ในราตรีกาลอันมืดมิด ดวงตานิ่งลึกทอประกายระยับจ้องมองเพดานไม้สักเป็นภาพนิ่ง
ภายใต้ความมืดมนและเงียบสงัด บ่าวรับใช้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานต่างพากันหลับสนิท ยกเว้นแต่ ‘มี่อิง’ ที่ยังคงนอนพลิกกายไปมาอยู่บนฟูกนอน แม้จะพยายามข่มตาให้หลับเพียงใด ทว่าจิตใจนางกลับว้าวุ่นและวิตกกังวลอย่างบอกไม่ถูก
ไยข้าถึงไม่ง่วงเลยสักนิด?
จะต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่!
นางนอนแน่นิ่งอยู่นานสองนาน จนตัดสินใจลุกขึ้นนั่ง
ทันใดนั้นเอง หน้าท้องน้อย ๆ ของนางก็พลันส่งเสียงร้องโคกคากดังขึ้น ตอบคำถามทุกอย่างที่ค้างคาใจ
ข้า
.
.
.
หิวนี่เอง!
กลีบปากบางสีแดงเรื่อเผยอขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้าฉายรอยยิ้มเจื่อน ๆ นางใช้มือเรียวสวยลูบไปที่หน้าท้องวนเป็นวงกลมเบา ๆ คิดในใจว่าคงต้องหาอะไรลงท้องเสียแล้ว จึงหันมองไปที่เจียวซือที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างกาย หวังจะปลุกนางให้ลุกออกไปด้วย แต่ทว่าเสียงกรนของสหาย ก็ทำให้นางไม่อยากรบกวนและตัดสินใจออกไปเสียเอง
ในขณะที่กำลังลุกขึ้น มือเล็กมือหนึ่งก็คว้าแขนนางไว้ "มี่อิง...เจ้าจะไปไหนหรือ" เจียวซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือทั้งที่ตากำลังปิดอยู่
มี่อิงสะดุ้งเล็กน้อย ค่อย ๆ หันหน้ากลับไปตอบสั้น ๆ ว่า "ข้าจะออกไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวข้าก็กลับมา เจ้านอนต่อเถิด"
...แล้วมือเล็กนั่นก็ร่วงหลุดออกจากแขนของนาง พร้อม ๆ กับเจ้าของที่กลับไปหลับใหลเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราดังเดิม
มี่อิงถอนหายใจเบา ๆ ใช้มือจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ สวมรองเท้าและหยิบตะเกียงไฟเดินออกไปนอกเรือน
สายลมกลางคืนพัดโชยมาพาต้นไม้วูบไหวเหมือนดั่งมีชีวิต เสียงแมลงขับขานที่ดังก้องเป็นพัก ๆ ขับเน้นราตรีนี้ให้วังเวงมากยิ่งขึ้น
แสงสีขาวสลัวรางจากตะเกียงในมือของนางขยับไหวไปมาตามท่วงท่าการเดิน ยามนี้นางตระหนักแล้วว่า การออกมาเดินในจวนกลางดึกเช่นนี้เป็นเรื่องที่คิดผิดมหันต์
ถึงแม้จะหวาดกลัวเพราะเคยพบเจอวิญญาณในเรือนเยว่สือมาก่อน ทว่านางกลับอยากที่จะเผชิญกับความหวาดกลัวนั้นอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้
ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็ควรทำตัวให้คุ้นชินไม่ใช่หรือ? แต่...ฮูหยินเจ้าคะ เข้ามาในความฝันเถิดเจ้าค่ะ เจอแบบครั้งก่อนมีหวังข้าหัวใจวายตายเป็นแน่
ความคิดปลอบโยนตรงข้ามกับฝีเท้าเร่งร้อนที่ก้าวไวขึ้น นางพยายามโยนความหวาดกลัวในใจออกให้หมด แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ภาพอดีตในเรือนเยว่สือก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
มี่อิงขบริมฝีปากแดงเรื่อแน่น หรี่ดวงตาให้เล็กเรียวรี เดินฝ่าดงความมืดและเงียบสงัดมาถึงโรงครัวหลักของจวนสกุลโจวในที่สุด
ครั้นเมื่อประตูไม้ของโรงครัวเปิดออก ร่างบางก็ไม่รีรอพุ่งกายเข้าไปวางตะเกียงไฟบนโต๊ะไม้และกวาดสายตามองหาอาหารทันที
...แล้วสายตาอันแหลมคมของนางก็เหลือบไปเห็นพวงองุ่นตั้งวางอยู่ นางจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปคว้าองุ่นพวงนั้นขึ้นมากัดกินทันทีด้วยความหิวโหย
อร่อย...อร่อยยิ่งนัก!
รสชาติเปรี้ยวอมหวานของผลองุ่นทำให้นางรู้สึกล่องลอยเหมือนดั่งอยู่บนสรวงสวรรค์ เป็นเพราะจวงมามาไล่บ่าวรับใช้ออกไปบางส่วน นางจึงต้องแบกภาระเพิ่มอีกเป็นสองสามเท่า ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หลายครา พอถึงเวลาทานอาหารก็ลืมไปเสียอย่างนั้น
นางครุ่นคิดพลางใช้นิ้วเรียวเด็ดผลองุ่นโยนเข้าปากและเคี้ยวมันอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นเอง...เสียงแปลกประหลาดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ตุ๊บ!!!!!
ตึ่ก ๆ ๆ ๆ
สะ เสียงนั่น!?
มี่อิงเบิกตาโพลง ชะงักนิ่งไปชั่วอึดใจ เสียงนั่นคล้ายกับเสียงของบางอย่างร่วงหล่น แต่ก็คล้ายกับเสียงฝีเท้าวิ่งเร็วรัวบนพื้นหินขัด หรือว่า...นี่จะเป็นอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณฮูหยินโจว!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็กำมือประสานแน่น ปิดดวงตาสนิท ผลุบตัวลงไปนั่งกอดเข่าที่พื้น ฮืออ อ...หากเป็นเช่นนั้นจริง คืนนี้ข้าจะเดินกลับเรือนอย่างไร?
ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจทำให้คิดฟุ่งซ่านไม่หยุด จู่ ๆ คำพูดของเจียวซือก็ผุดขึ้นมาในภวังค์แห่งความคิดอีกครั้ง
'ถึงแม้คุณชายโจวจะตาบอด แต่วรยุทธ์ของคุณชายยังคงแกร่งกล้า ขนาดมีโจรแอบเข้ามาหวังจะขโมยทรัพย์สิน คุณชายโจวที่มองไม่เห็นยังสามารถเล่นงานโจรผู้นั้นเสียจนอ่วมไปเลยล่ะ’
มี่อิงเบิกตาขึ้น พลางครุ่นคิดด้วยสายตาเลื่อนลอย หากเป็นอย่างที่เจียวซือกล่าวจริง… คุณชายโจวจะต้องออกไปจับโจรและเพิ่งกลับเข้ามาในจวนเป็นแน่
แล้วความอยากรู้ก็เอาชนะความกลัวได้อย่างน่าประหลาด คราวนี้แหละ! ข้าจะต้องรู้ความจริงให้ได้ว่าคุณชายโจวออกไปจับโจรมาจริงหรือไม่ หรือแท้ที่จริงแล้วคำพูดนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งหลอกลวง
มี่อิงลุกขึ้นยืน ชะโงกศีรษะมองไปที่มุมหน้าต่าง พบว่าไร้ผู้ใดปรากฏ จึงเดินออกจากประตูโรงครัว วิ่งไปเขย่งขาดูตรงกำแพง แล้วก็พบว่าไม่เห็นสิ่งใดอีกเช่นกัน เพราะกำแพงนั้นสูงเสียดศรีษะนางไปกว่าคืบ
หรือว่า...คุณชายจะกลับไปที่เรือนจ้วนสือแล้ว?
สิ้นสุดความคิด มี่อิงก็รีบวิ่งลัดเลาะผ่านเรือนต่าง ๆ ไปในทางลัดที่สั้นที่สุด ยามนี้นางเหมือนกำลังวิ่งไล่จับอะไรบางอย่างที่มีความหวังริบหรี่แขวนอยู่กลางอากาศ ทั้งลุ้นระทึก ทั้งกดดัน หากจะบอกว่าเป็นครั้งแรกที่รู้สึกกระปรี้กระเปร่าที่สุดหลังจากเข้ามาทำงานในเรือนที่จวนแห่งนี้ก็ย่อมได้
ครั้นพอถึงหน้าเรือนประธานจ้วนสือ สิ่งแรกที่นางทำคือผลักประตูเรือนไม้ฉลุเดินเข้าไปที่เตียงนอน เลิกม่านโปร่งและสำรวจดูว่ายามนี้คุณชายโจวกำลังนอนหลับอยู่หรือไม่
แล้วก็เป็นอย่างที่นางคาดคิด มี่อิงยกมุมปากข้างหนึ่งยิ้มอย่างมีเลศนัย
คุณชายโจวผู้นี้ชื่นชอบความรุนแรงนัก โลหิตไม่ออก นอนไม่หลับงั้นหรือ? ดูเหมือนว่าข้าจะมีอะไรสนุก ๆ ทำเสียแล้วสิ!
ทางด้านเฟิ่งเจี๋ยที่เพิ่งกลับมาจากโรงเตี๊ยมเกาสื้อฉี
เขากระโดดข้ามกำแพงเข้ามาด้านหลังจวนอย่างคล่องแคล่วว่องไว การกลับมาครั้งนี้เหมือนกับทุกครั้ง ทว่าผลลัพธ์นั้นแตกต่าง เขารู้สึกเหมือนได้ทลายปมในจิตใจออกไปได้อีกเปลาะ หลังจากที่รู้ว่า 'เกาสื้อฉี' ไม่ใช่คนที่วางเพลิงฆ่าบิดามารดาตน
เขาเคลื่อนสายตาเศร้าสร้อยจ้องมองสร้อยคอของมารดาในมืออีกครั้ง พลางคิดในใจ
ท่านแม่...ท่านโดดเดี่ยวหรือไม่? ข้าสัญญาว่าจะทวงความยุติธรรม ลากตัวคนชั่วที่ฆ่าท่านและท่านพ่อออกมาชดใช้ให้สาสมกับที่พวกท่านทุกข์ทรมานในกองเพลิงนั่น!
เมื่อหลุดจากความคิดอันเลื่อนลอย เขาก็ละสายตาจากสร้อยเส้นนั้น ถลาตัวลู่ลมขึ้นบนหลังคากระเบื้องสูง กระโดดข้ามเรือนหลายหลังจนไปถึงที่เรือนจ้วนสือภายในเวลาไม่นาน
เขากระโดดลงจากหลังคา เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่าทางปกติเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าและถอยหลังกลับไปหลบซ่อนข้างหลังประตู เพราะสายตาอันแหลมคมของเขาพลันมองเข้าไปเห็นมี่อิงกำลังนั่งอยู่ในเรือน นี่นาง...กำลังจับผิดข้าอยู่อย่างนั้นหรือ?
"ออกไปไหนมาหรือเจ้าคะคุณชาย"
เสียงใสก้องกังวานดุจดนตรีบรรเลงดังขึ้น ถึงแม้น้ำเสียงจะชวนน่าฟังสักเพียงใด แต่ยามนี้ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มจรรโลงใจเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับรู้สึกขนลุกตั้งชันอย่างบอกไม่ถูก
“คุณชาย...มี่อิงรู้นะเจ้าคะ ว่าคุณชายกลับมาแล้ว ไม่ต้องหลบซ่อนหรอกเจ้าค่ะ”
เฟิ่งเจี๋ยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยอาการประหม่า ไม่ผิดเป็นแน่! นางคงจ้องจับผิดข้ามานานแล้ว
เฟิ่งเจี๋ยรวบรวมสติ จัดแจงอาภรณ์แสร้งทำเป็นเดินงกเงิ่นเข้าไปในเรือน ชนประตู ชนข้าวของข้าง ๆ ล้มระเนระนาด
มี่อิงเห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มพราย เดินเข้าไปโอบประคองคุณชายโจวเข้ามาในเรือน พามานั่งบนเก้าอี้พนัก ก่อนที่จะเลื่อนหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหู "ออกไปต่อสู้มาได้ ไฉนถึงเดินเข้ามาเองไม่ได้กันล่ะเจ้าคะ"
ดวงตาสีดำอำพันของเฟิ่งเจี๋ยเป็นประกายวูบ เขาเอ่ยตอบน้ำเสียงอึกอัก "ขะ ข้าออกไปเดินเล่นมา เจ้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ"
"ออกไปเดินเล่น ไฉนถึงได้เปลี่ยนอาภรณ์ให้ดูกระฉับกระเฉงเช่นนี้ บ่าวจำได้ว่าชุดที่บ่าวเตรียมให้หลังจากอาบน้ำเสร็จไม่ใช่ชุดนี้นะเจ้าคะ หรือว่า…คุณชายกำลังเมาอยู่! " เอ่ยจบ มี่อิงก็เคลื่อนใบหน้าขยับเข้าไปใกล้ ใช้ปลายจมูกสูดดมกลิ่นที่ลำคอของเขา "กลิ่นสุราก็ไม่มี คุณชายไม่ได้เมานี่เจ้าคะ จะต้องมีสติเป็นแน่"
ใช่ข้ามีสติ...แต่ยามนี้ข้ากำลังสติกระเจิดกระเจิงเพราะเจ้า!
เฟิ่งเจี๋ยเม้มปากแน่น หยาดเหงื่อท่วมเต็มศีรษะ
มี่อิงเห็นสีหน้าของเขาเช่นนั้น ก็คลี่ยิ้มกว้างอย่างพอใจ อาการของคุณชายโจวยามนี้ดูเหมือนเด็กน้อยลอบทำความผิดมาอย่างไรอย่างนั้น
นางค่อย ๆ ใช้มือเล็กเรียวเลื่อนไปจับที่แขนของเขาและเอ่ย "ไหนเจ้าคะ วันนี้มีแผลตร..."
ยังไม่ทันเอ่ยจบ เฟิ่งเจี๋ยก็ดึงร่างของนางเข้ามาสวมกอดแน่น "มี่อิง...ที่ข้าทำไปล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าไม่ได้ตั้งใจหลอกเจ้าเลยแม้แต่น้อย"
ร่างนุ่มนิ่มบอบบางในอ้อมกอดของคุณชายโจว แข็งทื่อ รู้สึกประดักประเดิดและขวยเขินเล็กน้อย ยามนี้นางรู้สึกว่า พวงแก้มของนางกำลังร้อนผ่าวไปพร้อม ๆ กับจังหวะหัวใจที่เต้นรัว หายขาดไปครึ่งจังหวะ
ใช้ชีวิตล่วงมานานหลายปี ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เรียกว่าเด็กสาวจนมาเป็นหญิงสาว แต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้โอบกอดกับบุรุษเพศเช่นนี้ น่าอับอายเหลือเกิน...
"คะ คุณชายหมายความว่าอย่างไรกันเจ้าคะ เป็นเรื่องปกติของคุณชายไม่ใช่หรือที่จะออกไปจับโจร..." มี่อิงเอ่ยเสียงประหม่า
"จับโจร" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยย้ำอีกครั้ง ใบหน้าฉายแววงงงวยไม่มีที่สิ้นสุด
"ใช่เจ้าค่ะ คุณชายไม่ได้ออกไปจับโจรหรือ เจียวซือบอกบ่าวหมดแล้วเจ้าค่ะ ว่าคุณชายมีวรยุทธ์แกร่งกล้ามาก ถึงขนาดมองไม่เห็นยังออกไปต่อสู้กับโจรได้ บ่าวก็เลยแอบมาซุ่มดูว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่"
สิ้นเสียง เฟิ่งเจี๋ยก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขาถอนหายใจเบา ๆ ปรับกิริยาท่าทางให้นิ่ง แสร้งกลับไปเป็นชายตาบอดดังเดิม ก่อนที่จะถอนกอดมี่อิงออกช้า ๆ
จังหวะนั้นเอง กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์น่าหลงใหลของเฟิ่งเจี๋ยก็วนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก ทำให้นางดึงตัวเขาเข้ามากอดอีกครั้ง
กลิ่นกายของคุณชาย...ไยข้าถึงคุ้นนัก!
"มี่อิง...เจ้ากำลังจะทำอะไร" ใบหน้าของเฟิ่งเจี๋ยพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงซ่าน หรือว่านางกำลังฉวยโอกาสนี้ใกล้ชิดกับข้า
มี่อิงก้มศีรษะ ใช้ปลายจมูกไล่สูดดมกลิ่นไปตามลำคอ หัวไหล่และต้นแขนเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง แล้วภาพเลือนรางยามที่อยู่ในอ้อมอกของบุรุษผู้หนึ่งก็พลันปรากฏขึ้น
ใช่! ต้องใช่แน่ ๆ กลิ่นกายนี้เหมือนกับกลิ่นกายของบุรุษผู้นั้นไม่มีผิด แผงอกผายกว้าง กลิ่นกายอ่อนละมุนเป็นเอกลักษณ์ หรือว่า...คุณชายจะเป็นคนที่พาข้าออกมาจากเรือนเยว่สือในวันนั้น
ขณะกำลังคิด ใบหน้าของมี่อิงก็ยังคงซุกไซร้เขาไม่หยุด...
"มี่อิง...เจ้าจะทำอะไรกับข้ากันแน่ ไฉนเจ้าถึงได้ซุกซนปานนี้" เฟิ่งเจี๋ยคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยถาม
ร่างของทั้งสองแนบสนิท ใกล้กันมากกว่าทุกครั้ง ไออุ่นร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากกาย ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวไม่หยุด
หากนับ ก็เท่ากับว่าเขากำลังถูกนางปั่นป่วนหัวใจได้อีกเป็นครั้งที่สอง
เรือนร่างของนางช่างผอมบาง น่าทะนุถนอมนัก ชายหนุ่มคว้าแขนโอบกระชับนางให้แน่นขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจของนางที่เต้นแผ่วเบาและถี่กระชั้นไม่ต่างกัน เขาไม่ขัดขืน ปล่อยให้นางซุกไซร้ใบหน้าต่อไปอย่างนั้น
..ทว่าเวลาล่วงไปครู่ใหญ่ นางก็ยังคงซุกใบหน้าอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนท่าทางไปไหน
"มี่อิง…" เขาขมวดคิ้วแน่น เอ่ยเรียกนางอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับ
"มี่อิง"
.
.
.
"มี่อิง!!! "
สิ้นเสียงเรียกสุดท้าย มี่อิงก็สะดุ้งเฮือกได้สติขึ้นมา ก่อนที่จะถอนกอดออกจากเฟิ่งเจี๋ยอย่างช้า ๆ "มะ มี่อิง...ขอโทษเจ้าค่ะ
เฟิ่งเจี๋ยกระแอมเสียงในลำคอด้วยความขลาดเขิน เอ่ยย้อนกลับไปเรื่องก่อนหน้าแสดงท่าทีกลบเกลื่อนบรรยากาศที่หนักอึ้ง "ใช่...ข้าออกไปจับโจรมา"
"นะ นี่ก็ดึกแล้ว คุณชายพักผ่อนเถิดนะเจ้าคะ มี่อิงไม่รบกวนแล้วเจ้าค่ะ" มี่อิงเอ่ยตัดบท ลุกขึ้นม้วนกายหันหลังเดินออกไปเสียดื้อ ๆ
ทันทีที่หันหน้าออกนอกประตู นางก็ฉีกยิ้มยกขึ้นอย่างสุขใจ เมื่อรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว วีรบุรุษในวันนั้นคือ คุณชายโจว ชายหนุ่มที่นางปลาบปลื้มอย่างไม่รู้ตัว
ยามเมื่อประตูปิดลง เฟิ่งเจี๋ยก็ใช้มือทาบไปที่หน้าอก ทอดถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าโล่งใจ เกือบไปแล้ว...ข้าเกือบไปแล้วจริง ๆ