เมื่อเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตารางงานของตัวเอง ทุกอย่างก็จบลงด้วยกันหาไฟล์งานในโทรศัพท์ขึ้นมาดูกันใหม่อีกครั้ง สรุปได้ว่าวันนี้มีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของผู้ปกครองเขตใต้ ที่เชิญนายไปงานเลี้ยงในคืนนี้
"...ไปให้พวกแม่งลอบฆ่ากูไง" เขาพูดมันออกมาด้วยสีหน้าขุ่นมัว นี้ก็พึงจะผ่านไปไม่กี่วันที่นายพึ่งโดนลอบยิงไป เจ้าตัวคงคาดเดาไปแล้วว่าเป็นฝีมือของคนที่เชิญนายไปงานเลี้ยงครั้งนี้
แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่กันคาดเดา ต่อให้อีกฝ่ายส่งคนมาลอบยิงจริง ก็ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะไปปราบปรามเขาอยู่ดี ยิ่งฝ่ายนั้นเป็นผู้อาวุโส เป็นที่นับหน้าถือตาไม่น้อยในวงการ ทางเราจึงไม่สามารถเสียมารยาทกับทางนั้นได้เท่าไร หรือเรียกว่าอยู่มานานจนใกล้จะลงโลงเต็มทน
"อย่างน้อยก็ฝากคำอวยพรไปหน่อยมั้ยครับ?"
"หึ ยังไง? กูมีแต่จะแช่งให้ตายไวๆเท่านั้น"
"งั้นวันนี้นายก็คงไม่มีงานอะไรแล้วละครับ"
"อืม มึงว่าง ๆ ก็ไปยิงหัวตาแก่นั้นในงานให้กูหน่อยสิ" พิภพพูดก่อนจะเดินคู่กันออกมานั่งบนโต๊ะอาหารในโซนครัวของห้องหรูตน ทั้งคู่นั้งข้างกันอย่างเรียบง่าย
"ผมไม่ว่างครับ"อานนท์ตอบกลับเสียงเรียบ รู้สึกประหลาดใจกับความคิดบ้าบิ่นของอีกฝ่าย
"ลัดคิวคนที่กูหมายหัวไว้ก่อนก็ได้นะ"
"กินข้าวเถอะครับนาย..."
เขาตัดบทอีกฝ่ายจบเพียงเท่านั้น และหันมามองอาหารบนโต๊ะที่รู้สึกว่ามันกินยากเป็นพิเศษ บนโต๊ะไม่ได้มีอาหารอะไรมากนัก เนื่องด้วยเป็นมื้อเช้าที่ความอยากอาหารนั้นมีน้อย แต่ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือ ผัดเปรี้ยวหวานซี่โครงหมู เมนูที่สองทำเขาต้องขมวดคิ้วคิดหนัก มันคือปูนึ่งที่ยังไม่ได้แกะเปลือก สุดท้ายสมุนไพรตุ๋นยาจีนที่ดูไม่น่าพิสมัย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่ทำหน้าไม่ต่างจากเขานัก
"......"เมื่อต่างฝ่ายต่างทำอะไรไม่ได้ เขาจึงจำใจต้องหยิบกรรไกรที่ถูกเตรียมไว้ข้างตัวเองขึ้นมาบรรจงแกะปูเงียบๆ
"นนท์...."
"ครับ"
"แกะปูให้กูกินหน่อย"
"มือละครับ?" เขาถามกลับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา ปราดตามองเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงแกะปูต่อในจานของตัวเองด้วยท่าทีเฉยเมยต่อคำขอของอีกฝ่าย
".....นนท์" เสียงทุ่มเอ่ยออกเสียงแผ่ว อานนท์จึงถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วของวันแล้ว ก่อนจะยื่นจานที่มีเนื้อปูขาวนวลที่พึ่งแกะสด ๆ จากมือส่งไปให้ เจ้าตัวเองก็ยิ้มรับจานไป
"ให้ผมป้อนแล้วเคี้ยวให้ด้วยมั้ยครับนาย?"ทันทีที่จบประโยคนั้นของเขา เจ้าตัวก็หุบรอยยิ้มเมื่อครุ่นี้ลงทันที ก่อนจะปราดตามองเขาอย่างไม่พอใจ
"กูว่าแล้ว ไอ้เพลิงมันปากเหมือนใคร มึงนี่เอง"
"...."
"เมื่อวานก็โทรหากู จะให้กูเอาไอ้เมฆกลับให้ได้เลย กูส่งคนดีๆให้ก็เอาไปตายหมด ส่งคนเก่งๆให้แม่งก็จะไม่เอาอีก น้องมึงเรื่องเยอะฉิบหาย"
"ตรงจุดนั้นก็เหมือนนายเลยครับ"อานนท์ตอกกลับอีกฝ่ายเสียงเรียบ
"มึงจะบอกว่ากูเรื่องมากว่างั้น?"
"ครับ"
"....."พิภพเงียบและพูดอะไรไม่ออกมาอีก ทำเขาอดที่จะขำออกมาไม่ได้ ก่อนจะยื่นส่วนจานที่แกะออกมาใหม่ไปให้เขาเพื่อปลอบโยนแทน ข้างในเป็นไข่ปูและมันปูที่มีสีเหลืองทองเยิ้มดูน่ากินไม่น้อยเลย
มันคือปูเนยจีนที่คนในประเทศเองยังหากินได้ยากแต่ทางกาสิโนยังหามาให้นายใหญ่ของตนกินได้ ถือว่าน่าชื่นชมไม่น้อย ถึงเมนูอื่นจะราคาแพงไม่ต่างกัน แต่เจายังไม่ได้เตรียมใจที่จะลิ้มรสชาติเหล่านั้นเลย
"มึงเอาไปกินเองเถอะ" เจ้าตัวเหลือบตามองจานที่เขายืนส่งให้เล็กน้อยอย่างไม่พอใจ
"ผมตั้งใจแกะให้ จะไม่กินเหรอครับ?"
"กิน..." อานนท์ยิ้มรับคำตอบนั้น ถึงแม้เจ้าตัวจะหงุดหงิดหรือเคืองหนักขนาดไหน ก็ยังรับกระดองปูเนยนั้นไป เพียงแค่เขาบอกว่าตั้งใจแกะให้อีกฝ่าย
แกรก..
" ..นายครับ" เขาเรียกอีกฝ่ายพร้อมทำหน้าตานิ่งมองดูถ้วยชามลายมังกรสีครามที่มีควันลอยออกมาข้างในเป็นซุปสมุนไพรตุ๋นยาจีนที่อยู่บนโต๊ะ
ถูกตักใส่ถ้วยยื่นส่งมาให้เขา มือของผมนิ่งสนิทไม่ขยับรับไมตรีจิตของเขาแม้แต่น้อย
"อันนี้กูก็ตั้งใจตักให้มึงนะ"อีกฝ่ายยิ้มวางถ้วยลงข้างเขาก่อนจะหันทานปูเนยจีนที่เขาแกะไว้ให้ต่อ
"จะไม่กินหน่อยเหรอ? "แล้วเอ่ยถามออกมาโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองเขาแม้แต่น้อย
"...."
ถือว่าต่างฝ่ายต่างเอาคืนก็แล้วกัน.....
" ผมมีเรื่องต้องไปทำต่อ อาจจะไม่ได้ตามนายไปดูงานที่อื่นต่อนะครับ"
มือที่กำลังตักผัดเปรี้ยวหวานให้ผมหยุดนิ่งไปช่วงขนาด อีกฝ่ายมีสีหน้าที่เรียบสงบลงไปมากหลังจากที่เขาพูดจบ เหมือนคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเขาจะไปไหนต่อ
"อยู่กับกู จนกว่ากูจะกลับไทยไม่ได้เลยเหรอ?"
พิภพปราดสายตากดดันอีกฝ่ายด้วยการจ้องมองสบสายตาสีครามมรตคู่นั้นด้วยนัยน์ตาสีนิลดุดันแถมความหงุดหงิดและไม่ยินยอมออกมาให้ได้รู้สึก สื่อความเว้าวอนแฝงไว้จางๆ อีกตั้งหาก
เขาทำได้เพียงก้มหน้าต่ำมองลงบนจานตัวเองที่มีชิ้นเนื้อหมูที่ถูกลอกกระดูกออกให้แล้วในจานนิ่ง ไม่คิดที่จะจ้องตาแข่งกับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เพราะรู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางชนะแน่นอน เขาไหนเลยจะทนมองตาคู่นั้นของเจ้าตัวไหวกัน
"...."
พอเห็นว่าเขาเองก็ไม่ยินยอมที่จะต่อรอง จึงทำเพียงถอนหายใจแล้วพูดตอบเขาเสียงเรียบเย็น
"เสร็จงานแล้วก็รีบกลับมา"
"ครับ..."
"ก่อนที่มึงจะไป คืนนี้มึงต้องตามไปงานเลี้ยงกับกูก่อน"อานนท์นิ่งไปเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะไปงานเลี้ยงในคืนนี้ที่เขตทางใต้จัดขึ้น ทั้งๆที่เจ้าตัวก็บอกปัดกับเขาไปแล้วว่าจะไม่ไปร่วมงานไม่ใช่หรือไง
"ไหนบอกไม่ไปไงครับ?"
"กูเปลี่ยนใจแล้ว กูจะไปดูหน้าตาแก่นั้นหน่อย ก่อนที่กูจะรวมอาณาเขต"
"รวมอาณาเขต?"อานนท์หันมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
อยู่ ๆ ก็จะมารวมอาณาเขตเนี่ยนะ? ทำไมอีกฝ่ายถึงมีความคิดพวกนั้นขึ้นมาในหัวตอนนี้กัน?
"ใช่....โดยเฉพาะเขตใต้ กูจะรวมเป็นที่แรกให้สมกับที่มาหยามกูถึงถิ่นเลย"
"เข้าใจหางานนะครับนาย" ประโยคนี้ของเขาไม่เกินจริงเลย ทุกวันนี้งานยังไม่เยอะพอเหรอ เจ้าตัวถึงได้คิดจะรวมอาณาเขตเอาตอนนี้ ถ้าคิดจะรวมเขตใต้จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด ศึกนองเลือดก็ต้องมีให้เห็นกันบ้างแล้ว นั้นหมายความว่าเขาต้องกลับมาให้ถึงก่อนจะถึงเวลานั้น?
"แล้วมึงว่าไง?...."
"ผมจะว่าอะไรได้ละครับ ถ้ามันเป็นความต้องการของนาย"
การรวมอาณาเขตแค่พูดก็ทำได้เหรอ?
แน่นอนว่าทำได้ เขตการพนันทั้งสี่ทิศของมาเก๊า ตะวันตกนั้นตั้งแต่ที่นายได้เขตเหนือมาครองก็เปลี่ยนมือมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้งเข้าไปแล้ว กระสับกระส่ายอยู่แบบนั้น เนื่องจากภาวะไร้ผู้นำและพิษเศรษฐกิจทำให้ย่านการค้าแถวนั้นไร้ผู้คน
ส่วรเขตตะวันออก เป็นการพนันใต้ดินที่มีการใช้ความรุนแรงและมีการเปิดตลาดมืดค้าขายแลกเปลี่ยนอวัยวะเถื่อนของนักพนันที่เล่นจนสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีนักธุรกิจคนไหนกล้าลงทุนในย่างการค้าเหล่านั้น เพราะสิ้นเปลืองทั้งเวลาและกำลังทรัพย์และอาจติดคดีกลับไปอีกไม่น้อย
แต่กับนายนั้นไม่ใช่ เขามีอำนาจมากพอที่จะทำแบบนั้น เพียงเขากระดิกนิ้ว ทั้งสองเขตก็รวมเป็นของเขาได้ง่ายๆ ตลอดหลายปีมานี้ทั้งเขตตะวันออกและตก พวกเขาหวังให้นายรวมอาณาเขตเข้ากับเขตเหนือมานานแล้ว เพียงแต่เจ้าตัวเห็นถึงความยุ่งยากจึงไม่คิดจะรวมเข้ามา
ตอนนั้นอีกฝ่ายบอกเขาว่ายังไงนะ?
'แค่เขตเดียวกูยังต้องบินไปกลับสามเดือนครั้ง นี้ถ้ากูรวมเขต กูไม่ต้องตั้งถิ่นฐานถาวรเลยหรอ?'
เขายังจำคำพูดนั้นได้ขึ้นใจ
อานนท์ส่ายหัวเบา ๆ ให้กับอีกฝ่าย ทำไมถึงชอบหางานให้เขากันนะ ครั้งนี้วงการมาเฟียคงจะสั่นสะเทือนไม่น้อยเมื่ออีกฝ่าสอยากที่จะเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของย่านการพนันในอาณาเขตทั้งหมดของ 'มาเก๊า' แหล่งการพนันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
เพราะนั้นจะหมายความว่า อีกฝ่ายจะได้เป็นจักรพรรดิอย่างเต็มตัวสักที
จักรพรรดิที่ถูกเรียกใช่กับกษัตริย์ในแถบเอเชียตะวันออกมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อนกาล ถูกเอามาตั้งเป็นฉายาในวงการให้กับเขา 'ปฐวี ศัตนากาล' ชายหนุ่มผู้มีสันชาติไทยเชื้อสายจีน ม้ามืดที่อยู่ๆก็พลุดออกมามีอำนาจในวงการอย่างกระทันหัน
เปรียบให้รู้ว่าเขาคือหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากคนหนึ่งในเอเชีย เป็นหนึ่งในสาม กษัตริย์แห่งวงการมาเฟียที่ครอบคลุมอำนาจทางด้านการพนันโลก จักรพรรดิ ราชัน ฟาโรห์ ทั้งสามตัวตนต่างครอบครองอำนาจคนละทวีป ไม่ข้องเกี่ยวแต่กลับทำธุรกิจในแวดวงเดียวกัน นั้นก็คือ 'การพนัน'
"กูหยุดอยู่ตรงนี้มาหลายปีแล้วนนท์ บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้"
"...."
"กูคาดหวังเพียงแค่ว่า....กูจะมีอำนาจมากพอที่จะประคับประคองสิ่งที่กูกับมึงสร้างมันมาด้วยกัน"
อีกฝ่ายพูดมันออกมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมามองสบตากับเขา พิภพมองอยู่อย่างนั้นเหมือนค้นหาอะไรในแววตาของเขา
อีกฝ่ายคงรู้ดีกว่าใครว่าในแววตาสีครามมรตคู่สวยที่มองสบกลับมานั้นช่างว่างเปล่า
"...."
"ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง หืม?"พิภพเอ่ยถามมือขวาคนสนิทเสียงเย็นเชียบ เมื่อเขารับรู้ถึงความนึกคิดในใจของอีกฝ่ายที่ดูจะต่อต้านจางๆ
"ไม่รู้สิครับ..."เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยตอบกลับไปอย่างเมินเฉย ราวกับว่าเขานั้นไม่รู้จริงๆ
"...."
"แล้วที่นายเห็นอยู่นั้น ผมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่เหรอครับ?"อยากรู้เหมือนกันว่าใบหน้าของเขาในตอนนี้เป็นแบบไหนกัน ถึงทำให้อีกฝ่ายดูจะโกรธเคืองกันได้ขนาดนี้
"ความรู้สึกมึงตอนนี้เป็นแบบไหนละ"พิภพถามกลับมาเสียงขุ่นมัวอย่างไม่พอใจ
"...."ใบหน้าตอนนี้ของอานนท์นั้นมันทั้งนิ่งสงบไร้ความรู้สึก แต่พิภพรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกเบื่อหน่าย
"ไหนมึงบอกแผลหายแล้ว...." พิภพเอื้อมมือจับลงที่แผลเก่าของอีกฝ่าย แล้วมองสบตากันด้วยสายตาดุดันและกดดัน
".....แผลที่หลังผมก็หายแล้ว" อานนท์เอ่ยเสียงเรียบมองอีกฝ่ายกลับอย่างเย็นชา เพราะตรงที่อีกฝ่ายกำลังสัมผัสอยู่ในตอนนี้ มันไม่ใช่แผลที่หลังของเจ้าตัว
"แผลตรงนี้มันก็นานแล้วเหมือนกัน...ก็ควรจะหายได้แล้วไม่ใช่เหรอนนท์?" พิภพบีบเสื้อตรงหน้าอกของเขาจนยับยู่ยี่ไปหมด
อานนท์ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจเมื่อรับรู้ได้แล้วว่าเจ้าตัวกำลังจะสื่อไปทางไหน....
"....."จึงได้ปัดมือที่บีบเสื้อตรงอกของตัวเองออกเบาๆ มือข้างนั้นของพิภพก็ยอมที่จะปล่อยออกอย่างว่าง่าย
"ทำไม? พอถึงเวลาจริง ๆ ขึ้นมาแล้ว ก็ลงมือไม่ลงหรือไง"พิภพประชดเสียงแข็งก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขุ่นเคือง
"พอเถอะครับนาย..."มาตอกย้ำการด้วยแผลเก่ามันใช่สิ่งที่ควรทำกันงั้นหรอ? แล้วอยู่ๆทำไมถึงเอาเรื่องนั้นกลับเข้ามาเป็นประเด็นกัน ต้องการอะไรกันแน่?
"กูเองก็มีชื่อ..." พิภพเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อเห็นท่าทีที่แสดงออกมาเริ่มจะห่างเหินกันไปเรื่อยๆของอีกฝ่าย
"....."
"ก็หัดเรียกกันบ้างเถอะ"
"...."
"ตอนนี้ ชื่อกูมันก็มีแค่มึงที่เรียกได้ไม่ใช่หรือไง"
อานนท์นิ่วหน้าขึ้นทันที เพียงแค่ประโยคสั้นๆ มันกลับบาดลึกเข้ามาในใจของเขา สถานะในตอนนี้ของเรามันเรียกออกมาบ่อยได้ที่ไหนกัน
แต่ในเมื่อเจ้าตัวต้องการแบบนั้น....
"ภพ...."
"อืม...ว่า"
"...."อานนท์เงียบไม่พูดอะไรต่อจากนั้น
"เออดี....แล้วกลับมาเรียกกูว่านายทีหลังนะ"
ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูพอใจที่ถูกเรียกชื่อออกมาแบบนั้น แต่ก็ไม่วายต้องประชดประชันกลับไป เจ้าตัวโดนบังคับให้พูดชื่อของเขาออกมาเห็นๆเ ดียวนี้แม้แต่ชื่อก็ยังต้องบังคับให้เรียกกันแล้วงั้นเหรอ?
"อย่างน้อยก็ช่วยเรียกตอนที่มึงอยู่กับกูสองคนก็ได้"ก่อนจะยิ้มตอบกลับเขาเบาๆแทน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังกวนอารมณ์กันอยู่เลย
อานนท์มองรอยยิ้มนั้นอย่างเหม่อลอย อีกฝ่ายช่างดูมีความสุขในเวลาแบบนี้....
ส่วนเขากลับต้องมาจมลงไปในม่านความรู้สึกที่ไม่มีทางออกไปได้ยังไงกัน?
"ภพ.."
"หืม? ..."
"พอใจมั้ย?" อานนท์เอ่ยถามเสียงนุ่มยิ้มบางส่งมาให้แต่แฝงความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย เมื่อต้องมาโดนคนที่เป็นทั้งเพื่อนและครอบครัวเล่นกับความรู้สึกกันแบบนี้
"นนท์... "
"ผมแยกแยะได้ครับนาย การรวมอาณาเขตครั้งนี้ นายจะไม่เสียแผนแน่นอน"อานนท์ยิ้มเรียบมองอีกฝ่ายอีกครั้ง
"....นนท์"ในขนาดที่พิภพเองเริ่มจะรู้สึกตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไปกระตุ้นปมให้อีกฝ่ายเข้า
"ครับ? ....ถ้าไม่มีธุระอะไร ผมว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า ต้องไปเตรียมคนไว้ให้นายไปงานเลี้ยงในคืนนี้ด้วย"
"...."
"ผมขอตัว.."อานนท์ก้มหัวลาเล็กน้อยเป็นการแบ่งเส้นความสัมพันธ์ ว่าตอนนี้พวกเขาคือเจ้านายกับลูกน้อง