เฟิ่งเจี๋ยและซือจงลงมาจากหอสังเกตการณ์เดินมายังเรือสำเภาใหญ่ของลาซู
ยามนี้ร่างกายของทั้งสองถูกแขวนด้วยชุดหนังสีน้ำตาลเช่นเดียวกันกับชาวมองโกลคนอื่น ๆ ด้วยสรีระบุรุษนักรบที่หนาและสูงโปร่ง จึงทำให้พวกเขาสามารถอำพรางเป็นชาวมองโกลได้อย่างแนบเนียนและไม่เป็นจุดสนใจเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาแฝงตัวเดินต่อแถวขึ้นไปบนเรือลำนั้น มุ่งหน้าไปยังห้องพักของลาซูที่อยู่หัวเรือเพื่อซ่อนตัวรอ
ครั้นเมื่อเข้าไปถึงด้านในห้องพักแล้ว เฟิ่งเจี๋ยก็สั่งการให้ซือจงช่วยกันค้นหาหลักฐานการค้าขายของลาซู จนในที่สุด เขาก็พบมันซ่อนอยู่ใต้ลิ้นชักหัวเตียง
เขายัดหนังสือเล่มนั้นใส่ลงกระเป๋าเสื้อ ก่อนที่จะเดินไปหลบหลังประตูรอจัดการกับเป้าหมาย
จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูห้องเก่าก็ส่งเสียงแอ๊ดดังและเปิดออก…
ทันทีที่ลาซูก้าวขาเข้ามาในเรือน ซือจงก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปรัดคอ เอามีดพกแหลมคมจ่อที่คอหอย ดึงร่างหนาที่หนากว่าตนสองเท่าเข้ามาในห้องและใช้เท้าถีบประตูปิดลง
ลาซูที่ไม่ทันตั้งตัว เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ทว่าสติเขากลับสงบนิ่ง ยอมเดินตามซือจงไปอย่างไม่ขัดขืน สัญชาตญาณอันแรงกล้าของเขารู้ทันทีว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่โจรธรรมดาและคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปเป็นแน่
"เจ้าเป็นใคร" ลาซูกัดฟันถามเสียงค่อย
เฟิ่งเจี๋ยเดินเข้ามาหาลาซูและเอ่ยเสียงเฉียบ "ข้าคงต้องถามเจ้ามากกว่าว่าเจ้าเป็นใคร"
"ข้าไม่มีเวลามาคุยกับเจ้า! ใครส่งเจ้ามา ใต้เท้าหลี่ใช่หรือไม่!" ลาซูโพล่งเอ่ยไปเพราะคิดว่าตนกำลังจะถูกหักหลัง
"ใต้เท้าหลี่...เจ้าหลุดปากพูด ไม่กลัวจะโดนลอบสังหารทีหลังหรือ"
เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยจบ สมองของลาซูก็ถูกเรียบเรียงอีกครั้ง หากไม่ใช่คนของใต้เท้าหลี่ ก็เท่ากับว่าชีวิตของเขายามนี้เป็นตายไม่ต่างกัน
"เจ้าอยากได้อะไร เงินทองหรือ ทรัพย์สมบัติหรือ ข้าจะให้เจ้า!" ลาซูต่อกรเสียงขรึม
เฟิ่งเจี๋ยส่ายศีรษะ เอ่ยเน้นพยางค์เสียงหนักแน่นว่า "ข้า ต้อง การ ชี วิต เจ้า!"
สีหน้าของลาซูซีดเผือดทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาสติหลุด ใช้มืออันแข็งแกร่งบีบข้อแขนของซือจงหมุน ผลักมีดที่จ่อคอดันออกไปข้างหน้า ก่อนที่จะสอยหมัดอัดไปที่ใบหน้าของซือจงจนเซล้มลงกับพื้น
เมื่อได้จังหวะเขาก็คว้าไม้ที่อยู่ข้างเตียงยกขึ้นสูงหวังจะฟาดไปที่ร่างของซือจงอีกรอบ ทว่าแผ่นหลังของเขากลับสัมผัสได้ถึงของแหลมคมบางอย่างกำลังทิ่มแทงอยู่
“หากเจ้าฟาดไม้นั่นไปแม้แต่ครั้งเดียว ข้าจะทะลวงไส้เจ้าให้ขาดและส่งเจ้าไปลงนรกซะ!”
เสียงสุขุมแข็งกร้าวของโจวเฟิ่งเจี๋ย ทำให้ลาซูชะงักนิ่ง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
"ฮ่า ๆ ๆ คิดว่าข้าจะกลัวงั้นหรือ ข้าเป็นทหารกองทัพมาก่อน เจ้าคงไม่รู้อย่างนั้นสินะ!"
เฟิ่งเจี๋ยแสยะยิ้ม พลางเอ่ย "งั้นหรือ...ข้าชักคันไม้คันมืออยากจะประลองกับเจ้าเสียแล้วสิ"
คำท้าทายของโจวเฟิ่งเจี๋ยกระตุ้นให้ลาซูกระเ**ยนอยากจะต่อสู้กับเขายิ่งนัก ลาซูค่อย ๆ หันกายกลับไปหาเฟิ่งเจี๋ย ยามนี้ปลายแหลมของดาบเล่มเขื่องเปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ที่หน้าอกของเขาแทน
มือแกร่งของลาซูดันดาบแหลมปัดออกจากแผงอก ยกมือตั้งท่าเตรียมเข้าไปจู่โจม
แต่ทันทีที่ลาซูมองเฟิ่งเจี๋ยชัดเต็มตา เขากลับรู้สึกคุ้นกับชายที่อยู่เบื้องหน้านัก เหมือนมีภาพตัดฉายอยู่ที่ม่านตาระลอกแล้วระลอกเล่า
“เป็นอะไรไป...ลาซู เจ้าจะสู้กับข้าได้หรือยัง”
เสียงของเฟิ่งเจี๋ยยามนี้เป็นเพียงเสียงแว่วอื้ออึงข้างหู เขาเพ่งมองไปยังใบหน้าเฟิ่งเจี๋ยอีกครั้ง
แววตาเย็นชาดุจพญาเหยี่ยวคู่นั้น ทำให้เขานึกถึงแม่ทัพทหารม้าผู้หนึ่ง ถือดาบเล่มยาว สวมชุดเกราะโลหะ ใบหน้าและศีรษะเต็มไปด้วยโลหิตแดงฉาน เขานำกำลังทัพควบอาชาสีหมอกลุยเพลิงไฟบุกจู่โจมกองทัพตอนเหนือมองโกล เข่นฆ่าพลทหารทั้งหมดนอนราบสิ้นใจจมกองเลือดง่ายดายเพียงชั่วพริบตาเดียว
ใช่! เขาคือชายผู้นั้น...เขาคือ โจวเฟิ่งเจี๋ย แม่ทัพมัจจุราชแห่งแคว้นต้าหมิง"
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ลาซูก็ถึงกับเข่าอ่อน ใบหน้าของเขาฉายแววหวาดกลัวสุดประมาณ "จะ โจว...โจวเฟิ่งเจี๋ย"
"ใช่...ข้าเอง"
ครานั้น ร่างกำยำของลาซูก็ทรุดตัวลงกับพื้น เขาเอื้อมมือไปสัมผัสกับรองเท้าหนังของเฟิ่งเจี๋ยพลางเอ่ยวิงวอนขอชีวิต "ทะ ท่านปล่อยข้าไปเถิด ข้าเป็นเพียงพ่อค้า หาใช่นักรบ ข้าจะถอนเรือกลับเดี๋ยวนี้ ท่านอย่าฆ่าข้าเลย"
ไม่น่าเชื่อว่าชายร่างบึกบึนอย่างเขา จะยอมก้มศีรษะให้ใครได้ง่ายดายเช่นนี้ คงเป็นอย่างที่ซือจงบอกกระมัง ว่ายามนี้เขาเป็นเพียงแค่พ่อค้าที่มักใช้สมองหลักแหลมแกมโกงเพื่อหาเบี้ยประทังชีวิต เตรียมการมาเสียอย่างดี นึกว่าจะได้ประลองฝีมือ แต่ชายผู้นี้กลับไม่หลงเหลือคราบนักรบสงครามในกายเสียแล้ว ช่างน่าเสียดายจริง ๆ
"ข้าคงปล่อยเจ้าไปไม่ได้ เพราะอย่างไรเสีย...ทางการก็ต้องจับเจ้าตัดหัวอยู่ดี" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงขรึม
สิ้นเสียง ใบหน้าของลาซูก็ซีดขาวดุจกระดาษ คิ้วตาของเขาตกลงอย่างสิ้นหวัง
"แต่หากเจ้าอยากมีชีวิตรอดละก็…"
คำพูดกำกวมทำให้ใจที่ห่อเหี่ยวของลาซูมีประกายแห่งความหวังขึ้นอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นและเอ่ย "ท่านจะให้ข้าทำอะไร ข้ายอมทุกอย่าง ไว้ชีวิตข้าเถิด...ไว้ชีวิตข้าที" หลังจากนั้น น้ำตาของบุรุษก็ไหลออกมาอย่างไม่เหนียมอาย
"ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร..."
"ข้า! ลาซู ขอสาบานแก่สวรรค์เบื้องบน ว่าข้าจะยอมทำทุกอย่างให้ท่านโจวเฟิ่งเจี๋ย ให้ตามไปเป็นทาสรับใช้ก็ย่อมได้ ใช่! เป็นทาสรับใช้...ถึงแม้ข้าจะมีเงินทองมากมาย หากท่านให้ข้าติดตามไป ข้าจะยอมสละเงินพวกนี้และตามเป็นทาสท่านจนชั่วชีวิต"
เฟิ่งเจี๋ยปรายตามองคนเบื้องล่างพลางมุ่นคิ้วขมวดเล็กน้อย "ข้าไม่ต้องการทาสรับใช้เพิ่มเสียหน่อย แต่หากเจ้ายอมร่วมมือกับข้า ข้ารับประกันว่าศีรษะของเจ้าจะยังอยู่ที่เดิม"
"ร่วมมือ” ลาซูพูดย้ำด้วยสีหน้าสงสัย
ยังไม่ทันได้เอ่ยต่อ เฟิ่งเจี๋ยก็หันไปสั่งการกับซือจงที่ยืนอยู่หลังห้องเสียงดังว่า "ซือจง...จับตัวลาซูไปขังไว้ที่ห้องท้ายเรือ แล้วพาเดินไปดี ๆล่ะ อย่าให้คนพวกนั้นสงสัยเอาได้"
"ขอรับท่านโหว" เอ่ยจบ ซือจงก็เข้าไปกระชากตัวลาซูให้ลุกขึ้น ก่อนที่จะมัดข้อมือเขาไว้ด้วยเชือกเส้นหนา ผลักร่างกำยำดันไปข้างหน้าเพื่อเดินออกนอกประตู
ลาซูที่ถูกดันร่างมีท่าทีขัดขืนเล็กน้อย ทว่าไม่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวเหมือนตอนแรก
"ช้าก่อน! เหตุใดท่านต้องจับข้าขังไว้ด้วย เจ้าจะฆ่าข้าปิดปากงั้นหรือ" ลาซูเอี้ยวกายหันมองถาม พอคิดว่าจะถูกฆ่า ในใจพลันหวาดผวา นึกถึงใบหน้าของภรรยาและบุตรสาวขึ้นมาทันใด
"ลาซู...ข้าแค่ขังเจ้าไม่ให้ออกมาเดินเพ่นพ่านเท่านั้น วางใจเสียเถิด เมื่อทุกอย่างจบแล้วข้าจะปล่อยตัวเจ้าออกมา" เฟิ่งเจี๋ยตอบกลับเสียงเรียบพลางยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย
ลาซูที่เห็นเช่นนั้นได้แต่ทำหน้าสลด ในที่สุดเขาก็ยอมเดินไปกับซือจงโดยไม่แสดงท่าทีต่อต้านเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ลาซูถูกควบคุมตัวอยู่ที่ห้องท้ายเรือ เฟิ่งเจี๋ยก็ได้ทำการเปลี่ยนตัวของลาซูมาเป็น ลาหู่ สหายเชื้อสายมองโกล ชายฉกรรจ์นิรนาม ไร้ที่พักพิง หาตัวจับได้ยาก ลาหู่ผู้นี้หาใช่เป็นนักรบ ทว่าเป็นเพียงนักแสดงในคณะละครเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เพราะเฟิ่งเจี๋ยรู้ดีว่า...หมากตัวนี้ไม่จำเป็นต้องมีวิชายุทธ์ ขอเพียงแค่เล่นละครตบตาเก่งเท่านั้นก็เพียงพอ
การแสดงครั้งยิ่งใหญ่ของลาหู่คือการสวมรอยเป็นพ่อค้าใหญ่อย่าง 'ลาซู' เพื่อต่อรองเจรจาซื้อขายสินค้ากับสวี่จิ้นไฉ นั่นก็เท่ากับว่าโจวเฟิ่งเจี๋ยได้กุมทุกอย่างเอาไว้ในกำมือเรียบร้อยแล้ว
.
.
.
หลังเสร็จสิ้นภารกิจและกลับมายังจวนสกุลโจว
ดังเช่นทุกครั้ง…
เฟิ่งเจี๋ยกระโดดกำแพงข้ามมาในจวน เดินไปหยุดที่หน้าเรือนจ้วนสือ
ถึงแม้สามส่วนจะรู้สึกโล่งใจที่มี่อิงเข้าใจว่าตนออกไปจับโจร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกหนึ่งส่วนที่เหลือในใจยังรู้สึกหวาดระแวงทุกครั้งที่กลับเข้าจวนมาในยามวิกาล
รอบที่แล้ว นางรออยู่ด้านในเรือน รอบนี้คงไม่เป็นเช่นนั้นแล้วกระมัง
แต่ถึงจะใช่! ข้าก็ไม่เห็นต้องหวาดกลัวนาง ข้าเป็นนาย นางเป็นบ่าว ข้าเป็นสัตว์ร้ายที่เหี้ยมโหด เป็นแม่ทัพมัจจุราช ฆ่าศัตรู สั่งโบยบ่าวที่ทำผิดมานับไม่ถ้วน
หากข้าเจอนางอีกละก็...ข้าจะตะครุบนาง! ไล่นาง! ตวาดนาง! แสดงออกตามสัญชาตญาณสัตว์ป่า ให้นางเกรงกลัวจนต้องร้องขอชีวิต
ฮ่า ๆ ๆ
เฟิ่งเจี่ยหัวเราะออกมา พลางยืดอกผายกว้าง แสดงท่าทีมาดมั่น คำปลอบโยนเหล่านั้นเสริมความมั่นใจของเขามากขึ้นเป็นเท่าตัว
เขาค่อย ๆ ก้าวขายาวมาอยู่ที่หน้าประตู
ใช่! อย่างนั้นแหละเฟิ่งเจี๋ย…เพียงแค่เจ้าเดินผ่านประตูเข้าไป ทุกอย่างก็จะจบสิ้น
สิ้นสุดความคิด มือหนาก็พลันผลักประตูเรือนไม้หนานมู่เปิดออก
ทันใดนั้นเอง...ภาพที่อยู่ตรงหน้า ก็ทำให้เขาเสียอาการ จนเดินเซไปด้านหลังหนึ่งก้าว
.
.
.
"ไฉนคุณชายถึงได้สวมใส่ชุดแบบนั้นออกไปจับโจรล่ะเจ้าคะ"
ดวงหน้าแช่มช้อยของหญิงสาวเพ่งมองมายังเฟิ่งเจี๋ยที่ยามนี้สวมชุดหนังสัตว์ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
"เอ่อ...คือ...ข้า…" เฟิ่งเจี๋ยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ยืนอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น ไม่อาจหาเหตุผลใดมาแย้งหรือแม้จะมีปากเสียงออกมาแม้แต่น้อย
ไหนบอกว่าจะตวาดนางล่ะเจ้าคะคุณชาย 55555 เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะคะ ที่เข้มข้นไม่ใช่แค่เรื่องแก้แค้นเท่านั้น เรื่องราวความรักของทั้งสองก็เช่นกันค่ะ อุ๊บ! แอบสปอยซะแล้วว ><