึ่งอยู่คนละระดับกับผมแล้วผมยิ่งไม่รู้เรื่องของพวกเขาเข้าไปใหญ่ คุณลีวอนมีลูกใครๆ ก็น่าจะรู้ จากที่อ่านนิตยสารบนเครื่องบิน ผมไม่เห็นอะไรที่มันเกี่ยวกับแม่เด็กคนนี้เลยสักนิด
ในฐานะพี่เลี้ยงของโลเวลมันก็อดสงสัยไม่ได้อะนะ (แต่ผมว่าคนทั้งโลกก็อยากรู้พอกันกับผมแหละ!) ว่าแม่ของแกไปไหน? แต่ถ้าให้ผมเดา แม่ของแกคงจะเป็นคนเอเชีย เพราะเจ้าหนูนี่ไม่ได้หน้าตาออกแนวฝรั่งจ๋า แต่มีลักษณะของคนเอเชียปนมาด้วย ภรรยาของคุณลีวอน ผู้หญิงคนนั้นทำไมถึงทิ้งเด็กที่น่ารักขนาดนี้ไปได้กันนะ...
เป็นเพราะผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่ขาดพ่อแม่ดี ทำให้อดสงสารโลเวลที่ขาดแม่ไม่ได้ ที่จริงแล้วผมเองก็โดนทิ้งไว้หน้าโบสถ์ตอนอายุสองสามขวบเหมือนกัน น่าเศร้าว่าไหมล่ะครับ คนมันจะซวย มันซวยมาตั้งแต่เด็กจริงๆ นะ บ้าบอชะมัด!
แต่ถึงตอนนั้นจะเด็กมาก ผมก็จำได้นะ...จำได้ว่าตอนนั้นแม่ของผมยิ้มให้ผมก่อนจากไป เป็นยิ้มที่แสนเศร้า ผมจำหน้าท่านไม่ได้ แต่จำรอยยิ้มนั่นได้ขึ้นใจ จำได้ว่าแม่พูดว่ารักผมมากแค่ไหน แต่จำไม่ได้ว่าพูดออกมาเป็นประโยคว่ายังไง ผมในวัยเด็กยังจำได้ดีถึงความรู้สึกรักของแม่ ผมเลยไม่โกรธท่าน คงเพราะมีความจำเป็นถึงต้องทิ้งผมไป
อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าท่านก็รักผมอยู่บ้างแหละน่า ไม่งั้นคงไม่เอาผมมาไว้หน้าโบสถ์ไม่ใช่ที่เปลี่ยวร้างอันตราย แถมยังห้อยป้ายชื่อนามสกุลไว้ให้ด้วย ถ้าไม่ติดว่าแม่ผมแปะชื่อมาไว้ให้อยู่แล้ว ผมอาจจะได้ตั้งชื่อใหม่ที่ดูเป็นผู้เป็นคนกว่านี้ก็ได้...นี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวก็ได้ที่ผมจะโกรธแม่ลง
คุณพ่อแอนดรูว์บาทหลวงประจำโบสถ์เป็นคนพบผมคนแรก ตอนนั้นผมร้องไห้เพราะความหิวไม่หยุด (ผมเข้าใจว่าอย่างนั้น แต่คุณพ่อเคยบอกว่า ผมร้องไห้เพราะโดนหมาเลียปาก เหตุผลนี้ผมรับไม่ได้ เลยเลือกที่จะคิดว่าผมหิวแทน) ท่านเป็นคนเลี้ยงผมมา ให้ที่อยู่ อาหาร การศึกษา และความรัก แต่ก่อนที่ผมจะเรียนจบท่านก็เสียเพราะโรคมะเร็ง ครอบครัวคนเดียวของผม
จากไปอีกคนแล้ว…
แต่ผมก็ยังต้องก้าวต่อไป ต้องใช้ชีวิตให้ดี ถ้าทำตัวเหลวแหลกคุณพ่อแอนดรูว์อาจจะถือไม้เรียวรอดักตีผมอยู่ที่ไหนซักแห่งบนสวรรค์ก็ได้ ถึงผมจะไม่แน่ใจว่าตายไปแล้วผมจะได้ไปสวรรค์กับเขาหรือเปล่าก็เถอะ เพราะฉะนั้น...
อย่าให้คุณพ่อสมหวังครับ อิอิ
“ถ้าแกหลับแล้วก็ให้เอย่าพาขึ้นไปนอนเถอะ”
คุณลีวอนถือแล็ปท็อปเดินเข้ามาให้ห้องก่อนจะนั่งลงบนโซฟา พร้อมกับวางของในมือลงบนโต๊ะ ขณะพูดนิ้วมือที่รัวอยู่บนคีย์บอร์ดและสายตาก็ไม่ได้ละออกจากมัน
“ไม่เป็นไรครับ แบบนี้ก็ดี ดูแกตอนหลับก็ดีเหมือนกัน” ดูเด็กหลับแล้วมันผ่อนคลายดีครับ ใบหน้าไร้เดียงสานั่นน่าชมอย่าบอกใครเชียว พูดไปพูดมาชักรู้สึกตัวเองเป็นตาแก่วิตถารเข้าไปทุกที ไม่รู้ว่าต่อไปจะไอ แค่กๆ หรือ คุกๆ ดี
“อ้อ! จริงสิ ผมขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ”
“คริส”
“ครับนายท่าน นี่ครับคุณพีพี ผมต่อสายคุณไฉไลไว้ให้แล้วนะครับ”
ไอ้คุณคริสเปิดสกิลวาร์ปอีกแล้วครับ! คือพี่มึงโผล่ออกมาจากตรงไหน
เมื่อกี้ยังไม่อยู่แท้ๆ อีกฝ่ายยื่นสมาร์ทโฟนระบบไอโอเอสมาให้ แถมมีญาณหยั่งรู้ด้วยว่าผมจะโทรหาเจ๊ไฉ ผมรับโทรศัพท์มาแนบใบหูรอทางนู้นรับสาย ว่าแต่ที่ไทยตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ที่นี่เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงที่ไทยคงซักห้าหกโมงเย็นละมั้ง
[สาวสวยยุคสองพันไฉไลพูดค่ะ มิทราบว่าคุยอยู่กับผู้ใด๋?]
“พูดปดระวังขี้กลากขึ้นปากนะเจ้ ฮ่าๆๆ นี่แพงพวยนะ คนหล่อประจำตำบล หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”
[ห้ะ! ไอ้พวยเหรอ กรี๊ดดด ไอ้เด็กบ้า แกไปมุดหัวมุดหางอยู่ที่ไหน รู้ไหมฉันเป็นห่วงแกแค่ไหน ถ้าฉันขี้กลากขึ้นปากก็ต้องต่อจากแกนั่นแหละ #$%@*$&]
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พอได้ด่าแล้วก็ด่าไม่หยุด แต่นั่นก็ทำให้รู้ว่าอิเจ๊ ก็เป็นห่วงผมมาก หลังจากเจ๊ไฉด่าผมแบบไม่เว้นช่องไฟจนไม่รู้จะด่าอะไรผมอีก ผมถึงได้มีโอกาสสอดปากเข้าไปพูดบ้าง ผมบอกว่าตัวเองมาทำงานที่ต่างประเทศ พ่อของเจ้าหนูที่เจ๊เคยเจอเป็นคนจ้าง แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นคนใหญ่คนโตระดับโลก แล้วก็เลือกข้ามๆ ตอนที่มาแบบโดนลักพาตัว เดี๋ยวอิเจ๊ได้ปรี๊ดแตกอีกรอบ
“พอกลับเมืองซันชายน์เมื่อไหร่ เจ้เตรียมเรียกผมอาเสี่ยพวยได้เลย เพราะผมจะรวยมาก คริคริ”
[จ๊ะๆ อย่าไปโดนเขาหลอกแล้วกัน รู้ไหมที่เมืองนอกเขาไม่ใจดีกับคนแปลกหน้าเหมือนบ้านเรานะ มีอะไรก็โทรหาเจ๊ ไม่ไหวก็กลับมานะพวย]
“แม่งซึ้งว่ะ มาคนหล่อจุ๊บที”
[อี๋~ หน้าไม่เหมือนโบกอมอย่าคิดมาแตะต้องตัวฉัน ไปๆ ว่างๆ ค่อยโทรมาใหม่ เจ๊ไปทำงานก่อน]
โห้ย อิเจ๊ โบกอมก็แพ้แพงพวยนะครับถ้าผมแต่งตัวดีๆ ก็อย่างที่บอกแหละครับอิเจ๊มันตาบอด มองไม่เห็นของดีใกล้ตัว ชิๆ
“คร้าบบบ แค่นี้นะคนสวย จุ๊บๆ”
ผมกดว่างสายก้อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้คุณคริส แต่อีกฝ่าย...
ไอ้คุณคริส พี่มันหายไปอีกแล้ว!
“เครื่องนั้นนายเก็บไว้ มีเบอร์ที่จำเป็นอยู่ในนั้นครบแล้ว”
ผมกดเข้าไปในไอคอนรายชื่อ มีเบอร์ที่บันทึกชื่อไว้ว่า ‘นายท่าน’ อยู่เบอร์เดียว เฮลโหล? ที่บอกว่าจำเป็นมันมีอยู่แค่นี้เหรอครับ
ผมกดเบอร์นั้นโทรออกแล้วแนบโทรศัพท์ไว้ข้างหู คุณลีวอนที่กำลังเอาแต่พิมพ์อะไรสักอย่างบนแล็ปท็อปยอมสละมือข้างขวามาหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ก่อนกดรับสายแล้วหนีบโทรศัพท์ไว้ระหว่างหูกับไหล่ ส่วนมือก็กลับมาพิมพ์ต่อดังเดิม สายตายังคงจดจ่อที่หน้าจอสี่เหลี่ยมนั่น
“ว่างมากเหรอ” เสียงที่ผ่านออกมาทางโทรศัพท์ทำให้คุณลีวอนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาเหมือนมาพูดอยู่ข้างหูผมมากกว่า เสียงทุ้มๆ ทว่าเต็มไปด้วยเสน่ห์ทำผมจั๊กจี้ยังไงไม่รู้
“คือ...ผมแค่อยากรู้ว่าเบอร์นายท่านคือใคร” ผมยิ้มเก้อๆ ใช้มืออีกข้างลูบหัวโลเวลที่นอนกลางวันอยู่บนตักของตัวเอง
“ฉันเป็นนายท่านคนเดียวของนาย”
พ่อของเจ้าหนูขมวดคิ้วขณะพูด ผมมองสีหน้าอีกฝ่ายที่แม้จะไม่ละสายตาออกจากหน้าจอมามองแต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังคิดว่ายังมีนายท่านที่ไหนอีกนอกจากเขา ไอ้หมอนี่มันโง่หรือเปล่า
“นั่นสินะ ฮ่าๆ ผมนี่โง่จัง ผมโทรหาคุณได้ตอนไหนบ้างครับ”
“ทุกเมื่อถ้าเกี่ยวกับลูกฉัน เหตุจำเป็นฉุกเฉินโทรได้ แต่อย่าโทรมา ไร้สาระ ฉันรำคาญ”
“ได้เลยครับผม”
“วันนี้...”
“ครับ?”
“วันนี้เมื่อเช้า...สนุกดี”
“ผมก็...เหมือนกันครับ” ผมยิ้มแล้วกดวางสาย อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์ไปวางไว้บนโต๊ะข้างแล็ปท็อปของตัวเอง ผมละสายตากลับมามองโลเวล เพราะรู้สึกต้นขาตัวเองเริ่มเปียก แม่งนอนน้ำลายยืดอีกแล้วว่ะ โอ๊ยยย ขาชุ่มชื้น
และเพราะเหตุนี้เองจึงทำให้ผมไม่ทันเห็นสายตาคมกล้าทว่ากลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยนยามที่เจ้าตัวทอดมองผมและเจ้าลูกชายตัวน้อยที่นั่งอยู่บนผืนพรมหน้าเตาผิง ความอ่อนโยนที่เกิดขึ้นนี้ กระทั่งเจ้าของมันก็ยังไม่รู้ตัว...
เหลือบมองไปทางหน้าต่างก็ทำให้รู้ว่าความอบอุ่นในห้องช่างแตกต่างกับความหนาวเย็นด้านนอกท่ามกลางหิมะโปรยปราย บนโต๊ะโทรศัพท์ของลีวอนยังคงสว่างอยู่ หน้าจอปรากฏเบอร์โทรเข้าล่าสุดซึ่งถูกบันทึกชื่อไว้ว่า Little P