ที่วัดหลินซาน
บนหุบเขายี่ซานที่สูงเสียดฟ้า ลมบูรพาพัดพาม่านหมอกและปุยเมฆสีขาวล่องลอยบนนภา เสียงนกกาบินโฉบสะท้อนหุบเขาประดุจดั่งเสียงดนตรีขับกล่อม ทั้งงดงามทั้งผ่อนคลาย หาได้ยากจากที่ใดบนโลกใบนี้
เฟิ่งเจี๋ยหลับตาหันดวงหน้าคมคายเกลี้ยงเกลารับกับแสงตะวันอ่อน ๆ เส้นผมยาวดุจผ้าต่วนพริ้วไหวปลิวสยาย ปลายผมขดพันกันเล็กน้อย ชุดสีขาวนวลเรียบ ๆ ที่แขวนบนร่างกายของเขาไม่อาจบดบังความเปล่งประกายได้เลยแม้แต่น้อย
วัดหลินซานแห่งนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เขารู้สึกสงบและปลอดภัย
ช่วงแรกเขาปฏิเสธผู้คนรอบกายแม้กระทั่งหมอเว่ยหยวนที่ให้การรักษา คิดจะลาจากโลกใบนี้อยู่หลายคราแต่ก็ถูกช่วยเอาไว้ได้ทุกครั้ง ความเจ็บป่วยครั้งนี้ไม่ได้ช่วงชิงความสุขของเขาไปเท่านั้น แต่มันกลับทำให้เขาเหมือนถูกถ่วงด้วยก้อนหินจมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ เจ็บปวดยิ่งนัก
สองสามปีมานี้เขาข้ามผ่านความทรมานแสนสาหัสทั้งร่างกายและจิตใจด้วยความยากลำบาก ขอเพียงแค่หลับตาภาพต่าง ๆ ในกองเพลิงนั่นก็ฉายเป็นภาพซ้ำ วนเวียนในหัวสมองระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างควบคุมไม่ได้ จนในที่สุด เขาก็สามารถฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้แข็งแกร่งขึ้นได้ภายในระยะเวลาราว ๆ สามปีเศษ
"โยมอยู่นี่เองหรือ" เสียงแหบพร่าลอยมา ก่อนที่หลวงจีนอาวุโสรูปหนึ่งจะเดินงกเงิ่นกระทุ้งไม้เท้าเข้ามาหาเขา
หลวงจีนอาวุโสรูปนี้เป็นเจ้าอาวาสวัดหลินซาน ถือตนเป็นผู้ครองศีลมายาวนาน ปกครองดูแลอาณาเขตอารามและบรรดาศิษย์อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ฝึกสมาธิให้กับเฟิ่งเจี๋ยอีกด้วย
เฟิ่งเจี๋ยหลุดจากภวังค์อันเลื่อนลอย หันหลังไปตามต้นเสียงและเอ่ยยิ้มแย้ม "ท่านอาจารย์...เหตุใดถึงตามหาข้าหรือ"
"คงถึงเวลาแล้ว...ที่โยมจะออกไปจากวัดหลินซานและกลับไปยังบ้านของโยม"
เฟิ่งเจี๋ยที่เพิ่งเกิดความคิดนี้ในใจไม่นาน ก็พลันเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ท่านอาจารย์อ่านจิตใจของข้าอย่างนั้นหรือ"
"อาตมาไม่อยากฟัง ก็ได้ยิน อาตมาไม่อยากเห็น ก็รับรู้ได้ด้วยนิมิตร"
"ท่านอาจารย์กล่าวถูกแล้ว ท่านอาจารย์มีบุญคุณต่อข้ายิ่งนัก ข้าสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมเยียนวัดหลินซานและคารวะท่านอาจารย์อีก"
"โยมเอ่ยน้ำเสียงปกติแต่อาตมาสัมผัสได้ว่าจิตใจโยมกำลังรุ่มร้อน"
คิ้วตากระจ่างเย็นชาของเฟิ่งเจี๋ยฉายรอยยิ้ม "ท่านอาจารย์กังวลเกินไปแล้ว"
"ทุกอย่างมีลิ่วล้อของชะตากรรม โยมจงใช้สติปัญญาอันชาญฉลาด อย่าให้ปีศาจมาครอบงำจิตใจ แล้วทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่โยมปรารถนา" หลวงจีนผู้เฒ่าโพล่งเอ่ยขึ้นเหมือนดั่งเข้าไปนั่งในจิตใจของชายหนุ่ม
คำพูดเหล่านั้นไม่ได้ห้ามปรามไปเสียทีเดียว หลวงจีนผู้เฒ่ารับรู้ดีว่าเฟิ่งเจี๋ยเก็บตัวรอเวลาแก้แค้นมาเนิ่นนานแล้วและคงไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้
เฟิ่งเจี๋ยกำมือประสาน ก้มศีรษะคำนับหลวงจีนอาวุโสด้วยท่าทางนอบน้อม พลางเอ่ย "เฟิ่งเจี๋ย...ขอบคุณท่านอาจารย์"
รถม้าขับบังเ**ยนมาชะงักจอดที่ด้านหน้า คฤหาสน์สกุลโจว
เฟิ่งเจี๋ยก้าวลงมาจากห้องโดยสารรถม้าอย่างระมัดระวังโดยมีซือจงคอยจับพยุงอยู่ด้านนอก
บรรดาบ่าวรับใช้ที่เห็นการกลับมาของคุณชายใหญ่โจว ต่างพากันค้อมกายก้มคำนับอย่างพร้อมเพรียง
การกลับมาครั้งนี้มีสภาพแตกต่างจากตอนออกไปยิ่งนัก บนใบหน้าคมคายของโจวเฟิ่งเจี๋ยยามนี้ มีผ้าสีขาวบางพันไว้รอบศีรษะ บดบังดวงตาคู่งามอย่างมิดชิด ในขณะที่มือขวาของเขาไม่เว้นว่าง จับไม้เท้าสีน้ำตาลเข้มกระทุ้งไปบนพื้นหินขัดเพื่อนำทาง
ซือจงประคองตัวเฟิ่งเจี๋ยเดินผ่านตัวบ่าวรับใช้ข้างกายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดด้านหน้าบ่าวใช้ผู้หนึ่ง
"ซือจง...ไฉนเจ้าถึงหยุดเดิน" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยถามน้ำเสียงสงสัย แล้วใบหน้าก็พลันรู้สึกได้ว่ามีฝ่ามืออุ่นร้อนคู่หนึ่งกำลังจับที่พวงแก้มของเขาอยู่ เสียงสะอื้นไห้ถี่กระชั้นที่ดังออกมาจากบ่าวใช้ผู้นั้น ทำให้เขารู้ทันทีว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคือ จวงมามา บ่าวอาวุโสหรือแม่นมที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิด
"จวงมามา...นั่นจวงมามาใช่หรือไม่" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยถามเสียงอ่อนนุ่ม
ยามนี้ จวงมามาร่ำไห้หนักขึ้นกว่าเดิม ทั้งดีใจที่ได้เห็นหน้า ทั้งเจ็บปวดใจที่ได้รู้ว่าคุณชายโจวกลับมามีสภาพเช่นนี้ นางรู้สึกสงสารเขาจับใจยิ่ง
“ใช่เจ้าค่ะ...บ่าวเองเจ้าค่ะ กลับมาที่จวนของเราแล้ว เข้าไปพักผ่อนในเรือนกันเถิดนะเจ้าคะ” เอ่ยจบ นางก็เดินเข้าไปช่วยจับพยุงกายคุณชายโจวฝั่งตรงข้ามกันกับซือจง
"จวงมามาคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว ตาของข้าบอดสนิท ข้าคงต้องเป็นภาระของท่านแล้ว"
คำพูดนั้นทำให้นางรู้สึกหัวใจสลาย จนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นางสูดจมูกสะอื้นไห้พลางตอบ “ไม่เลยเจ้าค่ะ บ่าวเต็มใจรับใช้คุณชายและสกุลโจวจนชั่วชีวิต อย่าเอ่ยเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณจวงมามา” เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยตอบเสียงค่อย พอได้ยินเสียงร่ำไห้ของนาง เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่ต่างกัน
...จวงมามาและซือจงค่อย ๆ พยุงกายของเฟิ่งเจี๋ยไปยังเรือนประธานจ้วนสือและถึงภายในเวลาไม่นาน
ครั้นเมื่อประตูเรือนปิดลง มือแข็งแกร่งก็ค่อย ๆ บรรจงดึงผ้าสีขาวบางที่พันอยู่รอบศีรษะเปิดออก
เฟิ่งเจี๋ยเขวี้ยงไม้เท้าสีน้ำตาลเข้มทิ้งลงบนพื้นส่งเสียงดังสั่นสะเทือน หาใช่ความผิดพลาด แต่เป็นความตั้งใจที่แฝงไปด้วยโทสะทั้งสิ้น
เขาใช้มือจับไปที่เปลือกตา จ้องมองเข้าไปในกระจกสำริด เห็นบุรุษเค้าโครงหน้าเดิมแต่ทว่าจิตใจกลับตายด้านประดุจมนุษย์ไร้หัวใจ
เขามองโลกใบนี้เปลี่ยนไปจากเดิม จากคนที่เคยยิ้มแย้ม ยามนี้กลับยิ้มไม่ออก ต้องจมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ความจริงที่มีเพียงเขาและคนที่ไว้ใจอย่างหมอเว่ยหยวนและซือจงเท่านั้นที่รู้ โชคชะตาฟ้าลิขิตให้เฟิ่งเจี๋ยต้องพบเจอกับความโชคร้าย ทว่าสวรรค์ยังคงมีเมตตาอยู่ ถึงแม้จะสูญเสียบิดามารดาไป แต่เขายังคงมีดวงตาที่ใช้การได้ หมอเว่ยหยวน สามารถรักษาดวงตาของเขาจนหายเป็นปกติภายในเวลาเพียงสามเดือนเศษ หลังจากนั้นเขาก็ขอเป็นศิษย์ของหลวงจีนอาวุโสที่วัดหลินซานเพื่อฝึกร่างกายและจิตใจให้กลับมามีสภาพดังเดิม
ความคับแค้นที่ฝังค่อย ๆ ทับถมในจิตใจเป็นเวลานาน คนเลวทรามที่เข้ามาวางเพลิงเรือนเยว่สือ ไม่ต่างอะไรกับการเหยียดหยามสกุลโจว
สัญชาตญาณดิบเถื่อนของนักรบ ทำให้เขาอยากจะเข้าไปลากตัวคนชั่วช้าออกมาลงทัณฑ์ อยากที่จะจับมันขังเอาไว้แล้วจุดไฟเผาให้ตายจนกลายเป็นเถ้าถ่านสลายเป็นผุยผงเสียให้จบสิ้น ทว่าหลวงจีนชราเสี้ยมสอนให้เขาเรียนรู้ว่า ไม่ใช่เพียงกำลังเท่านั้น ที่ทำให้คนเจ็บปวดทรมาณเจียนตาย
เขาจึงใช้กุศโลบายนี้มองให้เห็นถึงตัวตนอีกด้านหนึ่งของจิตใจมนุษย์และใช้โอกาสนี้สืบหาความจริงและลงมือชำระแค้น
ความยุติธรรมไม่มีจริง กาลเวลาและลิ่วล้อแห่งชะตากรรมไม่อาจรอคอยได้
มันถึงเวลาแล้ว...ที่จะล้างแค้นให้กับบิดามารดา
มันถึงเวลาแล้ว...ที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้กับสกุลโจว