ตอนที่ 21 : โรงเตี๊ยมเกาสื้อฉี (2)

1959 คำ
  "ถั่วเม็ดที่หนึ่ง" "..สอง" "..สาม" "..สี่" . . . "..สิบสอง" ในที่สุด...ถั่วในมือของเสี่ยวจูก็หมดเกลี้ยงภายในเม็ดที่สิบสอง "ฮ่า ๆ ๆ " เสี่ยวจูแค่นหัวเราะสะใจ "เฉียดไปแค่นิดเดียวเท่านั้นท่านนักลงทุนทั้งหลาย ถั่วในมือของข้ามีแค่สิบสองเม็ดเท่านั้น จากที่ดู ๆ แล้วไม่มีผู้ใดทายถูกเลยแม้แต่ผู้เดียว เช่นนั้น...เบี้ยพนันทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นของ..." "ช้าก่อน! " เสียงเข้มทุ้มของเฟิ่งเจี๋ยโพล่งขัดขึ้น ในขณะที่เสี่ยวจูกำลังตั้งท่าใช้มือกวาดเบี้ยทั้งหมดเข้าหาตัว เสี่ยวจูมีสีหน้างุนงงและเอ่ยถาม "ท่านขัดข้องใจอะไรหรือ" "ที่เจ้ากล่าวมาล้วนผิดทั้งสิ้น ในที่นี้ไม่มีผู้ใดชนะพนัน ยกเว้นเพียงข้าเท่านั้นที่เดิมพันถูก" คำพูดของเฟิ่งเจี๋ยสยบทุกสายตาของทุกคนให้มองมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน ไม่ต่างอะไรจาก เสี่ยวจู ที่ยืนเบิกตาโพลง รีบใช้มือควานหาเศษกระดาษที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความตื่นตระหนก จนในที่สุด...กระดาษเดิมพันของเฟิ่งเจี๋ยก็ปรากฏ เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นและอ่านออกเสียงอย่างช้าๆ "สิบ สอง.." เอ่ยจบ เสี่ยวจูก็ตะลึงงัน แทบไม่เชื่อสายตา "ฮ่า ๆ ๆ " เฟิ่งเจี๋ยหัวเราะเสียงดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งโรงบ่อน สีหน้าท่าทางของเขาไม่ต่างอะไรจากท่าทางของเสี่ยวจูก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย "เช่นนั้น...เงินพนันทั้งหมดก็ตกเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว ฮ่า ๆ ๆ " หลังจากนั้น ซือจงก็เดินเข้าไปกวาดเบี้ยทั้งหมดบนโต๊ะลงในถุงย่ามใบใหญ่ภายในเวลารวดเร็วท่ามกลางเสียงซุบซิบของเหล่านักพนันมากมายที่ยืนอยู่ "พวกท่านรู้หรือไม่! เพราะเหตุใดพวกท่านถึงไม่เคยชนะเสียที" เฟิ่งเจี๋ยเปิดประเด็นขึ้น "เพราะเหตุใด ท่านมีเคล็ดลับงั้นหรือ" "ใช่ ๆ หรือท่านมีตาวิเศษกันแน่" คิ้วตาของเฟิ่งเจี๋ยโค้งลงแฝงแววเลศนัย เขาใช้นิ้วชี้ไปที่เสี่ยวจูและเอ่ยเสียงขรึม "ชายผู้นี้...กำลังเล่นสกปรกกับพวกท่าน" "จะ เจ้ากำลังพูดอะไร" เสี่ยวจูเอ่ยสีหน้าเจื่อน ตะโกนเรียกลูกน้องให้เข้ามาจับตัวเฟิ่งเจี๋ยออกไป แต่หารู้ไม่ว่าซือจงได้จัดการชายเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว "จุ๊ ๆ ๆ อย่าส่งเสียงดังไป...ไม่มีผู้ใดเข้ามาช่วยเจ้าหรอก...เสี่ยวจู" เฟิ่งเจี๋ยคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ หันไปเอ่ยกับเหล่านักพนันต่อ "ไม่ว่าทุกท่านจะลงเดิมพันไว้เท่าใด จะกี่ภพกี่ชาติก็ไม่มีทางทายถูก เพราะหากท่านเดาถูก ชายผู้นี้ก็จะปล่อยเม็ดถั่วในมือบางส่วนไหลลงมาตามแขนเข้าไปในชายเสื้อของเขา" เสี่ยวจูสีหน้าซีดขาวดุจกระดาษ ไม่คาดคิดว่าเฟิ่งเจี๋ยจะรู้ทันกลโกงนี้ได้ "อีกอย่าง...ผู้ที่ปลุกปั่นพวกท่านก็คือชายคนเดียวกันกับชายที่ลงเดิมพันด้วยเลขสิบสาม เขาคือคนของทางโรงเตี๊ยมที่แอบแฝงเข้ามาเป็นนักพนันเหมือนกับทุก ๆ คน เช่นนี้เงินทองทั้งหมดจะรั่วไหลไปจากโรงบ่อนได้อย่างไรเล่า..." ยามนี้ทุกคนในโรงเตี๊ยมต่างพากันตกตะลึงและกร่นด่าออกมาไม่หยุด พวกเขาพยายามมองหาตัวชายผู้นั้นมากระทืบด้วยความเคียดแค้น ทว่าชายผู้นั้นได้หายตัวไปจากโรงเตี๊ยมเสียแล้ว เฟิ่งเจี๋ยกระโดดขึ้นนั่งห้อยขาบนโต๊ะ เอ่ยยั่วยุเสียงเรียบ "ออกไปตามหาสิ! คงจะหนีไปได้ไม่ไกลนัก ที่เล่นเสียไปทุกครั้ง จะโทษความโง่งมของตัวเองหรือจะโทษความชั่วช้าของชายผู้นั้น ที่เป็นคนปลุกปั่นทำพวกท่านเสียเงินเสียทองจนสิ้นเนื้อประดาตัว..." คำพูดของเขากระตุ้นโทสะของนักพนันเหล่านั้นมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ทุกคนต่างพากันวิ่งกรูออกจากโรงเตี๊ยม ยามนี้จึงเหลือแค่ เฟิ่งเจี๋ย ซือจง และเสี่ยวจู สามคนเพียงเท่านั้น เมื่อไร้ผู้ใดรบกวน เฟิ่งเจี๋ยก็ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปประชันหน้าเสี่ยวจู ก่อนที่จะใช้มืออันแข็งแกร่งคว้าหมับไปที่ลำคอแล้วกดแรงบีบแน่น "เกาสื้อฉีอยู่ที่ไหน! " "ทะ ท่าน...ท่านเป็นใคร" เสียงแหบพร่าตอบกลับมาด้วยท่าทางหวาดกลัว "ข้าถามว่า...เกาสื้อฉีอยู่ที่ไหน!!!! " เฟิ่งเจี๋ยเหลือกตาจ้องเขม็งมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย พลางใช้แรงมือกดบีบแน่นขึ้นกว่าเดิม "ขะ ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้" เสี่ยวจูส่ายศีรษะงันงก อ้าปากพะงาบ ๆ พยายามสูดอากาศเข้าไปในปอด "ชายผู้นี้ปากหนักนัก คงจงรักภักดีต่อเกาสื้อฉีไม่น้อย เจ้าว่า...เราควรทำอย่างไรดีล่ะซือจง" เฟิ่งเจี๋ยหันหน้าไปถามความเห็น ในขณะที่มือหนายังคงบีบไปที่ลำคอของเสี่ยวจูอยู่ "ปากหนักเช่นนี้...ตัดลิ้นดีหรือไม่ขอรับ" ซือจงยกยิ้มเสนอแนะ "ฮ่า ๆ ๆ " เฟิ่งเจี๋ยแค่นหัวเราะเสียงดังก้อง "ความคิดของเจ้าช่างหลักแหลมนัก" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเสี่ยวจูก็ซีดขาวจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน เขาเริ่มกลัวความตาย จึงพยายามเอ่ยวิงวอนร้องขอชีวิตด้วยน้ำเสียงอ่อนลง "นะ นายท่าน ไว้ชีวิตข้าเถิด ข้ายอมแล้ว ข้ายอมทุกอย่างแล้ว นายท่านอยากรู้สิ่งใดข้าจะยอมบอกทั้งสิ้น" "หึ! " เฟิ่งเจี๋ยแค่นเสียงขึ้นจมูก โยนตัวเสี่ยวจูทิ้งลงบนพื้น "แค่ก ๆ ๆ " เสี่ยวจูยกมือขึ้นจับลำคอไอสำลักออกมา เพราะขาดอากาศหายใจไปช่วงหนึ่ง ซือจงดึงร่างของเขาขึ้นมาผูกมัดมือไว้ด้วยเชือกหนา ก่อนที่จะผลักร่างผ่ายผอมดันไปข้างหน้าและเอ่ยเสียงแข็ง "เกาสื้อฉีอยู่ไหน..นำทางไป! หลังจากนั้น เสี่ยวจูก็พาเฟิ่งเจี๋ยและซือจงเดินเลียบทางเดิน ลงบันไดเล็กแคบมายังชั้นใต้ดินของโรงเตี๊ยม ไม่น่าเชื่อว่า เกาสื้อฉี จะสร้างสถานที่กบดานลับ ๆ เช่นนี้ไว้ในโรงเตี๊ยมของเขา คงคิดว่ารอบคอบดีแล้วจึงทำ ทว่าไม่เลยสักนิด! ใต้ดินของโรงเตี๊ยมเกาสื้อฉีถูกขุดเป็นอุโมงค์กว้าง สองข้างทางถูกปล่อยเป็นหินปูนตามธรรมชาติ แสงสลัวรางสีเหลืองอ่อนจากไฟตะเกียงที่แขวนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ช่วยให้ที่แห่งนี้ไม่มืดมนนัก เสี่ยวจูพาเฟิ่งเจี๋ยและซือจงมาหยุดที่ด้านหน้าห้องห้องหนึ่งที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ยิ่งเข้าไปใกล้หน้าประตูนั้นเท่าไหร่ ยิ่งมีเสียงสะท้อนร้องครวญครางของสตรีดังออกมามากขึ้นเท่านั้น และคงไม่ต้องเดาเลยว่ายามนี้ เกาสื้อฉีกำลังทำอะไรอยู่… ซือจงใช้ฝ่าเท้าถีบประตูนั้นจนพัง แล้วเดินนำทั้งสองคนเข้าไปในห้อง ทันทีที่ประตูพังออก ภาพที่คาดเดาเอาไว้ก็ปรากฏขึ้น เกาสื้อฉีในร่างเปลือยเปล่ากำลังร่วมรักกับคณิกาสาวอย่างเมามันบนเตียงนอน เมื่อเห็นว่าประตูเปิดออก ร่างอวบอ้วนพลันกระเด้งตัวลงจากกายนาง พลางคว้าเอาผ้าต่วนมาห่มคลุมร่างด้วยความตกใจ ส่วนคณิกาสาวผู้นั้นก็ไม่ต่าง นางรีบคว้าหยิบเสื้อผ้าติดมือและวิ่งออกไปจากห้องด้วยความอับอาย "พะ พวกเจ้าเป็นใคร! " เกาสื้อฉีชี้นิ้วถาม เสียงอึกอัก ใบหน้าฉายแววตระหนักลนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พอหันไปเห็นเสี่ยวจูยืนอยู่เขาก็โวยขึ้นมาทันที “เสี่ยวจู! เจ้าอยากตายใช่หรือไม่!!!” เสี่ยวจูที่ยืนอยู่หน้าประตูได้แต่ก้มหน้าสลด ยามนี้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ "ซือจง! จับตัวมันไว้" "ขอรับ" สิ้นเสียง ซือจงก็เข้าไปจับมือเกาสื้อฉีไพล่หลังแล้วมัดไว้ด้วยเชือกแน่นหนา "ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!! " เกาสื้อฉีส่งเสียงโวยวายลั่น เขาพยายามดิ้นสะบัดตัวให้หลุดออกจากเชือกแน่นหนาที่ผูกรัด “พวกเจ้าหายไปไหนกันหมด!!! พวกเจ้าข้างบน!!!! ข้าบอกให้มาช่วยข้ายังไงเล่า!!!! ” "ยามนี้ ไม่มีใครมาช่วยเจ้าหรอก...เกาสื้อฉี" รอยยิ้มเชือดเฉือนเจือความเย็นชาฉายบนใบหน้าของเฟิ่งเจี๋ยอีกครั้ง เขาเดินไปบีบกรามเกาสื้อฉีจนใบหน้ายับยู่ ก่อนที่จะเอ่ยคาดคั้นถาม “ตอบข้ามา...เจ้าส่งคนไปวางเพลิงคฤหาสน์สกุลโจวใช่หรือไม่" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหงื่อกาฬบนศีรษะของเขาก็ไหลออกมาไม่หยุด "เจ้าพูดอะไรของเจ้า! " "ข้าถามว่าเจ้าส่งคนไปวางเพลิงคฤหาสน์สกุลโจวใช่หรือไม่!!! " เฟิ่งเจี๋ยตะคอกเสียงถามย้ำด้วยน้ำเสียงเปี่ยมโทสะ "เปล่า! ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ทำ" เกาสื้อฉีส่ายศีรษะ เนื้อตัวเริ่มสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว เฟิ่งเจี๋ยพรูลมหายใจยาวด้วยสีหน้าระอา ก่อนที่จะเลื่อนมือชักมีดพกที่เอวออกมาจี้ไปที่ลำคอของเกาสื้อฉี “เจ้าจะบอกดี ๆ หรือจะให้ข้าฆ่าเจ้าให้ตายเสียก่อน แล้วค่อยเรียกวิญญาณเจ้าออกมาตอบ..." ปลายแหลมคมของมีดพกที่ทิ่มแทงลำคอ ทำเอาสติของเกาสื้อฉีเตลิดเปิดเปิงไปไกล บนใบหน้าที่ซีดเผือดนั้น พยายามดิ้นรนอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะตอบเสียงสั่นเครือ “...ขะ ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ จริงอยู่ที่ข้าเคยส่งคนไปข่มขู่เรื่องเบี้ยที่ติดค้าง แต่ฮูหยินก็ชดใช้ข้าด้วยของล้ำค่าแล้ว ข้าจะส่งคนไปวางเพลิงจวนสกุลโจวเพื่ออะไร" ของล้ำค่างั้นหรือ? คิ้วเข้มของเฟิ่งเจี๋ยขมวดเข้าหากันแน่น "ของล้ำค่านั้นคือสิ่งใด" เกาสื้อฉีค่อย ๆ ยกมือชี้ไปที่ตู้ไม้เก็บของใบหนึ่ง พลางเอ่ย “ตู้ใบนั้นมีกล่องเครื่องประดับสีเงินวางอยู่ กล่องนั้นมีอัญมณีล้ำค่าเป็นสร้อยคอของฮูหยินโจว” สิ้นเสียง เฟิ่งเจี๋ยก็เดินไปเปิดบานประตูตู้ไม้ใบนั้นออก แล้วก็พบว่าที่เกาสื้อฉีกล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริง มือหนาค่อย ๆ ขยับจับกล่องเครื่องประดับสีเงินนั้นเปิดออก สีหน้าของเขาเย็นชาทว่าจิตใจกลับรู้สึกว่าเวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้าราวกับหยุดอยู่ชั่วขณะ ในกล่องนั้นมีสร้อยคอหยกงามที่ท่านแม่หวงแหนอยู่จริง นั่นก็หมายความว่าหนี้สินได้ลบล้างกันไปเรียบร้อยแล้ว "หากเจ้ายังไม่เชื่อ ข้ามีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ฆ่าไม่ได้ข้าผู้ใดอย่างที่เจ้ากล่าวหา" เกาสื้อฉีเอ่ยเสียงสั่นเครือ เฟิ่งเจี๋ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะใช้มือหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาจับจ้องด้วยความคิดถึงมารดาสุดหัวใจ "ซือจง...เจ้าเอาเบี้ยพนันที่ได้มา ส่งคืนไป" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงเฉียบ "ขอรับ" ซือจงรับคำและเอาเบี้ยพนันทั้งหมดที่ได้มานั้น เทกองรวมกันบนพื้นข้างหน้าตัวเกาสื้อฉีตามคำสั่งการ เฟิ่งเจี๋ยปรายตามองเกาสื้อฉีอีกครั้ง เอ่ยทิ้งทวนก่อนจะเดินออกไป "ข้าจะเอาสร้อยเส้นนี้กลับ ส่วนเจ้าก็เอาเบี้ยพวกนี้ไป ชาตินี้ถือว่าสกุลโจวไม่มีอะไรติดค้างกับเจ้า" เมื่อเห็นว่าพวกเขาจะไม่แก้มัดให้และกำลังเดินออกไป เกาสื้อฉีก็เบิกตากว้าง ตะโกนร้องเรียกด้วยความตกใจ "เดี๋ยวก่อน!!! กลับมาปล่อยข้าก่อน พวกเจ้าอย่าเพิ่งไป กลับมาก่อน!!! "  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม