‘ลีวอน วอร์ตัน’ เศรษฐีหนุ่มผู้เป็นมหาอำนาจจากซีกโลกตะวันตก ร่างสูงของชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสูทราคาแพงตอนนี้กำลังวิ่งไปทั่วทั้งสวนสาธารณะ หลังจากที่เขาได้รับแจ้งจากบอดี้การ์ดว่าแนนนี่ได้พาลูกชายของเขาไปเล่นซ่อนหา แต่ผ่านมาตั้งสามชั่วโมงจนป่านนี้ยังหาไม่เจอ!
เขากับลูกชายไม่ใช่คนท้องที่เมืองซันชายน์แห่งภูมิภาคเอเชียนี้ ด้วย มีเหตุให้มาเจรจาธุรกิจที่ตึก S ซึ่งตั้งตระหง่านเสียดฟ้าอยู่ข้างสวนสาธารณะ คนเป็นพ่อจึงให้พี่เลี้ยงพาลูกชายไปเล่นที่สนามเด็กเล่นขณะรอเขาเสร็จภารกิจ
แต่ไม่รู้เล่นกันอีท่าไหนถึงทำลูกเขาหายไป!
พี่เลี้ยงคนนั้นโดนไล่ออกทันที ทั้งที่ลีวอนอยากจะหยิบปืนมาเป่าหัว อีกฝ่ายมากกว่า แต่เห็นแก่ที่อยู่กับโลเวลมาตั้งแต่เกิดจึงไม่ได้ลงมือทำอะไรรุนแรง ทว่ายังไงเขาก็ไม่อาจปล่อยอีกฝ่ายไปได้ง่ายๆ
ด้วยเหตุนี้ แนนนี่รายนั้น จึงโดนแบนจากการเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับมาหากินกับอาชีพนี้ได้อีกต่อไป
ส่วนชายหนุ่มก็นำทีมบอดี้การ์ดที่พามาด้วยเพียงห้านายแยกย้ายกันออกตามหาลูกชาย เนื่องจากสวนสาธารณะแห่งนี้กินพื้นที่หลายไร่ การกระจายตัวกันออกไปตามหาน่าจะดีที่สุด
ผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาประกายเขียวและรูปหน้าหล่อเหลาราวกับ เทพเจ้ากรีก ประกอบกับโครงร่างสูงใหญ่ในชุดสูทเรียบหรูเรียกสายตาจากผู้ใช้บริการสวนสาธารณะได้ไม่น้อย ยังไม่ทันได้ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูป ขายาวๆ ของชายหนุ่มก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าที่ทุกคนเห็นเป็นเพียงภาพฝันที่เมื่อครู่เพิ่งจะมีผู้ชายหน้าตาดีวิ่งผ่านไปต่อหน้าต่อตา
ลีวอนวิ่งลึกเข้าไปในสวนสาธารณะที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม ในตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มพบเด็กคนหนึ่งนอนหลับอยู่บนอกชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขา ไม่รู้จัก จากการแต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าของเด็กคนนั้น เขามั่นใจว่าเจ้าก้อนที่นอนซุกอยู่ตรงนั้นคือลูกชายของเขาอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหาคนทั้งคู่ โลเวลกำลังหลับสนิท เสียงกรนฟี้ๆ แว่วมาให้ได้ยิน ส่วนคนที่นั่งหลับแต่มือกลับกอดรั้งลูกชายของเข้าเอาไว้ ไม่ให้ไถลตกจากอกไป กำลังสัปหงกหัวสั่นหัวคลอน จนลีวอนอดกลัวไม่ได้ว่าอีก ไม่นานคอหมอนี่จะต้องเคล็ดอย่างแน่นอน
ใบหน้านิ่งขรึมถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีโล่งอกที่ลูกชายของเขายังปลอดภัยดี แถมดูจะอิ่มหนำสำราญเสียด้วย เห็นได้จากเศษกล่องนมและขนม ที่ถูกกินจนเหลือแต่ซากนั่น
ตอนที่ยังหาโลเวลไม่เจอเขาอดกังวลไม่ได้จริงๆ ว่าลูกอาจจะโดนลักพาตัวไป เพราะทั้งคู่เดินทางมาเมืองนี้อย่างลับๆ จึงไม่นึกว่าจะมีศัตรูตามมาเล่นงานถึงที่นี่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แม้ไม่ได้เป็นฝีมือของฝ่ายไหน แต่ก็ทำให้เขาเหงื่อตกไม่น้อย
สำหรับคนเป็นพ่อแล้ว บทเรียนครั้งนี้นับว่าต้องจดจำให้ขึ้นใจ
ในขณะที่หนึ่งคนคิดทบทวนข้อผิดพลาดในวันนี้ อีกสองกลับหลับอย่างสบายใจ กลุ่มเมฆที่ทำท้องฟ้าครึ้มมาตลอดทั้งวันเริ่มแยกตัวออกจากกัน แสงแดดได้ส่องลงมาตกกระทบยังคนสองคนที่นั่งหลับอยู่บนม้านั่ง ประกายแดดอ่อนๆ ทำให้ทั้งคู่ราวหลุดออกมาจากภาพวาด ส่วนลีวอนที่ยืนมองอยู่เงียบๆ กลับรู้สึกว่าภาพตรงหน้านั้นชวนทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด กระทั่งเขาเองก็ยังหักห้ามใจไม่ไหว ทิ้งตัวลงนั่งข้างกายชาย แปลกหน้า เพื่อซึมซับเอาความรู้สึกเหล่านั้นไว้อย่างไม่รู้ตัว
ลีวอนถอดเสื้อสูทราคาแพงออก ก่อนจะใช้มันห่มให้กับโลเวลและ ชายหนุ่มคนนั้น นิ้วเรียวสลักเสลาแต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ของบุรุษเพศเกี่ยวคลายเนคไทเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น ก่อนที่ดวงตาคมจะหลับลงหวังงีบเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ไม่นานหัวกลับเอนลงไปซบต้นคอของคนด้านข้าง
คนที่ตนไม่รู้จักแม้แต่น้อยเสียอย่างนั้น
ในขณะเดียวกัน แพงพวยเองก็เอียงหัวลงมาซบอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกอุ่นร้อนบนหัวไหล่ของตัวเอง เมื่อได้อะไรมารองหนุนคอก็ยิ่งทำให้เขาหลับสบายขึ้น หลังจากที่นั่งโงนเงนสัปหงกมานานหลายนาที
เหล่าบอดี้การ์ดที่วิ่งมาเจอภาพคนสามคนอิงแอบหลับไปด้วยกัน พวกเขาก็แทบจะยกมือขึ้นมาทาบอกด้วยความตกใจ หากไม่เป็นเพราะลองขยี้ตาและลองหยิกแก้มตัวเองไปที เตะตัดขาเพื่อนข้างๆ ดูให้รู้ว่าเจ็บ พวกเขาคงคิดว่าตัวเองฝันอยู่ ไม่ก็โดนผีหลอกแน่ๆ
เจ้านายกับนายน้อยนอนหลับอยู่กับคนอื่น!
Oh My Goddd!
Oh My Goddddd!!
แชะ!
หนึ่งในบอดี้การ์ดยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ภาพที่ได้เหมือนจะเป็นภาพครอบครัวสุขสันต์ ก่อนที่เขาจะส่งมันให้กับ ‘คริสโตเฟอร์ เดวิด’ เลขาของเจ้านายที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งทันที พร้อมกับแนบข้อความถามว่าพวกตนควรจะทำอย่างไรต่อดี เพราะสิ่งนี้มันมหัศจรรย์พันลึกที่สุดตั้งแต่พวกเขาทำงานมา ไม่เกินหนึ่งนาทีอีกฝ่ายก็ส่งข้อความตอบกลับมา
‘เฝ้าไว้ ห้ามใครเข้าไปรบกวน’
หลังจากได้รับการชี้แนะบอดี้การ์ดห้านายก็พยักหน้าให้กัน ก่อนจะแบ่งกำลังออกไปคนละทางด้วยทักษะที่ฝึกฝนมาอย่างมืออาชีพ เพื่อป้องกันไม่ให้เหลือบไรเข้ามารบกวนเจ้านายทั้งสอง ใบหน้าแต่ละคนจึงเคร่งขรึม ราวกับมีข้อความเขียนแปะอยู่บนหน้าว่า ‘ใครเข้ามามึงตาย!’ การทำหน้าตาเหมือนต้องการตื้บใครสักคนระบายอาการท้องผูก บวกกับรูปร่างที่สูงใหญ่เกินกว่าคนในพื้นที่จึงทำให้บริเวณนี้ร้างผู้คนไปโดยปริยาย
ความรู้สึกคันยุบยิบและอึดอัดเหมือนมีอะไรกดทับที่ไหล่ขวาเป็น สองสิ่งที่ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา หลังลืมตาขึ้นแสงแดดที่ทิ่มเข้ามาทำให้ผมสะดุ้ง ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ แต่ทันทีที่ผมลุก เสียงอะไรบางอย่างฟาดกับม้านั่งก็ดังตามขึ้นมาติดๆ
ฮะ...เฮ้ย! หรือว่าทำโลเวลตกฟาดกับม้านั่งไปแล้ว
แต่เมื่อก้มลงไปมองที่หน้าอกตัวเองแล้วเจอดวงตากลมโตกำลังจ้องผมไม่กะพริบ ความรู้สึกตกใจเหล่านั้นก็หายไปในทันที
เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว นึกว่าทำลูกเขาบุบสลายไปซะแล้ว
ผมลูบหัวโลเวลเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ผมสีน้ำตาลเส้นเล็กนี่ให้ความรู้สึกเหมือนลูบหัวเจ้าหมา ที่ชอบนอนอยู่หน้าหอพักของผมมากจริงๆ
แต่เดี๋ยว...งั้นที่ได้ยินเมื่อกี้มันคือเสียงอะไรล่ะ? แล้วยังมีเสื้อสูทนี่อีก ของใครกันล่ะเนี่ย
ผมตัดสินใจหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเองอย่างช้าๆ ช้า...ช้า...และ ช้า...ช้า... (สาบานว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้เหมือนภาพสโลว์โมชั่น แค่ทำแล้วรู้สึกมันดูเท่ดีเท่านั้น เหมือนได้เป็นพระเอกหนังทำนองนั้น)
ภาพที่เห็นนั้นถึงกับทำให้ผมต้องซูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง เพราะดวงตาที่มีแว่นสายตาหนาเตอะสวมทับอยู่ มันกำลังแสดงภาพชายหนุ่ม รูปงาม และเหมือนว่าผมจะเห็นแสงออร่าระยิบระยับที่กระจายอยู่รอบๆ ตัวของเขาได้
ถือได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีมีสไตล์ที่มีคาริสม่าในตัวสูงมาก!
ทว่าในขณะเดียวกัน ผู้ชายคนนี้ก็ยังมีความเย็นชาแผ่ออกมาเป็นระยะด้วย และเขาที่กำลังใช้มือลูบหน้าผากของตัวเองป้อยๆ ก็ส่งสายตาคมอัน น่าหวาดกลัวจ้องมาที่ผมเขม็ง อย่างกับเป็นภาพเดจาวูที่เพิ่งจะเห็นจากโลเวลเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด
ผมก็ไม่รู้ว่าหนุ่มตะวันตกคนนี้เป็นใครหรอกนะ อาจจะเป็นดารา นายแบบ แต่ที่แน่ๆ ผมมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้คือเจ้าของเสื้อสูทปริศนา เพราะมันสีเดียวกันกับกางเกงที่เจ้าตัวสวมอยู่ไม่มีผิด สายตาคล้ายสัตว์นักล่าผู้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารหรี่มองผมแบบไม่สบอารมณ์ ทำเอาผมเริ่มเสียว สันหลังวาบๆ เหมือนตอนปวดขี้เลยทีเดียว (คือถ้ามีเหงื่อไหลซึมๆ ออกมาด้วยละก็ใช่เลย!)
จากบริบทแล้ว เสียงที่ดังโป๊กป๊ากตอนผมลุกขึ้นยืน คงเป็นเพราะหัวของผู้ชายคนนี้ไปฟาดเข้ากับม้านั่งแน่เลย...คาดว่ามันคงจะเจ็บน่าดู และจากการซูมของน้องแว่นสายตา ทำให้ผมเห็นว่าหน้าผากของเขามันกำลังปูดขึ้นมานิดๆ ด้วยละ...
ผมควรขอโทษหรือเปล่า? นี่ใช่ความผิดของผมจริงดิ
“เอ่อ...ขะ ขอโทษครับ คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
ผมเอ่ยขอโทษแล้วส่งรอยยิ้มแห้งๆ ไปให้อีกฝ่าย จะว่าเป็นความผิดผมร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็คงไม่ใช่ แต่ยังไงก็คงต้องขอโทษละนะ
“แดดดี๊”
โลเวลร้องขึ้นทันทีที่เจอหน้าผู้ชายคนนั้น แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือจากคอของผม แดดดี๊? พ่อของโลเวล?
“คุณพ่อของโลเวลเหรอครับ?” ผมก้มถามเจ้าหนูเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไป
“ใช่แย้ววว พ่อเค้าเอง”
ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ถ้าไม่ใช่สิแปลก ก็หน้าตาคล้ายกันขนาดนี้ แถมดวงตาประกายสวยนั่นยังเหมือนกันสุดๆ อีกต่างหาก ยกเว้นก็แต่ ผมของโลเวลมันดูเข้มกว่าคนเป็นพ่อที่มีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน
“เอ่อ...สวัสดีครับคุณพ่อของโลเวล พอดีผมเจอเด็กคนนี้หลงอยู่ในสวน ก็เลยมานั่งเป็นเพื่อนรอคุณมารับแกน่ะครับ อ้อ...ไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้อง นะครับ ผมหาอะไรให้รองท้องเรียบร้อยแล้ว”
ผมยิ้มก่อนจะส่งโลเวลที่เกาะผมหนึบเป็นลูกลิงติดแม่ พร้อมกับเสื้อสูทคืนให้พ่อของเขา กลัวใจตัวเองว่าจะทำมันเปื้อนเหลือเกิน ถ้าเกิดมันเปื้อนขึ้นมาละก็ ผมคงต้องผูกคอตายชดใช้ความผิด เพราะดูท่าแล้วมันจะต้องแพงมากแน่ๆ เลย เจ้าหนูโลเวลยึกยักอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยอมไปหาแดดดี๊ของเขา เด็กนี่ทำท่าเหมือนตัดใจจากผมไม่ได้ซะอย่างนั้น
คุณพ่อของโลเวลนั้นเรียกได้ว่าหน้าตาดีที่สุด (รองจากผม) ตั้งแต่เคยพบเคยเจอมาเลยก็ว่าได้ ทว่าสำหรับชายหนุ่มคนนี้ผมมองยังไงก็เหมือนคนที่มีลูกเร็วเกินไปหน่อย นั่นเพราะถ้าผมเป็นเขาแล้วละก็ ผมคงอยากมีชีวิตที่โสดอิสระไปนานๆ เพื่อที่ผมจะได้มีชีวิตลั้ลลากับสาวๆ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปหลบแดดก่อนนะครับ พอดีผมแพ้แสง”
พูดจบผมก็หยิบเอาถุงที่ใส่มาม่าคัพอันเป็นของรักของหวงมาไว้ในมือ ก่อนจะรีบวิ่งไปหลบใต้ร่มไม้ใกล้ๆ
เฮ้อ...ไม่น่ามานอนกลางแจ้งเลยจริงๆ
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแท้ๆ ผมนี่มัน งี่เง่าชะมัด
ใช่แล้วครับท่าน! ถูกต้องครับนาย!
นอกจากจะจนบัดซบแล้ว ไอ้แพงพวยยังกระแดะเป็นโรคคนรวย อีกต่างหาก ผิวของผมค่อนข้างไวต่อแสงแดด ถ้าแดดอ่อนๆ ก็ไม่เท่าไหร่ตากนานๆ ถึงจะออกอาการ แต่ถ้าแดดจัดๆ ละก็ ไอ้พวยเตรียมเป็นเด็กดักแด้ ได้เลย เหอๆ ผิวลอกกระจุย หนังแตกกระจาย
โรคแพ้แสงนี่เองที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมทำงานกลางแจ้งไม่ได้ ไม่งั้นคนอย่างนายแพงพวยคงจะไปเข็นรถเข็น ขายลูกชิ้นปิ้งหน้าโรงเรียนอนุบาลไปนานแล้วเด้อ! แขนขาวๆ ของผมเริ่มแดงเป็นปื้นให้เห็นบ้างแล้ว ดูไป ก็คล้ายคนเป็นลมพิษนั่นแหละ
ผมโบกมือหย็อยๆ ให้สองพ่อลูกที่คุยอะไรกันไม่รู้หงุงหงิงๆ แล้วหันมามองทางผมเป็นระยะ ซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก จับใจความก็ไม่ได้ ถึงจะพยายามกางหูสาระแนเต็มที่ว่าเขาคุยอะไรกันอยู่ก็เถอะ เอาเป็นว่าจนปัญญาครับผมไม่ได้ยินจริงๆ คือถ้าเดินออกไปอีกหน่อยก็อาจจะได้ยินแหละ แต่แสงแดดตอนนี้มันก็ไม่ปรานีผมเช่นกัน เพราะฉะนั้น...
รักษาตัวรอดเป็นยอดมนุษย์ อย่าไปอยากรู้เลย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ผมตะโกนบอกพร้อมกับโบกมือลาทั้งสองคนที่ดูเหมือนว่าจะคุยกันไม่จบสักที ผมรีบกลับไปกินยา ทายาดีกว่า ไม่งั้นจะลำบากตัวเองเอาเปล่าๆ พ่อของโลเวลเพียงพยักหน้ารับรู้ ส่วนโลเวลลูกชายโดยบังเอิญของผมนั้นได้โบกไม้โบกมือและฉีกยิ้มสดใสมาให้ ฉากจบที่สมบูรณ์แบบนี้มันทำให้ผมอดภาคภูมิใจในความเป็นพลเมืองดีของตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมนี่มันโคตรเยี่ยม อย่างเท่อะบอกเลย
แพงพวยนายมันแน่มาก!
ว่าแล้วผมก็เดินลัดเลาะไปตามร่มไม้ ถ้าจุดไหนไม่มีร่มเงาผมก็จะวิ่ง ฝ่าแดดไปด้วยความเร็วสูง ทำเอาลำบากอยู่เหมือนกัน แต่ก็ช่างเถอะ รีบไปให้ถึงห้องให้เร็วจะดีที่สุด
หอพักเก่าๆ ห้องเดี่ยวขนาดกว้างห้าก้าว ยาวห้าก้าว ห้องน้ำรวมคือบ้านน้อยอันแสนโสภาของผม ทันทีที่ไขกุญแจเข้าไป อุณหภูมิที่เย็นกว่า ข้างนอกก็ไหลเข้ามาปะทะใบหน้าของผมทันที
อ๊า~ กลิ่นอับที่คุ้นเคย
ไม่ใช่ว่าผมไม่รักสะอาดหรอกนะ แต่ห้องมันค่อนข้างทึบเป็นทุนเดิม อยู่แล้ว หน้าต่างที่มีเพียงบานเดียวในห้องปิดสนิทอยู่ ผมเดินเข้าไปผลักมัน ให้เปิดออกเพื่อให้แสงจากภายนอกส่องเข้ามา
ถ้าถามว่านายแพงพวยรักโลกนะเหรอ?
เปล่าเลย โลกนี้มันห่วยซะจนผมรู้สึกเกลียดมันเสียด้วยซ้ำไป ฮะๆ แต่ที่ต้องเปิดก็เป็นเพราะผมเพิ่งโดนตัดไฟไป หน้าต่างบานนี้จึงเป็นทางเดียวที่แสงสว่างจะเข้ามาในห้องของผมได้
“คันชะมัด”
ผมค้นหายาในกล่องเก็บของ เพียงแค่กวาดตามองก็เจอมันนอนแอ้งแม้งอยู่ตรงมุมกล่อง ก่อนจะหยิบออกมาทาบริเวณที่เป็นผื่นแดง โดยอาศัยเพียงแสงสว่างจากด้านนอกเท่านั้นในการทายา
เบี้ยน้อยหอยน้อย ต้องทาอย่างประหยัดอีกต่างหาก
วู้ววว เซ็ง
ใช้เวลาไม่นานหลังทายาไปก็ไม่ค่อยรู้สึกคันเท่าไหร่แล้ว จริงๆ ต้องกินยาตามอีกหนึ่งเม็ดเพื่อให้เห็นผลดียิ่งขึ้น แต่ผมเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้กินตอนที่อาการสาหัสมากกว่านี้ เพราะผมไม่รู้ว่าถ้ามันหมดไปแล้วอีกนานแค่ไหนถึงจะ หาเงินมาซื้อยาใหม่ได้
ผมเอนหลังลงนอนบนเจ้าฟูกเน่าของตัวเอง แหงนหน้ามองเพดาน มือก่ายหน้าผากตามประสาคนมีเรื่องให้คิดเยอะแยะ ก็ว่าไปนั่น ฮ่าๆ อันที่จริงผมแค่กำลังคิดว่า ‘ฮู้ยยย ดีนะเนี่ยที่ใช้ห้องน้ำรวม ถ้ามีห้องน้ำในตัวแล้วโดน ตัดน้ำตัดไฟพร้อมกันละก็ผมเน่าแน่ๆ’
กรุ๊งกริ๊งๆ ~
เสียงกระดิ่งลมพอจะทำให้ผมผ่อนคลายได้บ้าง ในห้องที่ไม่มีสิ่งบันเทิงอื่นใด อันที่จริงนอกจากกาต้มน้ำที่เอาไว้ต้มมาม่าแล้วผมก็ไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างอื่นเลย อย่าไปพูดถึงโทรศัพท์หรือโน้ตบุ๊กเลย ไร้สาระ!
แค่กาต้มน้ำผมยังต้องตัดใจซื้อเพราะมันลดราคาอยู่ อีกอย่างผมไม่มีคนให้ติดต่อด้วยซ้ำ พ่อแม่ก็ไม่รู้อยู่ไหน ส่วนเรื่องงาน ผมเขียนเบอร์เจ๊ไฉไป มีอะไรเดี๋ยวอิเจ๊ก็แจ้นมาบอกผมเองแหละ
หึหึ เป็นไงล่ะครับ ชีวิตของแพงพวยน่ะเยี่ยมยอดมากใช่ไหมล่ะ
“ฮึกๆ...เอ้า เหี้ย น้ำตาไหลเฉย”
ผมถอดแว่นออกก่อนเอาแก้วพลาสติกมารองน้ำตาตัวเอง แหม ก็ผมเสียดายนี่ครับ หยดสองหยดก็มีค่านะ! อย่างน้อยก็เอาไปรดต้นกระบองเพชร ที่ขอหน่อจากเจ๊ไฉมาปลูกได้
“เค็มดี แกล้มข้าวแทนเกลือได้เลยนะเนี่ย”
ผมหัวเราะคิกคักให้กับความคิดของตัวเอง เมื่อน้ำตาหยดหนึ่งไหลเข้าปาก ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
ในความฝัน...
ผมฝันว่าตัวเองเป็นกวางน้อยผิวสีทรายรูปงามเดินเยื้องย่างอยู่บน ทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ประหนึ่งมันเป็นแคทวอล์กที่ส่งตรงมาจากธรรมชาติ
อะไรกันวะเนี่ย...อะไรมันจะขนาดนั้น
ผมเดินเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อย แต่ต่อมาดวงตากลมโตแสนงามของผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง เป็นเจ้าก้อนกลมๆ ที่นอนอยู่ข้างทาง ผมจึงเดินเข้าไปดูด้วยความสงสัย เมื่อเบิกตามองให้ดีก็พบว่าไอ้ก้อนกลมๆ ปุกปุยนี่มันคือลูกแกะนี่หว่า
ขาของมันได้รับบาดเจ็บ เจ้าแกะขอร้องให้ผมช่วยเหลือมัน ผมมองหาหญ้ามาใช้รักษา ก่อนจะก้มลงเคี้ยวพุ่มหญ้าที่อยู่ข้างๆ เจ้าแกะ ผมไม่รู้หรอกว่ามันคือหญ้าอะไร ไหลลงคอไปอาจจะตายห่าก็ได้ แต่ในฝันมันรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้คือยา พอแหลกดีผมก็ถุยใส่ขาของเจ้าแกะผู้น่าสงสาร แต่หลังจากที่มันหายดี เจ้าแกะกลับไม่ใช่เจ้าแกะอย่างที่ผมคิด
แต่มันคือจิ้งจอกน้อยที่ห่มขนแกะ!
อีกครั้งกับคำว่า...อะไรมันจะขนาดนั้น
ผมก้าวถอยหลังอย่างตกใจ ปากก็ร้อง วอท เดอะ ฟ้าค ออกมาเสียงดัง เจ้าแกะปลอมกระโจนใส่ผมทันทีที่มันลุกขึ้นยืนได้ เล่นเอากวางน้อยอย่างผมตกใจจนขี้หดตดหาย ตาหลับปี๋รอรับความตายจากการทำคุณบูชาโทษของตัวเอง แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่รู้สึกเจ็บปวดจากการโดนกระเดือกลงคอสักที ตากลมโตนั่นลืมขึ้นมองอีกครั้ง ผมเห็นไอ้จิ้งจอกบัดซบนั่นมันกำลังค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
นาทีที่คิดว่าตัวเองจะรอดแล้ว เมื่อมองไปทางด้านหลังเจ้าจิ้งจอกน้อยกลับพบว่าเป็นสิงโตเจ้าป่า ไอ้สัตว์นักล่าอีกตัวซะงั้น! มันกำลังใช้อุ้มเท้าใหญ่ๆ ดึงหลังคอของจิ้งจอกน้อยเอาไว้ นี่เองที่เป็นสาเหตุให้มันค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ เจ้าสิงโตโยนจิ้งจอกน้อยให้ปลิวไปอีกทาง ก่อนจะคำรามเสียงดังสนั่นแล้วกระโดดคร่อมผม นาทีนั้นผมคิดว่าตัวเองต้องตายแน่!
แต่เปล่าเลย...นี่เป็นอีกครั้งที่ผมคิดผิด ผมไม่ได้โดนขย้ำตาย แต่กลับโดนเจ้าสิงโตหื่นกามไม่เลือกสายพันธุ์จับกวางหนุ่มอย่างผมทำเมีย!
โอ๊ย นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกันวะเนี่ย!!!
ปังๆๆ!!
เสียงทุบประตูห้องทำผมสะดุ้งเฮือก ตื่นจากความฝันบัดสีบัดเถลิงที่สุดในรอบอายุยี่สิบสามปีของตัวเอง ฝันแบบนี้แพงพวยรับบ่ได้เด้อ! ผมสบถด่าในใจทันที ความฝันบ้าบอ! ไอ้จิ้งจอกบ้าบอ! ไอ้สิงโตบ้าบอออ!
ปังๆๆ!!
เสียงตบประตูดังขึ้นมาอีกครั้ง เดี๋ยวมันก็พังหรอกโธ่! ด้วยความที่กลัวประตูจะพังเข้าให้จริงๆ ผมเลยจำเป็นต้องลุกจากฟูก เดินสะโหลสะเหลไปเปิดประตู ทั้งยังไม่ลืมที่จะหยิบน้องแว่นเพื่อนรักขึ้นมาใส่ด้วย สายตาที่สั้นโอเว่อร์อลังการของผม ถ้าต้องขาดน้องแว่นไปแล้วละก็ ผมก็เป็นแค่ไอ้บอด เดชไอ้ด้วนคนหนึ่งนี่เอง
“พวย พวยๆๆๆ เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ!”
ใจเย็นๆ ครับคุณพรี่ คือชื่อผมเนี่ย ถ้าเรียกผิดไปนิดเดียวมันจะเป็นคำหยาบได้เลยนะครับ! ถ้าเรียกช้าๆ แล้วใช้สติก่อนเรียกชื่อผมได้จะเป็นพระคุณกับผมและคุณพ่อคุณแม่ของผมมาก ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าอะไรดลจิตดลใจให้ตั้งชื่อลูกว่าแพงพวย อาจจะเป็นเพราะบ้านเราจน เลยต้องตั้งชื่อลูกเรียกทรัพย์หรือเปล่าก็สุดจะรู้ คงจะเหมือนเวลาคนจีนตั้งชื่อลูกว่าหมาเพื่อให้เด็กมันเลี้ยงง่ายละมั้ง
พูดถึงหมา แพงพวย ก็ดีกว่าชื่อไอ้หมาละวะ
เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ชีวิตผมมันก็บัดซบมากพอแล้ว ละเว้นชื่อผม ไว้อย่างหนึ่งเถอะ อย่าให้มันต่ำตมไปกว่านี้เลยนะ พวยขอ…
“อะ!...กราบบบบบ อรุณสวัสดิ์ครับคุณนายร่มฤดี มีอะไรให้ไอ้กระผมนายแพงพวยรับใช้แต่เช้าขอรับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ทันทีที่เปิดประตูแล้วเห็นหน้าอีกฝ่าย คือถ้าก้มอีกนิดหัวก็ทิ่มพื้นได้แล้ว
รอยยิ้มดุจนางงามถูกผมนำมาใช้ หลังจากยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อยเสร็จ ผมก็นำกลับมาประสานกันไว้ที่ข้างเอวอย่างสำรวม
ไม่ต้องถามว่าทำไมผมถึงต้องเคารพนอบน้อมต่อสุภาพสตรีท่านนี้ยิ่งกว่ามารดาแท้ๆ ของตัวเองซะอีก ก็เพราะว่าพี่แกเป็นเจ้าของหอน่ะสิ! ไอ้พวยจะไม่ประจบได้อย่างไรเล่า ในเมื่อผมติดค้างค่าห้องมาสามเดือนแล้ว แหะๆ
“พวย คุ๊ณพรี่จะไม่พูดอะไรกับคุณน้องอีกแล้วนะเคอะ กรุณาเก็บข้าว เก็บของ แล้วไสหัวออกจากห้องของคุ๊ณพรี่ได้แล้วเคอะ”
คุณนายร่มฤดีจีบปากจีบคอพูด ใบหน้าที่ฉีดโบท็อกซ์จนตึงเปรี๊ยะเชิดขึ้น ตาเหลือบมองผมอย่างดูแคลน ผมที่ตีกระบังมาอย่างดีฟู่ฟองพองโตทำให้ผมนึกถึงไอ้สิงโตลามกจกเปรตที่เพิ่งจะข่มขืนผมไปเมื่อเช้านี้ (ในฝัน)
“ยังมีคนรอห้องอยู่ เก็บให้เสร็จภายในแปดจุดศูนย์ศูนย์นอ ไม่อย่างนั้นหาว่าคุ๊ณพรี่ไม่เตือนนะคะ กึ๊ดบายค่า!”
จบคำคุณนายร่มฤดีก็เดินกรีดกรายจากไปดุจยูงรำแพน ตัดกล้องมา ที่ผมผู้ซึ่งทรุดลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าคนนอกมาเห็นเข้าคงคิดว่าผมเพิ่งโดนป้าแกหักอกดังเป๊าะแน่
อันที่จริงโดนเทยังไม่รู้สึกเจ็บเท่านี้ ง่า…
นั่นแหละครับ ถึงจะอยาก แต่เราไม่อาจเวิ่นเว้อไปมากกว่านี้ ไม่นานนักผมก็ทำใจได้ หลังจากอาบน้ำอาบท่า ก็ทำการเก็บข้าวเก็บของทันที อันที่จริงติดค่าห้องมาสามเดือนป้าร่มฤดี (ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกคุณนายอีก) ก็เมตตาผมมากแล้ว เราจะเอาเปรียบเขาไปตลอดก็คงไม่ได้จริงไหมครับ
ทุกคนต้องหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องฉันใด ป้าร่มฤดีก็ต้องหาเงินฉีด โบท็อกซ์ ยกกระชับใบหน้า สลายไขมันฉันนั้น…
ของของผมก็ไม่มีอะไรให้เก็บเยอะแยะ ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็เรียบร้อย ผมแบกถุงพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมสีรุ้งที่ใหญ่กว่าผมเป็นเท่าตัวขึ้นพาดบ่า ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้ถุงแบบนี้ถึงไปอยู่บนแบรนด์ชั้นนำของโลกได้
แต่แพงพวยก็ชอบใช้นะ ทำให้ไอ้พวยดูมีระดับขึ้นมานี๊ดนึง ถึงเจ๊ไฉ จะบอกว่ามันดูตลาดมากกว่าก็เถอะ แต่จะเอาอะไรกับคนไร้รสนิยมตาไม่ถึงของแบบเจ๊ไฉ ขนาดคนหล่อเว่อร์วังอลังการอย่างผมยืนอยู่ตรงหน้ายังไม่รู้ตัวเลย เอาแต่ตามกรี๊ดดาราเกาหลีอยู่ได้
จุ๊ๆ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย~
เมื่อกวาดตามองห้องที่ตอนนี้ว่างเปล่าแล้ว ก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน ผมอยู่ที่นี่มานานมาก ห้องเก่าที่หนาวเหน็บ แถมเหม็นอับอีกต่างหาก แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่รอผมกลับมาหาเสมอ ตอนนี้คงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว...
วุ้ย! แล้วจะดราม่าทำไมเนี่ย!
ผมปิดประตูลงกลอนแล้วเอากุญแจไปคืนป้าร่มฤดีที่นั่งดูละครจักรๆ วงศ์ๆ อยู่ในออฟฟิศ หลังจากยื่นมือมารับกุญแจห้องเสร็จ ก็ไม่เสียเวลามาแลผม สักนิด ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหันหลังเดินออกมา
เอาเถอะ แค่ป้าแกไม่ทวงค่าห้องสามเดือนก็ดีมากมายแล้ว
ดังนั้นผมจึงรีบซอยเท้าออกมาจากออฟฟิศทันทีอย่าได้รีรอ เดี๋ยวแกเกิดเปลี่ยนใจทวงขึ้นมา คนที่ซวยคือพวยนี่แหละ
ข้าวของถูกแบกของออกมาหน้าหอ เจ้าหมาน้อยยามประจำหอเดินเอาตัวมาถูไถขาผมอย่างที่เคยทำเป็นประจำ อย่างน้อยก็ยังมีแกสินะที่มาส่งฉัน ด้วยมิตรภาพระหว่างลูกผู้ชายของผมกับมัน ผมจึงต้องสั่งเสียมันก่อนไปยกใหญ่
“อย่าแอบไปขโมยรองเท้าป้าเจ้าของหอมาแทะอีกนะ มันไม่ดี”
“โฮ่ง!”
“ไม่เคยอะไรล่ะ!”
“บรู๊ววว”
“ฉันเห็นชัดๆ ว่าแกไปคาบรองเท้าป้าแกมาแทะอย่างกับวรนุชแทะไก่”
“หงิงๆๆ”
“คาบอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้องยังจะมาเถียง ไม่ต้องมาทำหน้าเศร้า ฉันไม่ได้ห่วงป้าแกหรอกนะ แต่ห่วงแกมากกว่า แทะไปได้ไงกลิ่นเท้าเจ้าของหออยู่ไกลห้าร้อยเมตรยังได้กลิ่นเลย ฮะๆๆ”
หลังจากพูดคุยอะไรกันอีกนิดหน่อย ผมก็ยกหมวกแก๊ปขึ้นมาสวมแล้วเดินจากไป โดยมีเจ้าหมามองส่งจนสุดสายตา
ดนตรีมา...แต้แด่นแด้ แต้แด่ แด่แด่ (ดนตรีมั่วๆ)
แผ่นหลังที่เหยียดตรง แต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจและหนักแน่น แสงสว่างที่สาดส่องมาตกกระทบร่างที่สูงโปร่งแต่เพรียวบางของชายหนุ่ม ทำให้เจ้าหมารู้สึกเหมือนชายคนนี้เป็นเหมือนเทวดาที่กำลังจะกลับสู่สวรรค์ แขนขาวๆ ที่เรียวเล็กจนบางครั้งมันคิดว่าเป็นกระดูกเลยเผลอไปแทะเป็นครั้งคราวยกขึ้นโบก
แต้แด่แด่ แต่แด่ แด่แด้แด๊ (ดนตรีมั่วๆ อีกเช่นเคย)
ขอให้เจ้าโชคดี
สหายข้า...
ข้าาาา...
ข้าาาา...
(เสียงเอคโค่)