นี่คือสถาน...แห่งบ้านทรายทอง ที่ผมปองมาสู่ พวยยังไม่รู้ เขาจะต้อนรับขับสู้ พวยเพียงไหน~
ถ้าผมมีเปียสองข้างสักหน่อย กับในมือมีชะลอมไม้ไผ่คงจะได้อารมณ์พจมานกว่านี้ ฮี่ๆ หลังจากผ่านช่วงนั่งๆ นอนๆ ป้อนข้าวป้อนนม เฮฮาปาจิงโกะกับโลเวลบนเครื่องบิน เราก็ทำการแลนดิ้ง ณ บ้านทรายทองวอร์ตัน ในเวลาหกโมงเย็นตามที่กัปตันบอกเป๊ะๆ แล้วคือต้องรวยแค่ไหนถึงมีรันเวย์อยู่หลังบ้านได้ เห็นแล้วพจพวยก็อดอิจฉาริษยาชายเล็กโลเวลเบาๆ ไม่ได้
ล้อเล่นน่า…ผมก็แค่ภาคภูมิใจแทนบรรพบุรุษต้นตระกูลติตระการอย่างอดไม่ได้ ที่ไอ้กระผมได้มาทำงานกับคนใหญ่คนโตระดับโลก
ระดับโลกเชียวนะ!
มิน่าผมถึงว่าชื่อเขามันคุ้นนัก
ผมเพิ่งมารู้ว่านามสกุล ‘วอร์ตัน’ มันโด่งดัง และทรงอิทธิพลขนาดไหน น้ำตาพวยจะไหลนองหน้าด้วยความปลื้มปริ่ม ไม่คิดไม่ฝันว่าคนไก่กาอาลาเล่ สาระไม่มี สามีก็เช่นกันอย่างผม จะได้มาทำงานเป็นพี่เลี้ยงของลูกชายเพียงคนเดียวของคุณลีวอน วอร์ตัน
ถึงผมจะกลัวผี แต่คนดีผีไม่ทอดทิ้งจริงๆ นะ ความดีที่อุตส่าห์สั่งสมมา ในที่สุดก็ส่งผลแล้ว สาธุๆ
คุณ ลีวอน วอร์ตัน ประธานคนปัจจุบันของ วอร์ตันโฮลดิ้ง บริษัทแม่ ที่มีบริษัทย่อยอย่าง WT Bank ธนาคารระดับโลก ที่ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนแก่บุคคลทุกระดับ และยังออกเงินลงทุนในทุกภาคการตลาดทั่วทุกมุมโลก นอกจากจะเป็นบริษัทด้านการเงินยักษ์ใหญ่ของอังกฤษแล้ว ยังลงทุนในธุรกิจการบินอย่าง Lowell Airline คงไม่ใช่ว่าเอาชื่อลูกมาตั้งหรอกนะ (นั่นแหละถูก)
ยังๆ ยังไม่พอ นี่ยังไม่นับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ด้วย ในทุกปีที่ Forbes Global 2000[1] จัดอันดับบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก วอร์ตันโฮลดิ้งก็จะติดหนึ่งในสิบตลอด แถมยังอยู่ในอันดับต้นๆ อีกด้วย ไหนจะข่าวลือในตลาดมืดอีกตั้งมากมาย
อะๆ อย่าถามว่าคนที่อินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึงอย่างผมรู้ได้ไง ง่ายมากครับ ก็จากนิตยสารข่าวบนเครื่องบินนั่นแหละ ปัดโธ่! ความรงความรู้เรื่องเศรษฐกิจอะไรนั่น ไม่เคยมีในกมลสมองของนายแพงพวยเลยสักติ๊ดดด ที่ว่ามาเมื่อข้างต้น ไม่อยากบอกว่าก็อปมาจากนิตยสารแหละ อิอิ แต่เจ๊ไฉก็เคยเล่าให้ผมฟังมาเหมือนกันว่าประเทศเรา บางทีอาจจะไปขอยืมเงินจาก WT Bank มาอย่างลับๆ เพื่อมาใช้หนี้ IMF[2] ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า
แต่ยังไงก็ตาม ไม่แปลกใจเลยที่ไอ้หมีสองตัวที่จับผมมาจะไม่เกรงกลัวอำนาจกฎหมาย กล้าฉุดคนกลางวันแสกๆ แดดออกเปรี้ยงๆ ก็มีแบ็กใหญ่ไร้เทียมทานขนาดนี้ ได้ข่าวว่านามสกุลนี้เป็นตระกูลขุนนางเก่าซะด้วยสิ
เป็นผมก็เดินกร่างตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอยเหมือนกันแหละ แฮ่!
ถ้ามีโอกาสได้กลับบ้านไปละก็ ผมจะโม้กับเจ๊ไฉสักสามวันเจ็ดวัน แล้วขอถ่ายรูปกับคุณลีวอนไปอวดเล่นด้วยดีกว่า จะให้ดีทำเป็นไวนิลติดหน้าหมู่บ้านไปเลย ให้มันรู้ไปว่าใครใหญ่~
พูดถึงเจ๊ไฉ ไม่รู้ป่านนี้จะรู้หรือยังว่าผมไม่ได้อยู่ที่นู่น แต่วาร์ปมาอยู่ที่นี่แล้ว เอาไว้ผมคงต้องของยืมโทรศัพท์โทรทางไกลไปบอกข่าวอิเจ๊สักหน่อย เกิดไปแจ้งความคนหายจะเสียเวลาให้ตำรวจตามหาเปล่าๆ ปลี้ๆ
เมื่อเครื่องบินลงจอด ผมก็อุ้มโลเวลเดินตามคุณลีวอนขึ้นไปนั่งบน รถกอล์ฟเพื่อตรงไปยังคฤหาสน์ซึ่งปรากฏให้เห็นจากที่ไกลๆ
หลังจากขับผ่านทุ่งหญ้าโล่งกว้าง คฤหาสน์สีขาวที่เลือนรางก็แจ่มชัดขึ้นเมื่อเรามายืนอยู่ต่อหน้ามัน ด้านในมีสวนดอกไม้สไตล์อังกฤษ การออกแบบ ที่ได้รับความนิยมจากยุคกลาง ทำให้ตัวบ้านดูหรูหราและสง่างามน่าเกรงขาม ทุกส่วนเต็มไปด้วยมนตร์ขลังราวกับหลุดออกมาจากโลกของเทพนิยาย
“ยินดีต้อนรับกลับครับนายท่าน นายน้อย แล้วก็คุณแพงพวย”
ทันทีที่ก้าวลงจากรถเราก็ได้รับการทักทายเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงบริติชที่โคตรจะผู้ดีชนิดที่ผมหัดมาทั้งชีวิตยังสู้ไม่ได้ ผมมองผู้พูดอย่างสำรวจ เขาหน้าตาดีเลยทีเดียว แต่ออกแนวผู้ชายสุภาพเรียบร้อย อาจจะเป็นเพราะชุดพ่อบ้านของเขาก็ได้ที่ทำให้ภาพลักษณ์เจ้าตัวเป็นเช่นนั้น และเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะมีตำแหน่งในบ้านหลังนี้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
“อะ...เอ่อ ไนท์ทูมีทยูทู”
ฮาาา ตื่นเต้นจังเลยครับ ผู้ชายคนนี้ เขาดูเนี้ยบกริบตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมเวลาอยู่ต่อหน้ายังให้ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่กับครูฝ่ายปกครอง ถ้าคุณทำผิดเขาก็พร้อมจะยกไม้เรียวขึ้นหวดคุณทันที แม้ใบหน้านั้นจะยิ้มแย้มก็ตามที
“นี่ คริสโตเฟอร์ เดวิด เป็นเลขาของฉัน เรื่องเซ็นสัญญาว่าจ้าง และเอกสารต่างๆ ของนายเขาจะเป็นคนจัดการ ดินเนอร์เริ่มตอนหนึ่งทุ่ม หลังจากเสร็จแล้วคริสจะพานายมาส่งที่ห้องอาหารเอง”
คุณลีวอนบอกก่อนจะมองโลเวลในอ้อมแขนผม เจ้าหนูอิดออดก่อนจะขอลง สองพ่อลูกเดินตามกันไปทางด้านขวามือ ทุกสามก้าวโลเวลจะหัน มามองผมหนึ่งครั้ง รู้น่าว่าหล่อ อย่ามองมากเดี๋ยวสึกหรอ เอิ๊กกก
ผมยิ้มให้เจ้าหนู ก่อนจะทำเมินตาแป๋วๆ ที่มองมาอย่างอ้อยอิ่งนั่น แม้สัญชาตญาณของความเป็นพ่อมันจะพลุ่งพล่านขนาดไหนก็ตาม
“เชิญทางนี้ครับ” คุณคริสผ่ายมือให้ผมอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินนำไปด้านซ้าย ตลอดสองข้างทางที่เราเดินผ่านถูกประดับด้วยรูปวาดและรูปปั้น บ้างก็เป็นวิวธรรมชาติ บ้างก็เป็นคนในชุดขุนนางและสตรีชนชั้นสูง
เห็นแล้วขนแขนของผมก็แทบจะพร้อมใจกันลุกเกรียว ผมรู้สึกเหมือนโดนรูปวาดสีน้ำมันพวกนี้จ้องมองในทุกก้าวที่เดินผ่าน ยิ่งบรรยากาศโพล้เพล้เหมือนผีจะโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อแบบนี้แล้วด้วย บรึ๋ยยย
ไอ้คุณคริสก็ไม่คิดจะรอผมเล้ย เดินจ้ำเอาๆ อย่าให้ไอ้พวยขายาวเท่าบ้างนะ ผมจะเดินแซงให้ดู! แต่ตอนนี้ขอวิ่งตามไปก่อน
รอเก๊าด้วยยยยย ตัวเองงงงง
ผมวิ่งไปจับชายเสื้อสูทของคุณคริสเอาไว้เพื่อความอุ่นใจ อีกฝ่ายปรายตามามองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เราเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่งซึ่งมีโต๊ะทำงานและตู้เอกสารอยู่หลายตู้ แล็ปท็อปอีกสามสี่เครื่อง เครื่องพิมพ์และถ่ายเอกสาร
ที่นี่คงจะเป็นห้องทำงานของคุณคริส ที่น่าประทับใจคือมันเป็นห้องที่สะอาดมาก ทุกอย่างดูมีระบบระเบียบสะท้อนนิสัยเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี คุณคริสเชิญผมนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“ต้องขอโทษแทนที่คนของเราทำตัวไม่สุภาพกับคุณด้วยนะครับ ตอนนั้นจำเป็นต้องรีบเพื่อให้ทันเครื่องออก หวังว่าคุณจะไม่ถือสา”
แหมมม ก็พูดมาได้เนอะ ทำมาตั้งขนาดนี้แล้ว ถึงพวยอยากจะถือสา แต่มันจะทำอะไรได้ล่ะ โวะ!
“ไม่ถือสาครับ” ผมแย้มยิ้มออกมาอย่างเจ็บแค้น
ไม่ถือสา แต่จะเก็บไว้ในใจ อย่าให้ถึงทีของพวยนะ หึหึ…
“นี่เป็นสัญญาและรายละเอียดข้อตกลงต่างๆ มีด้วยกันสองชุด กรุณาอ่านให้ละเอียดก่อนเซ็นชื่อ ทางเราจะเก็บไว้หนึ่งชุด เซ็นชื่อตรงนี้ก็ถือว่าเราจ้างงานคุณเรียบร้อยแล้วครับ”
ผมเปิดอ่านสัญญาที่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษอย่างลวกๆ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างตามประสาคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา แต่ที่ขอเบิกตาดูให้ชัดๆ คือตัวเลขเงินเดือน เห็นแล้วก็มือสั่นหงึกๆ ทันที เพราะมันสูงไม่ใช่เล่น เขาป๋ากันจริงๆ
ตามสัญญาผมได้หยุดหนึ่งวันต่อสองสัปดาห์ นอกนั้นก็เลี้ยงลูกให้เขายาวๆ ถึงแม้วันหยุดจะน้อย แต่ผมก็เข้าใจนะว่าเขาจ้างผมมาเลี้ยงเด็ก ถ้าผมหยุดใครจะเป็นคนดู แค่ได้หยุดก็นับว่าดีแล้ว แถมยังลาได้สิบห้าวันต่อปี นอกนั้นผม ก็ไม่สนใจแล้ว ทำการจรดปากกาเซ็นอย่างว่องไวตามความใจง่ายของตัวเอง คุณคริสยิ้มให้ผมก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือมาตรงหน้า ผมลุกมาจับตอบอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น
“ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ อ้อ คุณใช้ภาษาอังกฤษได้เก่งมาก”
“น่าจะเป็นเพราะเมืองซันชายน์ที่ผมจากมาเป็นเขตปกครองพิเศษ แถมชาวต่างชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษในเมืองก็เยอะมาก อีกอย่างผมก็โตมาในโบสถ์คริสต์ด้วย คุณพ่อท่านเป็นคนอังกฤษ แล้วก็เลี้ยงผมมาเองกับมือน่ะครับ”
อันนี้พูดจริงไม่ติงนัง เลี้ยงด้วยมือจริงๆ ครับ ไม้เรียวไม่เคยขาดมือ ท่องศัพท์ผิดหนึ่งคำโดนหนึ่งเพียะจ้า ไอ้พวยผู้ไม่เคยเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่หน้าไม้เรียวเค้ายอม ฮือ...เจ็บแบบไม่แรงจะก้าวเดิน
ผมมองสัญญาว่าจ้างในมือแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนี้นายแพงพวยก็ถือเป็นลูกจ้างอย่างสมบูรณ์ แอบคิดในใจว่าถ้าได้เงินเดือนก้อนแรกมาเมื่อไหร่ ผมจะต้องถอนออกมาตบๆ ตามตัวแล้วพูดว่า เฮง เฮง เฮง สักหน่อยท่าจะดีถือเป็นการเรียกทรัพย์เข้าตัว ความคิดนี้เข้าท่าไม่หยอกเลยจริงๆ
เมื่อเซ็นสัญญาเสร็จคุณคริสก็พาผมมาส่งหน้าประตูห้องอาหาร ก่อนจะขอตัวไปสะสางงานเอกสารต่อ ตอนที่ผมผลักประตูไม้บานใหญ่เข้าไปในห้อง โต๊ะอาหารยาวเฟื้อยแบบที่พวกคนรวยชอบใช้กันเป็นสิ่งแรกที่ผมเจอ คิดว่าบนเครื่องบินยาวแล้วอันนี้ยาวกว่าหลายเท่า ประเมินจากสายตาน่าจะราวห้าสิบคนนั่งได้ แชนเดอเลียร์ด้านบนส่องแสงระยิบระยับ ในขณะที่บนโต๊ะสว่างไสวด้วยเชิงเทียน ดอกไม้นานาชนิดถูกจัดเป็นพุ่มตกแต่งไว้ตรงกลางโต๊ะ
เอาจริงๆ นะ คนอื่นอาจจะชอบบรรยากาศที่ดูโรแมนติกคลาสสิกนี่ แต่จากสายตาของผม อะไรที่มันโกธิกๆ อย่างนี้แหละ...ผีชอบ ด้วยไม่อยากจะคิดต่อให้ตัวเองกลัวไปมากกว่านี้จึงปัดมันทิ้งไป
สองพ่อลูกที่น่ารัก ทูนหัวของบ่าว ทูลกระหม่อมจอมใจของแพงพวย ได้นั่งรอเป็นที่เรียบร้อย ผมยิ้มกว้างเดินไปหาทั้งสองพลางคิดในใจว่าจะมีโต๊ะยาวๆ ไปเพื่ออะไร ในเมื่อก็นั่งกันแค่หัวโต๊ะ ทันทีที่เห็นหน้าผมโลเวลที่ทำหน้างอคอหักอยู่ก็พลันแจ่มใสในบัดดล อีกนิดก็กระดิกหางได้แล้วไอ้หมาน้อยเอ๊ย
“เรียบร้อยดีแล้วใช่ไหม ถ้ามีจุดไหนไม่พอใจก็บอกฉันได้”
“ครับท่าน” ผมตอบพลางนั่งลงด้านขวามือของเขา
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ถึงนายจะเป็นลูกจ้าง แต่ก็เป็นผู้มีพระคุณเหมือนกัน ฟรานซิสโก้ตั้งโต๊ะอาหารได้แล้ว”
คุณลีวอนสั่งพ่อบ้านที่ยืนอยู่มุมขวา ไม่นานอาหารมากหน้าหลายตา ก็มาตั้งสลอนเรียงกันให้สวยงามตามท้องเรื่องอยู่ตรงหน้าผม แต่ชิมแล้วไม่ ถูกปากผู้ที่นิยมลาบส้มต้มแซ่บอย่างผมเท่าไหร่ ทั้งชีวิตนี้เคยกินแต่อาหารรสจัด พอมากินอาหารที่รสอ่อนหน่อยก็พลันกินไม่อร่อยไป
การรับประทานอาหารดำเนินไปอย่างเงียบๆ โลเวลยิ้มฉอเลาะมาให้ผมเป็นครั้งคราว อ่า...ให้ตายสิ กินข้าวกับพวกผู้ดีนี่อึดอัดชิบเป๋ง อยากกลับไปซดมาม่าเหลือเกิน ตั้งแต่เจอกับโลเวลผมไม่ได้กินมาม่ารสต้มยำทะเลมาเป็นเวลาสี่สิบกว่าชั่วโมงแล้ว ผมชักจะคิดถึงมันแล้วสิ...
“โลเวล กินผักด้วย”
“แดดดี๊...”
“หนึ่ง”
“เค้ากินแล้ว...”
นี่คงจะเป็นสงครามภายในครอบครัวละมั้งครับ ‘กินผักวอร์’ ปฐมบทแห่งการกินผัก คุณพ่อ ปะทะ คุณลูก ผมที่ไม่รู้สึกอยากอาหารถึงกับละสายตาจากการนั่งเอาส้อมจิ้มเนื้อฟิเลมิยอง[3]ไปมองพ่อลูกวอร์ตัน
“สอง”
“ฮึกๆ แดดดี๊ เค้ากินแล้วจริงๆ”
“ถึงสามเมื่อไหร่เข้าห้องมืด”
เอาเว้ย ห้องมืดก็มา นี่ลูกหรือนักโทษ!
“แง~ แพงพวย!!” โลเวลส่งเสียงเรียกผมอย่างขอความช่วยเหลือ กลางหน้าผากเจ้าหนูเหมือนถูกแปะด้วยคำว่า Save my life ทำให้คนมองอย่างผมเกิดสงสาร
“แพงพวย!!” คุณลีวอนเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าส่งเสียงเรียกตามอีกคน
งื้อออ ทูนหัวของบ่าวจะเรียกพวยพร้อมกันทำไมล่ะครับ ผมขอเป็นผู้ชมก็พอ จะไฟท์กันก็ละเว้นข้าทาสอย่างผมเถอะ ไม่อยากมีเอี่ยวกับสงคราม กินผักนี่เลย แต่เหมือนพวกเขาจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แต่ละคนผลัดกันเรียกชื่อผมสลับกันไปมาเหมือนกับมีระบบเรียกชื่ออัตโนมัติ
เอาเถอะครับ นี่อาจจะเป็นบททดสอบสนามแรกในฐานะพี่เลี้ยงของผม คงต้องทำอะไรสักอย่างสินะ อ่า...ทำอะไรดีล่ะ ก็บอกแล้วว่าไม่เคยเลี้ยงเด็กๆ
“โลเวลมานี่มา”
ผมอ้าแขนเป็นเชิงบอกให้โวเวลมาหา เด็กน้อยวิ่งปรี่มาให้ผมกอดทันที น้ำหูน้ำตาร่วงเผาะๆ เห็นแล้วก็อดยื่นมือไปเช็ดให้ไม่ได้ ผมเหลือบมองพ่อของเจ้าหนูลอดแว่นสายตาเล็กน้อยอย่างโกรธๆ เจ้าตัวทำหน้าเหมือนจะรู้สึกผิดอยู่ นิดหนึ่ง ก่อนจะหยิบไวน์ขึ้นมาจิบกลบเกลื่อน แสดงว่าท่ามองลอดแว่นที่เลียนแบบมาจากซิสเตอร์ไดแอนยังใช้ได้ผลอยู่ กิกิ
เฮ้อ...เขานี่มันจริงๆ เลยน้า เห็นไหมว่าลูกร้องไห้เหมือนหมูเหมือนหมาแล้ว แกยังเป็นเด็กอยู่เลย พูดดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องขู่อะไรขนาดนั้น
“ฮึกๆ เค้าไม่ไปห้องมืดนะ ไม่เอานะ”
“ไม่ต้องกลัวนะครับ คุณพ่อก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไหนลองบอกมาสิ ทำไมหนูถึงไม่ชอบกินผัก” ผมรู้ว่าการที่จะเลี้ยงลูกสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ยังไงมันก็ต้องใช้เหตุผลหรือเปล่า ถึงแกจะเป็นเด็ก แต่ก็พอจะคุยรู้เรื่องแล้ว ไม่ใช่เอะอะขู่ แรกๆ มันก็ใช้ได้ผลดีอยู่หรอก แต่นานไปเด็กจะมีปมในใจเอาได้
แหม นานๆ ทีจะได้คิดอะไรที่ดูมีสมองเหมือนคนเรียนจบมหาลัยกับเขาบ้าง ผมนี่มันเท่ไม่หยอกเลยว่าไหมครับ
“กะ...ก็มันไม่อร่อยเลย เค้ากินแล้วรู้สึกเหมือนเค้ากำลังจะตาย แต่แดดดี๊ก็ชอบให้เค้ากินอยู่นั่นแหละ แดดดี๊อาจจะลืมไปแล้วว่าเค้ายังเป็นเด็กอยู่นะ ฮึกๆ ฮือออ เด็กที่ไหนเขาชอบกินผัก”
เอิ่ม...เอาออสการ์ไปเหอะ ถ้าจะเล่นใหญ่ขนาดนี้พ่อคู๊ณณณ ผมยังไม่เห็นมีใครตายเพราะกินผักโขมหรือมะเขือเทศนะ ให้ตายเถอะเด็กคนนี้…
โลเวลเล่าทั้งน้ำตา ดูคับแค้นใจเหลือหลาย ก็นะ...สกิลปาผักคงจะใช้ไม่ได้ตลอด ผมกอดปลอบแล้วจุ๊บขมับแกเสียยกใหญ่ ขวัญเอ๋ยขวัญมา เอาจริงๆ ผมเองก็ปวดใจเวลาเห็นเจ้าหนูนี่ร้องไห้เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจว่าคุณลีวอนเองก็หวังดีกับลูก แต่แกเพิ่งจะห้าขวบนะ!
ตอนห้าขวบผมยังนั่งน้ำลายไหลหยดติ๋งๆ เป็นหมาบ้าอยู่เลย แถมเล่นแคะขี้มูกดีดใส่คุณพ่อตอนอ่านพระคัมภีร์ด้วย อุ๊บส์...หลุดปากจนได้ แต่จะพูดไปตัวบาปหนาก็ไอ้พวยนี่แหละครับ ฮา...ตอนนั้นผมยังเป็นเด็ก ไม่ประสีประสากางเกงในก็ยังใส่ผิดด้าน เพราะฉะนั้นให้อภัยผมเต๊อะ
“งั้น...ถ้าสมมุติว่าผักมันอร่อยโลเวลก็จะกินใช่ไหมครับ”
“อื้อ ถะ...ถ้ามันอร่อยจริงๆ เค้าจะยอมกินให้ก็ได้”
“จริงนะ งั้นมาสัญญากัน”
“ไม่สัญญาไม่ได้เหรอ...”
“แน่ะ! อย่าเล่นแง่สิครับ มาสัญญากัน”
“งื้อ ก็ได้ๆ แต่มันต้องอร่อยจริงๆ นะ”
เราสองคนเกี่ยวก้อยกัน ลืมกันไปแล้วหรือยังครับว่าผมเรียนจบ คหกรรมมา กะอีแค่เด็กไม่กินผักไม่ใช่เรื่องที่แก้ยากอะไรสำหรับผมเลย
“คุณลีวอนครับ ต่อไปนี้ให้ผมดูแลเรื่องอาหารของโลเวลเองจะได้ไหม ผมรับรองว่าครบถ้วนห้าหมู่แน่นอน”
“ตามใจนายเถอะ ยังไงนายก็เป็นพี่เลี้ยงของแก”
--------------------------------------------
[1] Forbes Global 2000 เป็นการจัดอันดับประจำปีของบริษัทมหาชนชั้นนำ 2,000 แแห่งทั่วโลก โดยนิตยสารForbes
[2] IMF กองทุนการเงินระหว่างประเทศ
[3] ฟิเลมิยอง (Filet Mignon) สันในวัว ในภาษาฝรั่งเศส เป็นส่วนที่นุ่มที่สุด กินคู่กับซอส ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า เทนเดอร์ลอยด์ (tenderloin)