เอี๊ยดดดดด!!!
เสียงล้อรถบดกับพื้นดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วท้องถนน และทำให้ผมที่แบกถุงปุเลงๆ ข้ามทางม้าลายหันมองด้วยความแตกตื่น ประเทศนี้มันไว้ใจได้ที่ ไหนล่ะครับ แม้คุณจะทำตามกฎหมาย แต่ใช่ว่าคนอื่นจะทำตาม เดินตามสัญญาณไฟอยู่ดีๆ ก็โดนรถเสยเป็นผีเฝ้าสี่แยกก็มีถมไป
เจ้าของเสียงคือรถโรลส์รอยซ์สีดำคันเงาวับ อีกสี่ห้าเซ็นต์กระโปรงหน้าแสนแพงของมันก็จะถึงตัวผมแล้ว เมื่อตระหนักว่าตัวเองพึ่งเฉียดตีนผีมาก็แทบทรุด ขาสั่นพั่บๆ ใครมันมาทดสอบศักยภาพเบรกของรถกันอะครับ บอกเลยว่ายอดเยี่ยมเลยครับท่าน ถ้าไม่ติดว่าจน ผมจะซื้อมาไว้ดริฟเล่นสักคัน ฮี่ๆ
ควรจริงจังก่อนไหมแพงพวย!
อีกนิดเดียวเอ็งก็จะเหลือแค่ชื่อให้ลือนามแล้วนะเฮ้ย!
ยังไม่ทันคิดอ่านการณ์ใด คนในรถก็ก้าวลงมา ชายต่างชาติสองคนในชุดสูทสีดำสุดเนี้ยบ พร้อมกับแว่นตาวณิพกพเนจร แต่ละคนตัวใหญ่อย่างกับหมีควาย พวกเขาก้าวลงมาจากเบาะด้านหลังรถทางประตูซ้ายและขวาพร้อมกัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุย
“ครับท่าน เราได้ตัวมาแล้วจะถึงสนามบินภายในสิบห้านาทีครับท่าน”
หลังจากที่วางสาย ทั้งสองคนก็เดินดิ่งมาหิ้วปีกผมคนละข้างทันที
“เดี๋ยวๆๆ จะพาผมไปไหนเนี่ย ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย คนโดนฉุด!!”
ผมพยายามขัดขืน แต่มนุษย์ผู้บริโภคมาม่าเป็นอาหารหลักอย่างผม จะไปสู้หมีควายสองตัวได้ยังไง ถึงผมจะสูงถึงร้อยเจ็ดสิบเซ็นต์ก็เถอะ (ขอบอกว่าภูมิใจกับความสูงนี้มาก เพราะสูงกว่าคนแถวนั้น) แต่คนพวกนี้กลับสูงกว่ามาก เมื่อโดนหิ้วปีกเลยทำให้ขาผมลอยขึ้นจากพื้น แถมแขนที่หนีบผมไว้แน่นทำให้ผมที่ดิ้นรนเอาตัวรอด เหมือนเล่นแกว่งชิงช้ากันมากกว่า แถมการแหกปากร้องปาวๆ ขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้ทำให้คนแถวนั้นเข้ามาช่วยอะไรผมเล๊ยยย คนบ้านเดียวเมืองเดียวกันหรือเปล่าพี่น้องครับ!
“นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนรึไง บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะคุณ!”
เอ๊ะ แต่เขามีปืน...
ก็โอเคร๊~
หนึ่งในนั้นเปิดเสื้อขึ้นโชว์ปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอว ทันทีที่ผมพูดเรื่องกฎหมายบ้าบอที่ไม่ช่วยอะไรพลเมืองดีอย่างผมเลย! พวกเขายัดผมเข้าไปนั่งที่เบาะหลังแล้วตามมานั่งขนาบซ้ายขวา หลังจากปิดประตูคนขับรถก็ซิ่งออกไปทันที
ข้างในรถเงียบมาก แม้ผมจะพยายามสอบถาม ตีเนียนชวนคุยนู่นนี่นั่น ก็เหมือนตัวเองคุยกับสายลมและแสงแดดมากกว่าคน...ไม่มีใครพูดอะไรเลย พวยปวดใจนะ! คุยกับกูบ้างก็ได้ ไม่ตายหรอกครับ!
ขับอยู่ราวๆ สิบห้านาทีรถก็จอด คุณหมีชุดดำหิ้วผมลงจากรถ เมื่อได้มองพื้นที่ตรงหน้านี้ให้เต็มตาก็รู้ว่าที่นี่คือสนามบิน! ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ถ้าถามว่าในชีวิตนี้เคยเจอเหตุการณ์ไหนที่งงมากที่สุด บอกได้เลยว่า ก็ตอนนี้นี่แหละครับ!
เนื่องจากสู้ไปก็ไร้ประโยชน์ ผมเลยปล่อยให้คุณหมีทั้งสองหิ้วไปมาตามใจชอบ ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตายแล้วโดนเจ้าหน้าที่ประกบขึ้นศาลตัดสินคดี อารมณ์ก็คงจะประมาณนี้ แต่ที่ศาลคงไม่มีพรมแดงปูเชื่อม ไปหาเครื่องบินแบบนี้ แล้วก็ไม่มีร่มกางบังแดดให้ด้วย...
“ดะ...เดี๋ยว จะพาผมไปไหน!”
เครื่องบินโบอิ้งลำมหึมาเปิดประตูรออยู่ หน้าบันไดขึ้นเครื่องมีแอร์โฮสเตสสาวสวย หุ่นโคตรเอ็กซ์ อกเป็นอก เอวเป็นเอว สวมชุดแดงปากแดง ยืนยิ้มแฉ่งผายมือรอต้อนรับผมอยู่
เด็ด! เด็ดพริกไปสิบเม็ดเลย
โวะ! อย่าเพิ่งมาดงมาเด็ดเลย ตอนนี้ผมต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์แปลกๆ นี่ก่อนถึงจะถูก!
มาคิดกันต่อ ถ้าพวกหมีๆ คิดจะเอาผมไปขายต่างแดนจริง มันก็ออกจะหรูหราหมาเห่าไปหน่อยว่าไหม หรือจริงๆ ผมโดนลักพาตัวมาเพื่อค้าอวัยวะให้กับเศรษฐีที่ต้องการเปลี่ยนหัวใจ ตับไต ไส้พุง
ฮือๆ ไม่น้าาาาา ถึงโลกมันจะห่วย แต่พวยก็ยังอยากมีชีวิตอยู่นะ
ผมโดนหิ้วขึ้นเครื่องบินก่อนจะถูกผลักลงบนเบาะที่นั่งแล้วนุ่มเด้งรับก้นดี๊ดี จนผมต้องขย่มเล่นสองสามทีแบบลืมตัวว่าตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์คับขันของชีวิต
ก็มันนุ่มง่ะ
หมีควายชุดดำจากไปอย่างว่องไว แต่มีนมตูมชุดแดงเดินเข้ามาคุกเข่าข้างที่นั่งของผมแทน พร้อมประโยคสุดฮิตที่คาดว่าจะเป็นประโยคพื้นฐานที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทุกคนต้องพูดได้
“รับกาแฟหรือชาดีคะ”
“น้ำเปล่าสักแก้วแล้วกันครับ” ผมตอบ แอบเก๊กเสียงหล่อนิดๆ แถมยกยิ้มที่คิดว่าดูดีไปให้เธอด้วย
อะ...อะไร? ก็คนเขามาคุกเข่าพร้อมพูดดีๆ ด้วยนี่นา จะให้ผมวี้ดว้ายใส่เขาได้ลงคอยังไงล่ะครับ ผมก็สุภาพชนคนหนึ่งนะเออ ไซส์นมเนิมอะไรไม่มีผลต่อผมสักติ๊ด!
เพราะผมมองที่หน้าตาเท่านั้น...แหะๆ
ผมได้น้ำจากคุณแอร์มาหนึ่งแก้ว คุณเธอบอกว่าหากต้องการอะไรเพิ่มให้กดสัญญาณไฟด้านบน เธอจะดิ่งมาบริการผมทันที ช่างเป็นการบินทุกระดับประทับใจจริงๆ ก่อนไปยังจับผมคาดเข็มขัดนิรภัยตรงเอวให้ด้วย ตามมาด้วยเสียงกัปตันที่บอกว่าเที่ยวบินส่วนตัวนี้จะถึงคฤหาสน์วอร์ตันในเวลาหกโมงตามเวลาท้องถิ่น
วอททททท!!!?
ผมมองออกนอกหน้าต่างขณะเครื่องบินกำลังทำการเทคออฟเอาหัวเชิดขึ้นและวิ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศ ความฝันพี่ตูนเป็นจริงแล้วครับทุกคน ในที่สุดแพงพวยก็บินได้ รู้สึกเสียววูบเสียววาบไปหมด จากที่กังวลว่าตัวเองกำลังจะถูกส่งไปไหนก็เปลี่ยนเป็นกังวลว่าจะทำยังไงไม่ให้อ้วกเรี่ยราดแทนดี
หมับ!
ช่วงกำลังพะอืดพะอมจู่ๆ ก็มีมือมารมาปิดตาผมไว้ เกือบจะกรี๊ดเป็นตุ๊ดอยู่แล้ว ไอ้เราก็นึกว่าผี! ที่จุกอยู่ตรงคอเมื่อกี้ไหลลงท้องหมดเลย ปัดโธ่! แต่เห็นกลัวผีแบบนี้แพงพวยชอบดูหนังผีกับเจ๊ไฉนะครับผม สี่แพร่งผีบนเครื่องบินก็เป็นอีกเรื่องที่ผมเคยดู จู่ๆ หน้าจอก็มืดไปไอ้พวยก็หวั่นใจอะดิ ถ้าไม่มีเสียงดุๆ เสียงหนึ่งขัดขึ้นมาก่อนที่ผมจะแหกปากร้องลั่นละก็นะ
“โลเวล เครื่องกำลังเทคออฟ อย่าซน กลับไปนั่งที่”
“แดดดี๊ เค้าจะนั่งกับแพงพวย”
ชัดเลย...
ติ๊ง~ (สัญญาณปลดเข็มขัดได้)
“ปลดเข็มขัดพอดี งั้นก็นั่งไปเถอะ”
“ละ...โลเวล?”
“เซอร์ไพรส์~ เค้าเอง” โลเวลยกมือที่ปิดตาผมออก ด้านหลังของเด็กน้อยที่กำลังยิ้มแป้นแล้นคือคุณพ่อสุดหล่อของเขา
เอาล่ะ...ตอนนี้ผมก็เบาใจไปได้เปลาะหนึ่งว่าตัวเองคงไม่โดนจับไปขายหรือค้าอวัยวะแล้ว แล้วจับสุดหล่อมาทำไม ฮึ?
“ผมต้องการคำอธิบาย” ผมทำหน้าจริงจัง ทำสายตาเป็นนัยๆ ว่าเขาตอบแทนผู้มีพระคุณกันแบบนี้เรอะ! นี่ผมเป็นคนช่วยลูกคุณนะจำไม่ได้เหรอ
ขณะที่คิดอยู่นั้นคุณพ่อของโลเวลเองก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ผมสบตาเขาตรงๆ อย่างเอาเรื่อง ดวงตาคมคู่นั้นของเขาพอได้มาจ้องแบบนี้แล้วกลับให้ความรู้สึกเหมือนหลุมที่มองไม่เห็นก้น ผมไม่พบอะไรในนัยน์ตาคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ มันนิ่งเรียบจนผมต้องกลืนน้ำลายอึกหนึ่งลงคอด้วยความหวั่นใจ
เรายังคงจ้องกันไปจ้องกันมา ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร กลายเป็นว่าถ้าใครหลบตาก่อนแพ้ซะงั้น
เฮ้ย! มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงวะ
แต่ถึงดวงตาประกายเขียวนั่นจะเย็นชา น่าหวั่นเกรงเพียงใด แต่คนอย่างไอ้พวยไม่ยอมหลบตาใครก่อนเด้อ! แม้ว่าร่างกายของผมจะเริ่มเกิดอาการเหงื่อแตกตามสัญชาตญาณระวังภัยขึ้นมาแล้วก็ตาม ยังไงผมก็จะไม่ถอย!
ก็เอาซี่ ผมนั่ง เขายืน จะยืนจ้องตาผมทั้งวันผมก็ไม่ว่าหรอกนะ คนไม่มีการมีงานทำอย่างพวยว่างพอครับ! อิอิ
“ง่า~ ไม่มีใครสนใจเค้าเลย!” เสียงที่ร้องงอแงของโลเวล ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนเลิกเกมจ้องตากัน แล้วหันกลับมาสนใจเจ้าหนูผู้น่ารักแทน “ไปกินข้าวกันเถอะเค้าหิวแย้ว นะๆ”
“ก็ไปสิ”
พอลูกพูดขึ้นมาแบบนั้น คุณพ่อของโลเวลก็เดินนำลิ่วๆ ไปก่อนทันที ไม่สนใจลูกสนใจหลานเล๊ยยย ให้ตายเถอะ! เขาเป็นพ่อภาษาอะไร ภาษาอังกฤษหรือภาษารัสเชี้ยกันแน่เนี่ย!
อยากจะลุกตามไปด่าในใจต่อ ติดที่ว่าลุกไปไม่ได้ โลเวลเห็นท่าทีโง่เง่าของผมก็เดินเข้ามาถอดเข็มขัดนิรภัยออกให้ สารภาพว่าถ้าเจ้าหนูนี่ไม่มาถอดให้ผมก็คงลุกไปไหนไม่ได้เพราะถอดไม่เป็น
แหม เขินเด็กจัง ก็นะ...จะเอาอะไรกับคนไม่เคยนั่งเครื่องบินล่ะครับ
ผมถูกโลเวลจูงมือไปยังห้องอาหาร ใช่ครับ ฟังไม่ผิดหรอก ห้องอาหารบนเครื่องบิน...คนรวยนี่มันดีจริงจริ๊งงง โต๊ะอาหารขนาดยาวเด่นหราอยู่กลางห้อง เก้าอี้ก็มีหลายตัวเหลือเกิน ผมควรจะนั่งตรงไหนดีวะเนี่ย
ขณะที่กำลังลังเลยึกๆ ยักๆ อยู่คุณพ่อโลเวลที่นั่งหัวโต๊ะก็พยักพเยิดเป็นเชิงให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ด้านขวามือเขา ส่วนโลเวลวิ่งไปนั่งข้างซ้าย หลังจากประจำที่กันแล้ว พนักงานในชุดขาวที่ดูท่าจะเป็นเชฟก็ยกอาหารออกมาเสิร์ฟด้วยตัวเอง ชุดอาหารเช้าอันประกอบด้วยไข่ดาว ไส้กรอก แฮม เบคอน ผักโขม มะเขือเทศ และขนมปังปิ้ง กาแฟหอมกรุ่น และนมสด
“ผมต้องการคำอธิบาย”
ผมกอดอกตัวเองแน่น บอกเลยว่าผมเป็นคนดื้อ ถ้าไม่ได้คำอธิบายกับเรื่องที่ผมโดนจับตัวมาผมก็ไม่ยอมหรอกนะ แถมไอ้บ้าที่จับผมมายังทิ้งถุงใส่ข้าวของของผมไม่ยอมเอามาด้วย! อย่าให้ผมกินดีหมีหัวใจเสือขึ้นมาเชียวนะ พวยจะกลับไปอัดมันสักตุ้บ นั่นมันสมบัติชิ้นเดียวของแพงพวยเลยนะฮ่วย!
“กินก่อนค่อยคุย อาหารจะเย็น เลยเวลาอาหารเช้ามานานแล้ว”
พ่อเจ้าหนูตอบกลับมาเรียบๆ ตาไม่มองมาทางผมด้วยซ้ำไป สองพ่อลูกก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าโดยไม่สนใจผมที่ทำหน้าบู้บี้อยู่ แง พวกบ้า! อันที่จริงก็อยากจะโวยวายมากกว่านี้ แต่กลิ่นหอมๆ ของอาหารที่ลอยมาเตะจมูกทำให้ท้องผมร้องโครกครากอย่างไม่น่าให้อภัย เออ! กินก่อนก็ได้ว้า
“โลเวลไม่กินผักเหรอครับ” ผมถามเจ้าหนูที่กินทุกอย่างยกเว้นผักแล้วเล่นเขี่ยไปเขี่ยมาแทน ทันทีที่ผมพูดจบ พ่อมันก็หันมองลูกตัวเองขวับทันที
โอ๊ะโอ...เหมือนว่าผมจะชักศึกให้เจ้าหนูแล้วสิ
“แดดดี๊เค้ากินแล้ว ดูสิเหลือนิดเดียวเอง” โลเวลทำหน้าบ้องแบ๊วฉีกยิ้มหวานให้พ่อตัวเอง
กินเกินอะไร๊ พวยไม่อยากจะแฉเด็กหรอกนะว่าเจ้าหนูโลเวลที่ยิ้ม หวานๆ ฉอเลาะอยู่ตอนนี้ เวลาที่พ่อเขาเผลอๆ ผมยังเด็กนี่เห็นแอบหยิบมะเขือเทศปาทิ้งเป็นว่าเล่นอยู่เลย
เด็กนี่มันร้ายครับหัวหน้า...
หน้าเนื้อใจเสือเชื่อไม่ได้จริงๆ
หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จโลเวลก็วิ่งแจ้นมาหาผมทันที ทำอย่างกับการนั่งโต๊ะคนละฟากเมื่อกี้เป็นการโดนพรากลูกพรากพ่อมาสามปี
ก็นะ...คนมันหล่อเด็กก็ชอบเป็นธรรมดา เคี้ยกๆ
“คำอธิบายของผม?”
“เด็กคนนี้” พ่อของโลเวลชี้มาที่ลูกตัวเองซึ่งนั่งอยู่บนตักของผมแล้ว
เจ้าหนูโลเวลทำตาแป๋วฉีกยิ้มออดอ้อน ความน่ารักแบบอันลิมิตพุ่งกระแทกใจผมทันที ได้แต่บอกตัวเองในใจว่า อย่าได้เชื่อเจ้าหนูนี่เด็ดขาด นี่เป็นแค่ภาพมายา!
“ครับ?”
“เมื่อวาน ฉันเพิ่งไล่พี่เลี้ยงคนเก่าออก เด็กนี่ ตอนนี้ไม่มีคนเลี้ยงแล้ว”
“แม่เขา...”
“ไม่มี”
“อ่าครับ แล้ว?”
“ให้นายเอาไปเลี้ยง”
“เย้ๆ เลี้ยงเค้าๆ นะๆๆ”
“หา!? ผมไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนนะ! แล้วผมก็เป็นผู้ชายด้วย คุณหาผู้หญิงหรือไม่ก็พวกมืออาชีพไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“พวกมืออาชีพเพิ่งทำลูกฉันหาย ส่วนนายเลี้ยงไปก่อนค่อยว่ากันอีกที และโลเวลก็ชอบนาย อีกอย่างนายเพิ่งโดนไล่ออกจากห้อง คิดจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ เงินติดตัวก็ไม่มี อยู่กับฉันมีเงินเดือน ห้องพัก อาหาร วันหยุด วันลาและโบนัส”
ถามจริง นี่ไปแอบสืบมาหมดแล้วใช่ไหม
แหม...แล้วคิดว่าพวยเป็นคนยังไงฮึ
“เริ่มงานวันไหนครับท่าน”
ฮี่ๆ เป็นคนแบบนี้แหละครับ ยอมตั้งแต่มีเงินเดือนแล้วจ้า พ่อคุณทูนหัวของบ่าว มาเลยมาพวยอยากทำงานใจจะขาดแล้ว
“ตอนนี้เลย”
“ได้ครับท่าน! ตะ...แต่ว่าวันหลังช่วยนุ่มนวลกับผมมากกว่านี้หน่อยนะครับ”
“อืม วันหลังฉันจะนุ่มนวลกว่านี้” อีกฝ่ายพยักหน้าตอบผมด้วยใบหน้าจริงจัง แต่ทำไมมันถึงฟังล่อแหลมแปลกๆ นะ
“อะ...เอ่อ ผมหมายถึงว่า บอกกล่าวกันดีๆ ไม่ใช่ลากไปลากมาแบบนี้ เกิดผมหัวใจวายตายหรือทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมา มันจะแย่เอานะครับ”
“ฉันเข้าใจแล้ว ลีวอน วอร์ตัน ยินดีที่ได้ร่วมงาน” คุณลีวอนยื่นมือขวามาให้ตามธรรมเนียม แต่จะว่าไป ชื่อของเขาก็คุ้นๆ อยู่เหมือนกัน
“แพงพวย ติตระการครับท่าน!”
ผมยืนสองมือออกไปจับมือขวาของเจ้านายคนใหม่ล่าสุดอย่างนอบน้อม รู้สึกดีใจเหลือหลาย นาทีนี้ถ้าเกิดผมมีหาง มันคงจะส่ายดุกดิกไปมาไม่หยุด ในที่สุดแพงพวยก็มีวันนี้กับเขาแล้ว ทุกคนภูมิใจในตัวผมได้แล้วนะครับ
“จับด้วยๆ”
โลเวลยื่นมือมาจับด้วยอีกคน ช่างเป็นการต้อนรับที่อบอุ่นดีแท้แต่ยังไงก็ช่างมันเถอะครับ! นาทีนี้ต้องโฟกัสเรื่องงาน ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง!
ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่มีประสบการณ์การเลี้ยงเด็กมาก่อน
แต่ว่าผมจะพยายามแล้วกันครับ!
ผม ‘นายแพงพวย’ ไม่เคยอยากมั่งมี
แต่ผมอยากมีมั่งอ่า~ ?