ด้านมืดของจิตใจมนุษย์มักจะเผยออกมา ยามที่อีกฝ่ายหนึ่งด้อยค่าหรือไม่มีผลประโยชน์กว่าเสมอ
การที่ได้ลองกลายมาเป็น 'ชายตาบอด' ไม่เพียงแต่สร้างหลุมพรางใหญ่ไว้ดักจับสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์ ทว่ายังทำให้เห็นธาตุแท้ของใครหลายคนที่อยู่รอบข้าง บนใบหน้าอันยิ้มแย้มนั้น เก็บซ่อนงำความร้ายกาจอีกด้านในจิตใจได้อย่างมิดชิด ทำให้รู้ว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือจิตใจมนุษย์ต่างหาก หาใช่อาวุธใดในพสุธา
ไม่ว่าจะเป็น 'เฟิ่งอี้' น้องชายร่วมสายเลือด ที่หักหลังและ 'เอ้อร์หนิง' คนรักที่นอกกายนอกใจ ทอดทิ้งไปเมื่อยามยากลำบาก ทว่าสวรรค์ยังเมตตา ส่งคนตรงหน้ามาเยียวยาจิตใจข้าได้อย่างน่าประหลาดใจ
เฟิ่งเจี๋ยครุ่นคิดในใจพลางเหลือบสายตามองไปที่มี่อิงแวบหนึ่งแล้วยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
รูม่านตาสีดำสะท้อนภาพ พวงแก้มป่องขาวกระจ่างของหญิงสาวที่กำลังเคี้ยวขนมหวานตุ้ย ๆ อยู่อย่างมีความสุข
แต่นั่น...มันขนมหวานของข้าทั้งหมดไม่ใช่หรือ?
เฟิ่งเจี๋ยลอบหัวเราะในใจ ก่อนที่จะชักสายตากลับที่เดิมเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย
เพราะนางคิดว่าเขาตาบอด นางถึงได้แสดงตัวตนออกมาเช่นนี้ ความเป็นธรรมชาติของนางมีกลิ่นอายของเสน่ห์บางอย่างแผ่กระจายออกมา เพียงได้อยู่ใกล้ก็ทำให้รู้สึกว่าหัวใจกำลังถูกเยียวยาให้มีความสุขทุกครั้ง ไม่รู้ว่า...หากนางรู้ความจริง ข้าจะยังได้เห็นนางในมุมแบบนี้อีกหรือไม่...
เฟิ่งเจี๋ยออกจากห้วงแห่งความคิด หลุดปากเอ่ยถาม "อร่อยหรือไม่"
แค่ก ๆ ๆ
มี่อิงไอสำลักออกมาจนหน้าแดง อะไรกัน! จู่ ๆ ก็โพล่งถามขึ้นมาแบบนี้
หรือว่าคุณชายจะรู้ว่าข้ากำลังแอบกินขนมหวานของคุณชายอยู่ ?
"คะ คุณชายว่าอย่างไรนะเจ้าคะ" มี่อิงช้อนตาเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อย้ำให้แน่ใจว่านางไม่ได้หูฝาดไป
"ข้าถามว่า...มีอะไรอร่อยอีกหรือไม่"
'เฮ้ออ อ!! นึกว่าจะโดนจับได้แล้วเชียว' มี่อิงถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความโล่งใจ
“เหตุใดถึงเงียบไป หรือว่า...ที่เจ้ากระแอมไอเมื่อครู่เป็นเพราะเจ้าไม่สบาย"
"ปะ เปล่านะเจ้าคะคุณชาย บ่าวไม่ได้เป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ บ่าวแค่เกิดสำลักขึ้นมาเสียอย่างนั้น ขอบคุณคุณชายนะเจ้าคะ" มี่อิงโบ้ยมือปฏิเสธ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“อย่างนั้นเองหรือ…” ใบหน้าของเฟิ่งเจี๋ยทอยิ้มจางๆ ยิ่งเห็นท่าทีนางเช่นนั้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระตุ้นให้เขารู้สึกอยากกลั่นแกล้งนางมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
กลางดึกคืนนั้นที่ โรงเตี๊ยมเกาสื้อฉี
แสงจันทราสาดทอทั่วถนนพื้นปูหินขัด ภายใต้ลมกลางคืนที่พัดเอื่อยเฉื่อย โคมไฟสีแดงสลัวรางสองดวงหน้าโรงเตี๊ยมเกาสื้อฉีส่ายไหวประดุจไข่มุกราตรีที่ลอยไปมา
"นี่เองหรือ...โรงเตี๊ยมเกาสื้อฉี ดูเหมือนกิจการที่นี่จะรุ่งเรืองนัก ผู้คนมากมายทีเดียว"
สุ้มเสียงเย็นเยียบเจือแววประชดประชันดังขึ้นจากมุม ๆ หนึ่งที่มืดมิดในยามราตรี ชุดคลุมยาวสีดำสนิท ดวงหน้าหล่อเหลาถูกบดบังมิดครึ่งหนึ่งด้วยผ้าต่วนสีดำเข้ากันดีกับชุด เฟิ่งเจี๋ยอดทนรอโอกาสนี้มาอย่างใจเย็น จนในที่สุดวันนี้ก็มาถึง…
"ใช่ขอรับท่านโหว ยามอู่เป็นโรงเตี๊ยมขาวสะอาด แต่เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน โรงเตี๊ยมแห่งนี้จะกลายเป็นโรงบ่อนเบี้ยทันทีขอรับ" ซือจงเอ่ย
"เกาสื้อฉีทำการโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน คงจะไม่ธรรมดาเลยทีเดียว" เฟิ่งเจี๋ยยกยิ้มเอ่ยเสียงเจือแววเลศนัย ขณะที่สายตากระจ่างใสคมกริบเพ่งมองนิ่งไปยังโรงเตี๊ยมไม่หยุด
"ในทุก ๆ เดือนใต้เท้าหลี่จะส่งคนมาเก็บส่วนแบ่งเบี้ยจากเกาสื้อฉี นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเกาสื้อฉีถึงได้หน้าหนา ส่งคนไปทำร้ายคนไปทั่วโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใดขอรับ"
"ใต้เท้าหลี่อีกแล้วหรือ…เรื่องนี้ชักจะมีอะไรสนุกเสียแล้วสิ" พอได้ยินชื่อของ 'ใต้เท้าหลี่' รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็หยักลึกขึ้นกว่าเดิม "เจ้าขึ้นไปดูชั้นสองของโรงเตี๊ยม หาตัวเกาสื้อฉีให้พบแล้วจับตัวมัดไว้ ส่วนข้าจะแฝงเข้าไปในบ่อนพนัน"
"ขอรับท่านโหว" ซือจงก้มศีรษะต่ำรับคำ ก่อนจะใช้วรยุทธ์ตัวเบาพุ่งถลาร่างขึ้นไปบนหลังคากระเบื้องสูงและปีนป่ายเข้าไปทางหน้าต่างอย่างว่องไว
ด้านหน้าประตูโรงบ่อนเบี้ยเกาสื้อฉี มีด้ายสีขาวบาง ๆ กั้นไว้โดยมีบุรุษสองคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำโรงบ่อนยืนเฝ้าตรวจตราอยู่
เมื่อปลายเท้าของเฟิ่งเจี๋ยเดินมาหยุดที่หน้าประตู บุรุษสองคนนั้นก็พลันใช้สายตาเพ่งมองด้วยความสงสัย
แต่พอเขายกถุงเงินถุงใหญ่ในมือชูสูงขึ้นสายตาอันเคร่งขรึมจ้องจะเขมือบก็พลันอ่อนนุ่มลง แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
หลังจากนั้น เฟิ่งเจี๋ยก็เดินผ่านเข้าไปในประตูอย่างง่ายดาย
เขาแฝงตัวเข้าไปอยู่ท่ามกลางเหล่านักพนันที่ยืนเบียดเสียดกันเป็นกระจุก กลืนเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันได้อย่างแนบเนียน
ในความจริงแล้ว โรงบ่อนเบี้ยแห่งนี้กว้างขวางอยู่ไม่น้อย แต่จำนวนคนที่หนาแน่นเกินจะรับไหว ทำให้นักพนันเหล่านั้นยืนอัดกันแน่นเสียจนหายใจแทบจะรดต้นคอ ที่นี่จึงดูเล็กและน่าอึดอัดไปในทันที
เฟิ่งเจี๋ยกวาดสายตามองรอบกาย สะท้อนภาพผู้คนมากมาย มีใบหน้าหมองคล้ำ ดวงตากลมโบ๋ราวกับผีดิบ ผู้คนเหล่านั้นมีทั้งสตรีและบุรุษปะปนกันไป บางคนเต็มใจแขวนชีวิตไว้กับความเสี่ยงอย่างเมามัว บางคนกลายมาเป็นทาสของเงินทองจากเล่ห์เหลี่ยมของคนที่ร่ำรวยกว่า สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของชนชั้นและความยากจนของคนบางกลุ่มในแคว้นต้าหมิงได้เป็นอย่างดี
หลุดจากความคิด สายตาอันแหลมคมของเฟิ่งเจี๋ยก็พลันไปประสานกับสายตาของซือจงที่ยืนอยู่เหนือบันไดชั้นสอง
ซือจงส่ายศีรษะส่งสัญญาณบางอย่าง นั่นก็ทำให้เขารับรู้ได้ในทันทีว่า ชั้นบนของโรงเตี๊ยมนั้นไม่มีเกาสื้อฉีปรากฏอยู่
เขาผงกศีรษะเชื่องช้าส่งสัญญาณตอบกลับ เพียงไม่นาน ซือจงก็ลงบันไดมาคอยยืนสังเกตการณ์ในมุมมืดมุมหนึ่งของโรงบ่อนอย่างเงียบ ๆ
เวลาพ้นไปไม่นานการเดิมพันก็เริ่มขึ้น
บุรุษหน้าแหลมเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่งก้าวเท้าเดินเข้ามาประจำการหลังโต๊ะตัวกลางที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ก่อนที่จะตะเบงเสียงเอ่ยขึ้น
"เอาล่ะทุกท่าน! พร้อมจะเป็นเศรษฐีกันแล้วใช่หรือไม่"
สุ้มเสียงไล่ระดับจากต่ำไปสูง ปลุกใจเหล่านักพนันให้ฮึกเหิมได้ดียิ่งนัก เสียงนั้นมาจาก เสี่ยวจู พนักงานประจำโรงเตี๊ยมที่เป็นผู้นำกิจกรรม มีหน้าที่หลักในการใช้วาทศิลป์ชั้นสูงชักจูงใจผู้คนให้หลงเชื่อและคล้อยตาม
เฮ้!!!!!!!
นักพนันเหล่านั้นพร้อมใจกันส่งเสียงเฮลั่นสนั่นหวั่นไหว ทุกคนต่างชอบพอชอบใจกับคำพูดขายฝันที่จับต้องไม่ได้ของเสี่ยวจูอย่างบ้าคลั่ง ยามนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากปีศาจร้ายที่หิวกระหายเลือดเลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวจูคว้าถั่วกองใหญ่มาหนึ่งหยิบมือ ก่อนที่จะชูมือขึ้นและตะโกนถามเหล่านักพนันที่ยืนรายล้อมเสียงดัง "ในถั่วกำมือนี้ มีจำนวนเท่าไหร่ เสี่ยงทายพร้อมเบี้ยของท่านมา"
ช่วงเวลาแห่งการลุ้นระทึก นักพนันหลายคนต่างจ้องมองไปที่กำมือของเสี่ยวจูตาเป็นประกายมันวาวพลางคาดคะเนคิดคำนวณจำนวนเม็ดถั่วที่อยู่ในนั้นตามทฤษฎีของตน
จนเวลาล่วงไปชั่วครู่…
ชายหนุ่มหน้ายาวผู้หนึ่งยกมือขึ้น พร้อมเอ่ยเดิมพันด้วยน้ำเสียงมาดมั่น "ข้าลงหนึ่งหมื่นตำลึง ขอทายว่าถั่วในมือท่านทั้งหมดมีสิบสามเม็ด"
เหล่านักพนันคนอื่นๆ ที่ได้ยินเช่นนั้นต่างพากันเบิกตากว้างเป็นประกาย เพราะมูลค่าที่ชายผู้นั้นลงไปถือว่าไม่น้อย
"หนึ่งหมื่นตำลึงเลยหรือ…เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าถั่วในนั้นมีสิบสามเม็ด" ชายชรานักพนันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"ใช่ ๆ ไฉนเจ้าถึงมั่นใจนัก แล้วลงเบี้ยไปเช่นนั้น เจ้าไม่กลัวหมดตัวหรือ" นักพนันอีกคนหนึ่งเอ่ยเสริม
ชายหนุ่มหน้ายาวไม่ตอบกลับ เอาแต่ยิ้มที่มุมปากเล็ก ๆ ลำคอเชิดสูง แสดงสีหน้ามั่นใจ
"นายท่านผู้นี้ใจกล้านัก" เสี่ยวจูฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะหันหน้าไปเอ่ยต่อ "แล้วท่านอื่นเล่า คิดว่าอย่างไร โปรดเขียนจำนวนของท่านในกระดาษ แล้วมายื่นให้ข้าพร้อมเบี้ยที่จะลงบนโต๊ะตัวนี้ ข้าจะนับเลขถอยหลังนับแต่นี้ต่อไป 10...9...8…"
ระยะเวลาเร่งเร้าชวนให้จิตใจปั่นป่วน นักพนันทั้งหลายตกอยู่ในสภาวะเคร่งเครียดและกดดัน จนทำให้สติกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เผลอไผลลงจำนวนเดิมพันตามชายหนุ่มผู้นั้นกันตามเป็นขบวน
"3...2..1"
สิ้นเสียง เสี่ยวจูก็ยกมือข้างที่ไม่ได้กำถั่วขึ้น ชูสัญญาณเป็นนัยว่าการเดิมพันสิ้นสุดลงแล้ว
"ยามนี้ก็ถึงเวลาแล้ว ข้าจะนับถั่วในกำมือของข้าไปพร้อม ๆ กับทุกท่าน" เอ่ยจบ เสี่ยวจูก็ค่อย ๆ ใช้มือดึงเม็ดถั่วออกมาจากมือเขาทีละเม็ด ๆ และนับ...
"ถั่วเม็ดที่หนึ่ง"
"..สอง"
"..สาม"
"..สี่"
.
.
.
"..สิบสอง"