นายท่านของผมหลังจากที่โดนทำให้สะดุ้งอย่างแรง ก็เอาแต่นั่งแผ่รังสีกดดันออกมาจนทุกคนพลอยนิ่งเงียบบื้อใบ้ไปชั่วขณะ ในตอนที่ผมตัดสินใจจะวิ่งหนีเอาชีวิตรอดนั้นเองมือหนาของเขาก็คว้าเอามือของผมไว้ได้ซะก่อน!
ฝ่ามืออีกข้างถูกง้างตามขึ้นมา ผมหลับตาปี๋อย่างหวาดกลัวด้วยคิดว่าคงจะถึงคราวเคราะห์รับบทอีเย็นผู้โดนท่านเจ้าคุณตบตีดั่งที่เคยดูในละครเป็นแน่แท้ เสียงตีดังขึ้นมาติดๆ แต่ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด มือที่ง้างขึ้นมาของเขานั้น ตีเข้าที่มือของผมเพื่อเป็นการลงโทษ
เขาตีมือผมต่อหน้าที่ประชุม...
ตีผม...เขาตีผมอะทุกคน! ฮือ
“ค่อยๆ คลายมัน อย่าจิ้มทีเดียว” หลังจากตีผมแล้วมือของเขาก็ลูบจุดที่เพิ่งจะตีไปเบาๆ เสียงเข้มทั้งดุทั้งสอนผมไปในคราวเดียวกัน บอกได้เลยว่าแค่นี้มันไม่หายหรอกนะ!
“...” ผมเลือกที่จะเงียบแทน
“เข้า ใจ ไหม?”
“...” เข้าใจ! แต่ไม่อยากเข้าใจ! เข้าใจไหม!
แม้ในใจจะโต้แย้ง ทว่าผมก็ทำได้เพียงพยักหน้า หลังจากที่นิ่งเงียบไปรอบแรกแล้วโดนสายตาคมคู่นั้นจ้องมองหมายเอาชีวิต แต่จะทำไงได้ ตอนนี้ก็ทำได้เพียง ทุบๆ! แล้วก็ทุบๆ! อย่างเบามือ...
“ดีขึ้นไหมคะคุณพิ...เอ้ย! ดีขึ้นไหมครับนายท่าน?” ให้ตายสิ ดันพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกไปจนได้ ดีนะที่ผมกลับลำทัน
“เอาละ ถึงไหนแล้ว พูดต่อสิ หยุดกันทำไม”
“อะ...เอ่อ ค่ะๆ ตะ...ตอนนี้ ทรัพย์สินที่จะนำไปขายทอดตลาดคาดว่าจะ...”
“มานวดตรงนี้”
มือหนาเอื้อมมาจับมือผมที่กำลังกดตรงช่วงปีกหลังของเขาให้มาอยู่ตรงต้นคอแล้วหันไปพูดกับที่ประชุมต่อ
“ขายได้ไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่จะทำยังไงให้มันมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ถ้าถูกเกินไปก็เก็บไว้ก่อน รอได้ราคาดีค่อยขาย จะห้าหรือสิบปีก็ต้องรอจังหวะเวลา ส่วนฝั่งสหภาพยุโรปให้คงไว้เหมือนเดิม ยังไงฐานของ WT ในฝั่งนี้ก็ดีกว่าฝั่งเอเชีย ไตรมาสหน้าค่อยว่ากันใหม่ อ้อ เรื่องการกู้ยืมของรัฐบาลต่างชาติ ถ้าเห็นว่าประเทศไหนเริ่มมีกลิ่นของสงครามก็ให้งดไปก่อน ผมจะเข้าไปจัดการเอง...”
“ค่ะท่าน”
“ครับท่าน”
“ส่วนการเปิดเส้นทางการบินใหม่ แพงพวย...”
“อะ...อะไรอีกล่ะครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!” เป็นคราวที่ผมสะดุ้งบ้าง เมื่อจู่ๆ เขาก็เปลี่ยนมาเรียกชื่อผมแทนซะงั้น ทำอะไรผิดอี๊กกก แม่งจะไม่นวดให้แล้วนะ อย่าดุมากจะได้ไหม ขาสั่นพั่บๆ แล้วเนี่ย!
“เปล่า อย่าเอาแต่นวดจุดเดิม ขยับไปที่อื่นบ้างก็ได้”
“ก็นึกว่าคุณให้นวดแค่ตรงนี้นี่น่า...” เห็นจับมือมาวางไอ้เราก็เข้าใจว่าชอบให้นวดตรงนี้ก็เลยนวดแค่ตรงนี้ ผมผิดตรงไหน!
“เอาละ เรื่องการเปิดเส้นทางการบินใหม่ค่อยคุยกับบอร์ดบริหารฝั่งสายการบินอีกที วันนี้พอแค่นี้ อย่าลืมส่งสรุปการประชุมให้ผมด้วย ขอบคุณมากสำหรับวันนี้”
โปรแกรมวิดีโอคอลถูกปิดไป ผมรู้สึกโล่งถึงขั้นถอนหายใจออกมาในที่สุดก็หายใจคล่องขึ้นมาสักที
“พวกเขาจะจำผมได้ไหม” ผมอดถามด้วยความกังวลไม่ได้
“อย่าสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย ไปกันเถอะ” ร่างสูงลุกขึ้นยืน นิ้วเรียวเคาะที่หน้าผากมนของผมที่ทำหน้าลำบากใจอยู่
ผมเดินตามหลังคุณลีวอนต้อยๆ โดยมีร่างสูงเป็นไกด์ส่วนตัวคอยเล่าเรื่องเกี่ยวกับบ้านเก่าของเขาซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ น้ำเสียงทุ้มนุ่มคล้ายกำลังเล่าเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ทว่าผมก็สัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจในต้นตระกูลเจือมาด้วยในบางครั้ง
ตัวคฤหาสน์มีสามชั้น ผังบ้านถูกสร้างเป็นรูปตัว E เพื่อสดุดีแด่ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ตรงกึ่งกลางเป็นโดมกระจกเพื่อทำให้บริเวณนี้สว่างกว่าจุดอื่นของคฤหาสน์ โดยหลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็นห้าส่วนใหญ่ๆ (ไม่ร่วมส่วนยิบย่อยที่ผมไม่ใส่ใจจะจำ) คือส่วนกลาง ส่วนปีกตะวันออก ปีกตะวันตก ฝั่งเหนือ และฝั่งใต้
ส่วนกลางคือส่วนที่มีโดมและตั้งอยู่กึ่งกลางของคฤหาสน์ โถงขนาดใหญ่ของมันในสมัยก่อนมักใช้สำหรับจัดงานเลี้ยง แต่ก็ไม่บ่อยนัก เพราะต้นตระกูลวอร์ตันไม่ชอบงานสังสรรค์เหมือนอย่างตระกูลอื่น เปียโนที่ทำจากไม้ เนื้อดีตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง
เมื่อมองออกไปจะพบกับลานน้ำพุ แต่เพราะความเย็นทำให้ตอนนี้มันโดนแช่แข็งไปแล้ว นอกจากนี้ภายในส่วนกลางยังมีห้องอาหาร ห้องรับแขก ห้องตีพูล บลาๆ ที่ผมขี้เกียจจะดู แค่รู้ไว้ว่ามีก็พอ เอาเป็นว่ามันคือแหล่งรวมความบันเทิงของเหล่าผู้มีอันจะกินอย่างครบครันนั่นเอง
“เอ่อ ตรงนั้นคือดอกอะไรครับ”
ผมชี้ไปที่เสาหนึ่งในหลายต้นของส่วนกลาง บริเวณยอดเสามีดอกไม้ที่สลักเด่นนู่นออกมา ผมไม่แน่ใจว่าใช่กุหลาบหรือเปล่า คนที่ไม่เคยสนใจอย่างอื่น นอกจากความอิ่มท้องไปเป็นมื้อๆ อย่างผมถึงกับเอ่ยปากถามก็เพราะสังเกตเห็นว่ามันมีอยู่เกลื่อนมาก...
“กุหลาบทิวดอร์[1]…”
“ว้าววว เป็นกุหลาบทิวดอร์นี่เอง” ผมอุทานออกมาเหมือนทึ่งมากทั้งที่จริงตัวเองก็ไม่ได้เข้าใจเลยว่ากุหลาบทิวดอร์อะไรนี่มันสำคัญยังไง น่าทึ่งตรงไหน แต่ก็นั่นแหละ ผมจะเนียนทำเป็นรู้ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย เพื่อเป็นการกลบเกลื่อนความโง่ของตัวเอง เอิ๊กกก
มือหนาตบเข้าที่หน้าผากผมทันทีที่เห็นผมทำแบบนั้น
นี่มันตีผมอีกแล้วนะ!
“ยังไม่เนียนพอ...หึหึ ตอนเด็กฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันน่าทึ่งตรงไหน” พูดพลางเงยหน้ามองกุหลาบแกะสลักดอกนั้น ก่อนจะหันมาลูบหน้าผากที่เขาเพิ่งตีไปเมื่อครู่ “ในตอนที่สร้างคฤหาสน์หลังนี้ มันใช้แทนของความจงรักภักดีของคนในคฤหาสน์ที่มีต่อราชวงศ์ทิวดอร์ หรือจริงๆ มันคือโซ่ตรวนที่ใช้พันธนาการที่นี่กันแน่ ฉันก็ยังไม่แน่ใจ”
“อ่า ขอโทษนะครับ แต่ประโยคนี้ซับซ้อนเกินไป ผมไม่เห็นจะเข้าใจ สักนิด...ว่าแต่ นอกจากวินเซอร์แล้ว ที่อังกฤษยังมีราชวงศ์อื่นปกครองด้วยเหรอครับ”
“ช่างมันเถอะ ประวัติศาสตร์ประเทศนี้มันไม่สำคัญแล้วละ”
ตอนนี้ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือใบหน้าของเขาล้วนแต่แสดงท่าทีไม่ยี่หระออกมาราวกับว่าเขาชินชาไปเสียแล้ว ฝีเท้าหนักแน่นละจากเสาต้นนั้นไป
“จะทิวดอร์ก็ดี หรือวินเซอร์ที่ผลัดเปลี่ยนมาจากโคบูร์ก แอนด์ โกทา ก็ดี ไม่ว่าจะราชวงศ์ไหน ยังไงซะ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน...”
ผมได้แต่มองตามอย่างงุนงง...บางทีเขาก็ชอบทำตัวเหมือนพวกแก่ความรู้ พูดอะไรออกมาทีคนฟังยังไม่ทันจะเข้าใจก็เดินหนีไปซะเฉยๆ
ตอนนี้เราเดินมาถึงปีกตะวันออกกันแล้ว ที่นี่เป็นโซนห้องพักอาศัยของเจ้านาย ฝั่งที่เอย่าพาผมมาเมื่อคืนนี้นั่นเอง แม้จะกินพื้นที่ทั้งฝั่งทว่ากลับมีห้องอยู่ไม่กี่ห้อง ผมไม่สงสัยในข้อนี้นัก เพราะแค่ขนาดห้องของโลเวลก็ยังกว้างใหญ่ไพศาลจนตีลังกาเล่นได้ ไม่แน่ใจว่าเอาฟุตซอลมาเตะในห้องได้ด้วยหรือเปล่า ฮ่าๆ ผมคิดว่าห้องอื่นที่มีอยู่ก็คงจะไม่ต่างกัน นี่ละมั้งที่ทำให้มันมีอยู่ไม่กี่ห้องในส่วนนี้เราแค่เดินผ่านเท่านั้น เพราะผมพอจะจำได้ว่าห้องไหนเป็นของใคร
ต่อมาเป็นปีกตะวันตก ส่วนของเหล่าคนรับใช้ที่ทำงานในบ้าน ถ้าให้เรียงตามตำแหน่งใครใหญ่สุดแล้วละก็คงจะเป็นคุณคริส ซึ่งเป็นเลขาและบัตเลอร์ผู้ใกล้ชิดเจ้านาย ต่อมาก็เป็นคุณแม่บ้านเทเรซ่า เดลสัน แต่ละคนปกครองคนรับใช้แยกกันโดยแบ่งชายหญิง
สมัยก่อนจะแบ่งระดับในหมู่คนรับใช้มากกว่านี้ แต่ยุคเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน ปัจจุบันทุกคนมีสิทธิ์เสมอภาคกัน เพียงแค่คุณคริสกับคุณแม่บ้านเป็นหัวหน้าคอยดูแลกำกับเด็กในบ้านเท่านั้น และที่สำคัญห้องพักของผมก็น่าจะอยู่ทางนั้นแหละ
ทางฝั่งเหนือคือสวนดอกไม้ประดับด้วยประติมากรรมรูปปั้น มีทั้งสวนกลางแจ้งและในเรือนกระจก ตรงเรือนกระจกนี่เองที่ดอกไม้จะถูกดูแลให้ออกดอกชูช่อตลอดทั้งปีด้วยไม่ต้องกลัวว่าหิมะ ฝนฟ้า อากาศแย่ๆ จะมาทำให้มันตาย มากไปกว่านั้นคือดอกไม้พันธุ์หายากหลายชนิดมีให้เห็นได้ทั่วไปที่นี่
ถ้าแอบขุดเอาไปขายคงได้เงินเยอะทีเดียว...
นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงทองคำที่เคลือบตามขอบหน้าต่าง ประตู ยอดโดมนะ ถ้าขูดไปขายนี่รวยเละ! ความหรูหราของบ้านนี้เริ่มทำให้ตาดำของผมเปลี่ยนเป็นตัว $$ ไปแล้ว อะไรก็ดูขายได้ไปหมด
ส่วนทางฝั่งใต้นั้นเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ เอาไว้ใช้ทำกิจกรรมเอาท์ดอร์เช่น ขี่ม้า ว่ายน้ำ ล่องเรือ ตกปลา ล่าสัตว์ และยังเอาไว้ปลูกต้นไม้ใหญ่ที่ให้ผลอย่างพวกแอปเปิล เอพริคอต ประมาณนั้น แต่เพราะหิมะเจ้าปัญหาทำให้เราออกไปดูไม่ได้อยู่ดี เช่นเดิม...แค่รู้ไว้ก็พอ
คุณลีวอนบอกว่าต้องรอหิมะหยุดก่อน ปกติหิมะจะไม่ตกช่วงนี้ ทว่าปีนี้อากาศแปรปรวนหนักก็เลยเป็นอย่างที่เห็น
“ที่นี่มีคนอยู่มากแค่ไหนกันครับ”
“หนึ่งร้อยห้าสิบสี่คน”
“เอ๊ะ เยอะขนาดนั้นเชียว?”
“อืม เพราะอาณาเขตที่นี่กว้างมาก ถ้าคนน้อยจะดูแลไม่ทั่วถึงได้”
“ละ...แล้วทำไมผมถึงไม่ค่อยเห็นใครเลย”
“คงเพราะ...ธรรมเนียมเมื่อหลายร้อยปีก่อน”
เล่ามาถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมจ้องรูปวาดในกรอบฉลุลายเคลือบทองปลายทางเดินระเบียงริมหน้าต่าง ในภาพคือชายหนุ่มในชุดขุนนาง บรรพบุรุษของตระกูลวอร์ตัน
“หากเจ้านายปรากฏตัวที่ไหน นอกจากบัตเลอร์กับฟุตแมนแล้ว พวกสาวใช้และเด็กรับใช้ต้องหายตัวไปทันที ฉันว่ามันก็ตลกดี พวกเขาหายตัวไปมาได้อย่างไร้ร่องรอย ทั้งที่ในมือมีอุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่…”
ถึงปากจะบอกว่าตลกดี แต่ผมไม่เห็นจะรู้สึกว่าเขากำลังตลกตรงไหน
จากที่คุณลีวอนเล่ามาแล้วนั้น การปรากฏตัวของผู้เป็นนายมีขึ้นที่ใด ไม่ว่าพวกคนรับใช้จะทำอะไรอยู่ต้องรีบหลบไปให้พ้นทาง นั่นเพื่อไม่ให้การมีอยู่ของพวกเขาขวางหูขวางตาเจ้านาย
แม้เจ้าบ้านคนปัจจุบันอย่างคุณลีวอนจะยกเลิกกฎนี้ไปแล้ว แต่เหมือนสิ่งนี้จะซึมเข้าไปในกระแสเลือดของพวกเขาเสียแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ชนิดคอขาดบาดตาย เจ้าของบ้านจึงไม่ได้ว่าอะไร แถมยังยอมบอกความลับของการหายตัวไปมาโดยไม่ให้ใครเห็นของพวกสาวใช้และเด็กรับใช้ให้ผมฟังด้วย
นั่นเป็นเพราะส่วนใหญ่คฤหาสน์ในอังกฤษมีทางลับซ่อนไว้ให้เหล่าคนรับใช้เดินโดยเฉพาะ แต่หลังจากยุคเสื่อมอำนาจของเหล่าผู้ถือครองคฤหาสน์ก็ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้แล้ว นอกจากคนที่ยังทำงานอยู่ทุกวันนี้ซึ่งก็มีน้อยเต็มที แต่ทำไมที่นี่ถึงมีตั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสี่คน!?
เพราะเห็นแก่เงินเหมือนผมใช่ไหม ตอบ!
“ว่าแต่ที่นี่มีชื่อไหมครับ”
“คฤหาสน์วอร์ตัน”
“เอานามสกุลมาตั้งเลยเหรอเนี่ย แต่ว่าก็ฟังดูยิ่งใหญ่ฮึกเหิมดีนะครับ! คุณคงไม่ได้เป็นเอ่อ...ขุนนาง มีตำแหน่งอะไรแบบนั้นด้วยหรอกนะ”
“Marquess*[2] of Adinor”
“มะ...มาคีป อะดิโน...อะไรนะครับ”
คิ้วผมขมวดหมุนทันที ปากก็ทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่
“ไม่ได้สำคัญอะไร”
ผมทำหน้าสงสัยใคร่รู้ไปพักใหญ่ ก็มันฟังไม่ทันอ่า! แต่ก็ต้องยอมปัดมันทิ้งไปเมื่อเขาบอกว่าไม่สำคัญ มันก็คงจะไม่สำคัญนั่นแหละ คุณลีวอนพยายามบอกให้ผมหาจุดสังเกตไว้จำจะได้ไม่หลง เขาบอกว่าไม่เกินสองอาทิตย์ผมก็จะจำได้เอง
“แล้วห้องของผมล่ะครับ”
“ฉันให้คนจัดไว้ให้แล้ว จากนี่...เดินเลี้ยวซ้ายขึ้นบันได ห้องแรกทางขวามือ” คุณลีวอนตอบ ขณะที่ร่างสูงสมส่วนของเขาเริ่มเดินนำหน้าไปอีกครั้ง เพราะช่วงขาที่ต่างกันทำให้ผมต้องสับขาเร็วกว่าปกติ หลังจากที่เดินกันมาพักใหญ่ก็เหมือนเขาจะรู้ถึงความต่างนี้บ้างแล้ว ขายาวเลยก้าวช้าลงกระทั่งผมเร่งขึ้นมาเคียงข้างเจ้าตัวได้
“จริงๆ แล้วคุณก็ดูเป็นคนดีนะครับ”
ผมอมยิ้มให้ที่เจ้าตัวอุตส่าห์ยอมเดินช้าลงสองสเต็ปเพื่อรอคนเตี้ยกว่าแค่ไม่กี่เซ็นต์ (ละมั้ง) อย่างผม
“ปกติไม่ดี?”
“เอ่อ...กะ ก็ไม่ขนาดนั้นครับ” แค่เผด็จการไปหน่อย แต่ถ้าพูดออกไปมีหวังคอกับหัวได้โบกมือลากันแน่
“ก็ไม่ดีอย่างที่นายคิดนั่นแหละ...” เสียงทุ้มเอ่ยในลำคอคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่าต้องการให้ผมได้ยิน
“เอ่อ...อะไรนะครับ เมื่อกี้ผมไม่ค่อยได้ยิน”
“คราวหน้าก็หัดดื่มนมเยอะๆ ล่ะ”
พูดแล้วก็หันมาหาผมที่เงยหน้ามองเขา ก่อนจะหันกลับไปมองทางตรงหน้าเช่นเดิม ฝีเท้าถูกเร่งให้ทิ้งห่างอีกครั้ง พอเป็นแบบนั้นผมเลยไม่ได้ยินประโยคต่อมาที่เขาพูดพึมพำอยู่คนเดียว
“ผอมเกินไปแล้ว กอดแล้วเจอแต่กระดูก...”
-----------------------------------------------------------------
[1] กุหลาบทิวดอร์ (Tudor Rose) คือการรวมเอาตราประจำตระกูลของ ราชวงศ์ยอร์ก (กุหลาบขาว) แและราชวงศ์ คาแแลงสเตอร์ (กุหลาบแแดง) เข้าไว้ด้วยกัน สืบเนื่องมาจากการแแต่งงาน ของพระเจ้าเฮนรี่ที่เจ็ดกับเอลิซาเบธ แแห่ง ยอร์ก ถือเป็นสัญลักษณ์ที่แแทนการสิ้นสุดสงครามระหว่างสองราชวงศ์
[2] Marquess (มาร์ควิส) ตำแแหน่งขุนนางที่ต่ำกว่าดยุกแแต่สูงกกว่าเอิร์ล ในภาษาฝรั่งเศสจะเรียกว่า มาร์กีซ (Marquis) บรรดาศักดิ์ของพระเอกคือ Marquess of Adinor มาร์ควิสแแห่งเอดินอร์